หลายคนคุ้นเคยแบรนด์ดอยคำด้วยเอกลักษณ์ของรสชาติและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ในราคาที่เข้าถึงได้ แต่สิ่งที่มาพร้อมรสชาติคือความปลาบปลื้มยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเกษตรกรตามแนวทางของบริษัทที่ถือกำเนิดขึ้นจากแนวพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9
จึงนับเป็นโอกาสอันดีที่เราได้สัมภาษณ์คุณพิพัฒพงศ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด ถึงการนำศาสตร์พระราชาสู่การบริหารธุรกิจอย่างยั่งยืน และยังนำบริษัทผ่านบทพิสูจน์ครั้งสำคัญกับ “วิกฤติโควิด-19”
“ผมเข้าทำงานในสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ตั้งแต่เรียนจบ กระทั่งปี พ.ศ. 2537 ที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด จึงมีโอกาสมาปฏิบัติงานที่นี่ อย่างที่ทราบกันว่าดอยคำทำธุรกิจตามแนวพระราชดำริที่ต้องการแก้ปัญหาความทุกข์ยากของประชาชนในภาคเหนือ พระองค์ทรงก่อตั้งโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูปขึ้นในพื้นที่เกษตรมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2515 ทั้งส่งเสริม รับซื้อ พัฒนา และแปรรูปผลผลิตในราคาเป็นธรรมจากเกษตรกรมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเรายังดำเนินงานผ่านโรงงานหลวงอาหารสำเร็จรูป 3 แห่ง คือ อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่, อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย และอำเภอเต่างอย จังหวัดสกลนคร
“ดอยคำก็เหมือนบริษัททั่วไปที่ต้องมีกำไรเพื่อให้เกิดความยั่งยืนและแข่งขันได้ แต่กำไรนั้นต้องเหมาะสมเป็นธรรม ความเป็นธรรมนี้ยังเป็นหลักยึดในการบริหารธุรกิจเรื่อยมาซึ่งมีด้วยกัน 4 ส่วน คือ หนึ่ง พนักงาน ต้องได้เงินเดือนเหมาะสม ถ้าพนักงานอยู่ดีกินดีแล้วเราถึงจะหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ผู้อื่นได้ สอง เกษตรกรและคู่ค้า เราให้ความรู้เพื่อให้พึ่งพาตนเองได้ เกษตรกรจะต้องทุ่มเท มุ่งมั่น และอดทน เส้นทางอาจยากลำบาก แต่สุดท้ายจะยั่งยืน เราจะให้ราคาที่สูงกว่าตลาด แต่เกษตรกรต้องส่งมอบพืชผลที่ได้มาตรฐานตามที่เรากำหนดเท่านั้น คู่ค้าก็เช่นเดียวกัน เราเน้นซื้อขายในราคาที่เหมาะสมตามกลไกตลาด ไม่แข่งขันด้านราคาหรือต่อรองจนธุรกิจไม่สามารถเดินต่อไปได้
“สาม ผู้บริโภค จะได้ซื้อสินค้าในราคาเหมาะสมกับต้นทุน ช่วงที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้น ราคาสินค้าก็ปรับขึ้น แต่เมื่อราคาน้ำมันลดลง เราก็ปรับราคาลงตามจริง ซึ่งเราเป็นผู้นำในเรื่องนี้มาโดยตลอด สุดท้ายคือสิ่งแวดล้อม เราเป็นผู้สร้างขยะ หน้าที่กำจัดขยะจึงเป็นของเรา และเป็นที่มาของกิจกรรม ‘แกะ ล้าง เก็บ’ อย่าทิ้งกล่องน้ำผลไม้พร้อมดื่มดอยคำ เพราะมีมูลค่า 1 บาท ใช้เป็นส่วนลดซื้อสินค้าดอยคำและเครื่องดื่มได้ที่ร้านดอยคำทุกสาขา เราจะนำไปรีไซเคิลทำพาเลทไม้เทียมกลับไปใช้ในโรงงานหลวงฯ รวมถึงขึ้นรูปเป็นกรวยจราจรมอบให้หน่วยงานต่างๆ และมอบกล่องน้ำผลไม้พร้อมดื่มให้โครงการ ‘หลังคาเขียว’ มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง(ภา)ยามยาก สภากาชาดไทย”
ผลเชิงประจักษ์จากศาสตร์พระราชาได้ปรากฏให้เห็นแล้วจากวิกฤติโควิด-19 คุณพิพัฒพงศ์เล่าถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้นว่า “ดอยคำได้รับผลกระทบเช่นเดียวกับธุรกิจอื่น อย่างที่เห็นหลายบริษัทต้องลดเงินเดือน บ้างก็ปลดพนักงาน บางแห่งร้ายแรงถึงขั้นปิดกิจการ ภาพเหล่านี้คือสิ่งสุดท้ายที่จะเกิดขึ้นกับเรา จากแนวทางที่เรายึดมั่นทำให้มีภูมิคุ้มกันมากพอจะฝ่าวิกฤติดังกล่าว รวมถึงบูรณาการในทุกมิติ ไม่ว่าจะลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น แต่สิ่งที่จำเป็นก็ยังต้องลงทุน เช่น การนำระบบปฏิบัติการเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน แม้ต้องใช้เงินจำนวนมากแต่จะคุ้มค่ามากกว่าในระยะยาว”
26 ปีของการก่อตั้งบริษัท ดอยคำยังคงเป็นต้นแบบองค์กรธุรกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผ่านบททดสอบมาแล้วมากมาย ไม่เพียงนำองค์กรผ่านพ้นวิกฤติ แต่ยังสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่องสวนกระแสเศรษฐกิจ คุณพิพัฒพงศ์กล่าวเพิ่มเติมว่า “ธุรกิจจำเป็นต้องมีผลกำไร แต่ด้วยความที่เราน้อมนำแนวทางในการช่วยเหลือเกษตรกรมาตั้งแต่ต้น กำไรสุทธิจึงต้องเหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 2.5 %-10 % เท่านั้น และเราก็ไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ ยังคงพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากจุดเริ่มต้นที่มีผลิตภัณฑ์เพียง 10 รายการใน 2 กลุ่มสินค้า ปัจจุบันเรามีสินค้ากว่า 200 รายการใน 22 กลุ่มสินค้า ปี พ.ศ. 2562 มีร้านสาขากว่า 36 แห่ง และร้านครอบครัวดอยคำ (แฟรนไชส์) อีก 14 สาขาทั่วประเทศ”
ก่อนสิ้นสุดบทสัมภาษณ์คุณพิพัฒพงศ์ทิ้งท้ายด้วยหลักคิดจากการน้อมนำคำสอนของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาปรับใช้ในชีวิตประจำวันคือ “ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด รักษาศีล 5 รู้จักให้มากกว่ารับ เพียงเท่านี้เราก็ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขแล้ว”
Tag:
, Food in Biz, ดอยคำ,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น