หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบเดินทางท่องเที่ยวในสายบุญ ได้เดินทางไปแสวงบุญมาทั่วแล้วทั้งในเส้นทางสังเวชนียสถาน 4 ตำบลที่อินเดีย-เนปาล ได้ไปกราบพระมหาบูชาสถานที่เมียนมาเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่เคยไปเยี่ยมเยือนดินแดนแห่งพุทธะขนานแท้อย่าง “ศรีลังกา” (Sri Lanka) เลยสักครั้งก็ถือว่าคุณพลาดแล้วล่ะ ศรีลังกานับถือพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เรียกว่านิกายสยามวงศ์ เพราะในอดีตเมื่อเกือบ 300 ปีก่อนได้รับการนำไปฟื้นฟูจากกรุงศรีอยุธยาของเรา ทำให้ศาสนาพุทธในดินแดนนี้เฟื่องฟูขึ้นอีกครั้งหลังจากเสื่อมถอยลงด้วยกระแสอิทธิพลของการล่าอาณานิคมตะวันตก มาบัดนี้ศรีลังกาจึงเรียกได้ว่าเป็นดินแดนสงบที่มีพุทธศาสนาเบ่งบาน หากได้ไปแสวงบุญครั้งใดจะรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจอย่างแน่นอน
ศรีลังกา หรือลังกา เป็นประเทศเกาะรูปร่างคล้ายรวงผึ้ง ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย โดยจัดวางตำแหน่งตัวเองอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศอินเดีย นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่ากรุงลงกาและเหล่ายักษ์ตามท้องเรื่องรามเกียรติ์นั้นแท้จริงแล้วก็คือเกาะลังกานี่เอง ในครั้งโบราณกาลเกาะลังกาเคยนับถือเทพหลายองค์ตามศาสนาพราหมณ์อินเดีย ทว่าในยุคถัดมาก็รับเอาพุทธศาสนาเข้ามาไว้ในใจ แม้แต่เมล็ดของพระศรีมหาโพธิ์ต้นที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้และพระทันตธาตุ (ฟันของพระพุทธเจ้าหลังจากการถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว) ปัจจุบันก็ยังประดิษฐานอยู่ที่ศรีลังกา แสดงให้เห็นเด่นชัดว่าเมล็ดพันธุ์แห่งพุทธะได้หยั่งรากฝังลึกลงบนแผ่นดินศรีลังกาอย่างเหนียวแน่นที่สุด ในวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนาเราจะเห็นผู้คนเรือนพันเรือนหมื่นหลั่งไหลไปวัดในชุดขาว สวดมนต์ นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม นี่คือภาพอันงดงามจริงๆ
ภาพน่าประทับใจเหล่านี้เองที่ดึงดูดคนห่างวัดอย่างผมให้ไปสัมผัสศรีลังกาด้วยจิตอันเป็นศรัทธา การบินตรงจากไทยไปสู่โคลัมโบ (Colombo) เมืองหลวงของศรีลังกาใช้เวลาไม่มากนัก ทำให้ไม่รู้สึกอ่อนล้าเลยแม้แต่น้อย ภาพแรกที่เห็นคือตัวเมืองที่มีอาคารโคโลเนียลสถาปัตยกรรมงดงามตั้งอยู่เคียงคู่ตึกสมัยใหม่ ช่วยให้โคลัมโบมีส่วนผสมน่ารักระหว่างโลกเก่าใหม่ ผู้คนที่นี่ผิวเข้มคล้ำ มองเผินๆ อาจจะน่ากลัว แต่ถ้าลองได้เข้าไปสนทนาพาทีแล้วจะรู้ว่าเขาใจดี พร้อมหยิบยื่นมิตรภาพให้เสมอ
ทริปนี้ผมมีแผนตระเวนแสวงบุญอยู่ในศรีลังกากว่า 1 สัปดาห์ แต่หนึ่งในไฮไลต์คือการได้ไปเยือนแหล่งมรดกโลกทางศาสนาขององค์การยูเนสโก นั่นคือ “วัดถ้ำดัมบูลลา” (Dambulla Cave Temple) จากกรุงโคลอมโบผมเช่ารถพร้อมไกด์และคนขับจากบริษัททัวร์ท้องถิ่น ค่อยๆ เดินทางขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือสู่ตอนกลางของประเทศซึ่งมีลักษณะเป็นที่ราบสูงและภูเขาขนาดใหญ่ ผ่านเมืองเนกอมโบ เมืองอนุราธปุระ เมืองโพลอนนารัว และเมืองฮาบารานา อันเป็นเสมือนประตูสู่วัดถ้ำดัมบูลลาที่ผมตั้งใจไว้ จากตัวเมืองฮาบารานารถของเราค่อยๆ วิ่งไตระดับความสูงขึ้นสู่ภูเขาสลับซับซ้อนจนมาถึงวัดถ้ำดัมบูลลา หรือในอีกชื่อหนึ่งว่า “วัดทองคำดัมบูลลา” (The Golden Temple of Dambulla) ด้วยว่าเพิ่งมีการสร้างเจดีย์สีทองและพระพุทธรูปสีทองขนาดมหึมาประดิษฐานอยู่ตรงตีนเขา ณ บันไดทางขึ้นสู่ถ้ำดัมบูลลานั่นเอง ทำให้ความรู้สึกแรกของผู้มาเยือนเต็มตื้นไปด้วยศรัทธาแรงกล้าที่จะพาตัวเองเดินฝ่าบันไดชันขึ้นสู่หมู่ถ้ำมรดกโลกด้านบนภูเขาตรงหน้า เราจะเห็นพุทธศาสนิกชนและภิกษุสงฆ์จากหลายนิกายทั่วโลกมารวมตัวกัน จึงถือเป็นโอกาสดีที่เราจะทำตัวเป็นส่วนหนึ่งของเขาด้วย
ผมค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไปอย่างช้าๆ พร้อมกับนักแสวงบุญอีกมากมาย ในมือหลายคนมีช่อดอกบัวและดอกไม้หลายชนิดส่งกลิ่นหอมเพื่อนำขึ้นไปเป็นพุทธบูชา ระหว่างทางผ่านป่าละเมาะร่มรื่นและหนทางก็ไม่ได้สูงชันเดินยากอย่างที่คิด กระทั่งใกล้ถึงยอดเขาภูมิประเทศก็กลายเป็นลานหินโล่งเลี่ยน มองออกไปเห็นทุ่งราบเบื้องล่างกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
ตัววัดถ้ำดัมบูลลาตั้งอยู่บนยอดเขาหินแกรนิตมหึมานี้เอง สูงจากพื้นราบเบื้องล่างกว่า 160 เมตร ตัวถ้ำเคยใช้เป็นที่หลบภัยของกษัตริย์วาลากัมบาหุ (King Valagambahu) ผู้หนีการรุกรานของชาวทมิฬจากเมืองอนุราธปุระมาอยู่ที่นี่ กระทั่งพระองค์ขับไล่ข้าศึกไปได้ จึงทรงสร้างวัดถ้ำดัมบูลลาขึ้นให้วิจิตรงดงามสุดๆ จะหาวัดถ้ำใดในศรีลังกาเทียบไม่ได้อีกแล้ว จวบจนศตวรรษที่ 18 จึงมีการบูรณะครั้งใหญ่โดยกษัตริย์แห่งอาณาจักรแคนดี้ ทำให้ภาพจิตรกรรมฝาผนัง พระพุทธรูป และเจดีย์ต่างๆ ภายในถ้ำอยู่ยืนยงมาถึงปัจจุบันด้วยความวิจิตรงดงามถึงขั้นมรดกโลก จริงๆ แล้วมีถ้ำน้อยใหญ่ในบริเวณภูเขาแถบนี้กว่า 200 แห่ง แต่ในส่วนของวัดถ้ำดัมบูลลามีเพียง 5 ถ้ำหลักเท่านั้น โดยถ้ำที่ 1 ถือว่าเก่าแก่ที่สุด เพราะสร้างขึ้นตั้งแต่ปีที่ 1 ก่อนคริสตกาล ส่วนถ้ำที่ 2-5 ก็เก่ารองๆ ลงมา และถ้ำที่ 2 มีขนาดใหญ่สุด เพราะมีรูปปั้นของกษัตริย์ผู้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอยู่ด้วย
ด้วยจำนวนนักแสวงบุญที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างมากมาย ทำให้การเข้าชมถ้ำทั้ง 5 ต้องแบ่งเป็นรอบๆ โดยจำกัดจำนวนคนในแต่ละรอบไว้แบบหลวมๆ จากด้านนอกเราจะเห็นว่ามีการสร้างระเบียงทางเดินด้านนอกถ้ำเลียบไปกับแนวหน้าผาหินแกรนิต มีซุ้มประตูปากทางเข้าสู่ถ้ำ 1-5 เรียงกันไป วันไหนผู้แสวงบุญเยอะ เราก็จะโดนเบียดโดนดันให้เดินไหลไปพร้อมกับฝูงชน ภายในถ้ำที่ 1 “ถ้ำแห่งเทวราชา” มีภาษาพราหมีจำหลักไว้ตรงทางเข้าว่าสร้างเป็นวัดขึ้นเมื่อปีที่ 1 ก่อนคริสตกาล ถ้ำนี้มีขนาดไม่ใหญ่โตนัก ทว่าเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความโบราณ กึ่งกลางประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ปางปรินิพพานยาว 14 เมตร ใต้ฝ่าพระบาทมีภาพเขียนสีเป็นเสมาธรรมจักรและดอกไม้แห่งธรรม โดยรอบฝาผนังและเพดานมีภาพจิตรกรรมจากศตวรรษที่ 1 เป็นภาพพุทธสาวกถวายพุทธบูชายืนเรียงรายกันไป กอปรกับกลิ่นอายของถ้ำและแสงสลัวๆ ยิ่งทำให้บรรยากาศในถ้ำที่ 1 นี้เข้มขลังเข้าไปอีก
ถ้ำที่ 2 ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่สุดนั้นมีชื่อว่า “ถ้ำแห่งมหาราชา” เต็มไปด้วยพระพุทธรูปมากมายเรียงรายกันไปตามผนังถ้ำ ในจำนวนนั้นเป็นพระพุทธรูปปางประทับยืน 16 องค์และปางสมาธิ 40 องค์ พุทธลักษณะเป็นสกุลช่างศรีลังกาแท้ๆ ดูได้จากพระพักตร์และพระวรกายอันอิ่มอวบกลมกลึง พระพักตร์ค่อนข้างกลมเป็นรูปไข่ เปี่ยมเมตตา มีพระขนง (คิ้ว) โก่งดั่งคันศร และมียอดพระโมลีเป็นรัศมีแหลมสูง อีกทั้งการปั้นจีวรของพระพุทธรูปเหล่านี้จะให้ความรู้สึกบางเบา พลิ้วไหว เลื่อนไหลไปตามพระวรกายอย่างอ่อนช้อยงดงามยิ่ง ส่วนองค์พระเจดีย์ในถ้ำก็มีลักษณะเป็นทรงโอคว่ำ (ทรงระฆังคว่ำ) หรือที่คนสยามเรียกกันว่า “เจดีย์ทรงลังกา” เหมือนที่เราเห็นในการสร้างองค์พระปฐมเจดีย์จังหวัดนครปฐมนั่นเอง
นอกจากความใหญ่โตโอฬารของโถงถ้ำที่ 2 จะทำให้เราตะลึงได้แล้ว อีกสิ่งที่กลืนกินหัวใจผมไปเลยคือภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วาดไว้ในแทบทุกสัดส่วนของถ้ำทั้งตามฝาผนัง เพดาน และพื้นบางส่วน ก่อให้เกิดลวดลายเรขาคณิต ภาพพุทธประวัติ ภาพพระพุทธองค์เอาชนะหมู่มาร ล้อมรอบเราไว้ในทุกด้าน แม้ภาพบางส่วนจะสีซีดจางไปบ้าง ทว่าก็ยังแจ่มชัด เพราะถ้ำดัมบูลลาระบายอากาศได้ดี ความชื้นจึงเข้าเล่นงานภาพจิตรกรรมโบราณเหล่านี้ได้ไม่มากนัก มีเพียงบางส่วนที่ถูกน้ำฝนซึมจากผนังถ้ำลงมาทำลายให้เลือนไป นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปจำหลักไม้ของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์และพระศรีอริยเมตไตรยประดิษฐานอยู่ด้วย บางจุดในถ้ำที่ 2 เคยมีน้ำพุเล็กๆ ผุดขึ้นจากพื้นถ้ำ ทำให้มันเคยได้ชื่อว่า “ถ้ำน้ำพุ” แต่ปัจจุบันไม่มีน้ำไหลแล้ว โบราณเชื่อว่าน้ำนี้มีพลังศักดิ์สิทธิ์ในการเยียวยารักษาโรคภัยต่างๆ ได้อย่างวิเศษ
ถ้ำที่ 3 มีชื่อว่า “ถ้ำมหาวิหารใหม่” (Maha Alut Vihara หรือ Great New Monastery) ซึ่งงามวิจิตรน่าตื่นตาไปด้วยภาพพุทธศิลป์บนเพดานและผนังถ้ำ เรียงรายกันไปแทบไม่มีที่ว่าง บวกกับมีพระพุทธรูปและรูปปั้นของกษัตริย์องค์สำคัญ รวมๆ กันอยู่อีกกว่า 50 องค์ นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นเทพวิษณุและพระพิฆเนศประทับอยู่เคียงข้างพระพุทธองค์ นัยว่าเป็นเทพฮินดูที่ชาวพุทธศรีลังกาเคารพเช่นกัน ก่อนที่พระพุทธศาสนาจะเข้ามาประดิษฐานในเกาะลังกานี้
ในส่วนของถ้ำที่ 4-5 ก็มีลักษณะคล้ายถ้ำแรกๆ แต่มีขนาดย่อมลงไป ทว่าบรรยากาศขรึมขลัง แสงสลัวราง และกลิ่นอายแห่งศรัทธาก็มิได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ผมคิดว่านอกจากการแสวงบุญแล้ว คนที่รักชอบในด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และศิลปะ หากได้มาเยือนวัดถ้ำดัมบูลลาแล้วจะต้องตื่นตาตื่นใจอย่างแน่นอน
ผมเดินชมถ้ำทั้ง 5 ไปอย่างเชื่องช้า ปล่อยให้ตัวเองถูกดึงดูดย้อนกลับไปในกาลเวลาโดยมีพุทธศาสนาเป็นสื่อนำ สาธุชนนับร้อยยังคงหลั่งไหลเข้าสู่ตัวถ้ำ ดอกไม้หลากสีหอมกรุ่นถูกนำมาถวายพระ หลายคนก้มลงกราบแทบพื้น สวดมนต์ก้องกังวาล นี่คือภาพประทับใจในถ้ำมืดมิด ทว่าศรัทธาของมนุษย์ได้เนรมิตถ้ำธรรมดาให้งามดั่งทอง ศรัทธาเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ปราศจากตัวตน แต่แสดงออกได้... และนี่คือดินแดนแห่งพุทธศาสนาที่โลกจะไม่มีวันลืมเลือนตลอดไป
Traveler’s Guide
- When to Go : เที่ยวถ้ำดัมบูลลาได้ตลอดปี ฤดูฝนคือเดือนมิถุนายน-สิงหาคม เป็น Low Season มีนักแสวงบุญไม่หนาแน่น ผิดกับเดือนธันวาคม-มีนาคม เป็น High Season มีผู้คนไปท่องเที่ยวล้นหลาม
- Getting There : สะดวกรวดเร็วสุดจากสุวรรณภูมิบินด้วยสายการบิน SriLankan Airlines สู่เมืองโคลัมโบ ลงที่สนามบิน Bandaranaike International Airport ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 20 นาที (www.srilankan.com)
- Overnight : แนะนำ Chaaya Village Habarana Hotel เมือง Habarana (www.chaayahotels.com)
- Local Cuisine : อาหารศรีลังกาไม่มีกลิ่นเครื่องเทศแรงเหมือนอาหารอินเดียหรือเนปาล ส่วนใหญ่กินข้าว แป้งโรตี แกง ผักผลไม้ ไก่ ปลา และอาหารทะเล อาหารหลักอย่างหนึ่งเรียกว่า “ฮอปเปอร์” (Hopper) เป็นแป้งบางกรอบทำเป็นรูปถ้วย มีไข่ดาวอยู่ข้างใน แต่งหน้าด้วยเครื่องเคียง นอกจากนี้ควรชิมน้ำมะม่วงและน้ำมะพร้าว King Coconut
- Souvenirs : ชาศรีลังกา สมุนไพรและเครื่องเทศ ผ้าทอ ผ้าบาติก ไม้แกะสลัก อัญมณีต่างๆ
- More Info : www.srilanka.travel
Tag:
, Far Away, ศรีลังกา,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น