นี่คือการกลับมาอย่างน่าตื่นตาตื่นใจของโรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ (Dusit Thani Bangkok) โรงแรมระดับลักซ์ชัวรีแบรนด์แรกของไทยบนทำเลทองอย่างถนนพระราม 4 ฝีมือการออกแบบของอองเดร ฟู (André Fu) มัณฑนากรและสถาปนิกระดับโลกที่ถ่ายทอดความทรงจำของโรงแรมให้เข้ากับมุมมองที่หรูหราและทันสมัย โดยที่เรายังสัมผัสถึงอัตลักษณ์ของความเป็นดุสิตธานีได้อย่างชัดเจน


งานศิลป์ชิ้นแรกที่รอต้อนรับทุกคนตั้งแต่ทางเข้าคือภาพจิตรกรรมขนาดใหญ่ของคุณสกล มาลี ถ่ายทอดเหตุการณ์สำคัญของโรงแรมฯ ตลอด 50 ปีที่ซ่อนรายละเอียดเอาไว้มากมาย ก่อนจะเดินเข้าสู่บริเวณล็อบบี้ซึ่งออกแบบให้เชื่อมโยงกับความหมายของดุสิตธานีที่หมายถึง “เมืองแห่งสรวงสวรรค์ชั้นที่ 4” เราจึงได้เห็นทั้งเพดานสีทองหม่นรูปเพชรตัดเป็นสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ฉากกั้นบังสายตาทำจากเหล็กสีบรอนซ์ลวดลายอ่อนช้อยเหมือนภาพสรวงสวรรค์ในจินตนาการ อีกทั้งยังมีเสา 2 ต้นที่ยกมาจากห้องอาหารเบญจรงค์เดิมที่เป็นงานของอาจารย์ไพบูลย์ สุวรรณกูฏ ซึ่งทางโรงแรมฯ ตั้งใจให้เสาทั้ง 2 ต้นเป็นประตูแห่งกาลเวลา เมื่อเดินผ่านเสาไปแล้วก็เหมือนเราได้เข้าสู่พื้นที่อันสงบและเป็นส่วนตัวอย่างเต็มรูปแบบ



ห้องพักของที่นี่มีทั้งหมด 257 ห้อง ขนาดเริ่มต้นที่ 50 ตารางเมตร ไฮไลต์คือกรอบกระจกหน้าต่างกว้าง 5 เมตรสั่งทำพิเศษแบบไร้รอยต่อเหมือนกรอบรูปขนาดใหญ่ เมื่อมองออกไปจะเจอกับวิวสวยชื่นใจของสวนลุมพินีซึ่งแสงและสีจะเปลี่ยนไปตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ข้างหน้าต่างมีที่นั่งเล่นพักใจ ส่วนโทนสีที่ใช้ในห้องเป็นสีเขียวอมเทา สีเขียวศิลาดล สีทอง และสีแชมเปญ ผสมผสานความโก้หรูของโรงแรมแห่งเดิมและความงามแบบไทยร่วมสมัยผ่านการตกแต่งภายใน





นอกจากห้องพักที่โดดเด่น ที่นี่ยังมีห้องนภาลัย แกรนด์ บอลรูม เป็นห้องบอลรูมที่ใหญ่ที่สุดในไทย พื้นที่ 1,350 ตารางเมตร เพดานสูง 8 เมตร กรุกระจกใสกว้าง 55 เมตร ออกแบบมาเพื่อรองรับอีเวนต์สำคัญๆ ห้องอาหาร Cannubi by Umberto Bombana ห้องอาหารอิตาเลียนระดับไฟน์ไดนิงที่ได้เชฟระดับโลกอย่างเชฟบอมบานาเป็นที่ปรึกษา ห้องอาหารพาวิลเลียน เสิร์ฟทั้งอาหารไทยและอาหารจีนกวางตุ้ง ชวนให้นึกย้อนถึง 2 ห้องอาหารจากโรงแรมเดิมคือห้องอาหารไทยเบญจรงค์และห้องอาหารจีนเมย์ฟลาวเวอร์ ส่วนไม่ไกลกันกันคือดุสิตกูร์เมต์ที่หลายคนคุ้นเคย ที่นี่เราจะได้นั่งกินเบเกอรี่อบใหม่ไปพร้อมกับวิวสวยของสวนน้ำตกร่มรื่น






ใครหลงใหลวิวตึกระฟ้าของกรุงเทพฯ บนชั้น 39 เป็นที่ตั้งของ Sky Lobby ให้แขกเช็กอินเข้าพักพร้อมชมวิวไปด้วยในตัว แล้วจบวันด้วยการขึ้นไปจิบค็อกเทลที่ Spire Rooftop Bar บนชั้น 39 M ที่มียอดเสาสีทองอันเป็นเอกลักษณ์ของโรงแรมฯ ตั้งอยู่








นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น เร็วๆ นี้เราจะได้เห็นเวลเนสและสปาแบบครบวงจร รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ที่รอเซอร์ไพรส์อยู่ อดใจรออีกไม่นาน
ข้อมูล
Tag:
รีวิวโรงแรม, โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพ
ความคิดเห็น