เมื่อต้นปี ค.ศ. 2020 ก่อนที่โรคโควิด-19 จะระบาด ผมมีโอกาสดูหนังเรื่องหนึ่งคือ The Call of the Wild เกี่ยวกับการผจญภัยใช้ชีวิตในธรรมชาติอันดิบเถื่อนของรัฐอลาสก้า สหรัฐอเมริกา เมื่อปลายปี ค.ศ. 1800 หนังเรื่องนี้จับเอาช่วงเวลาสำคัญอันเป็นยุคตื่นทองในอลาสก้า จึงมีนักแสวงโชคนับหมื่นรอนแรมมาไกลเป็นพันไมล์ด้วยเรือเดินสมุทร โดยหวังจะรวยทางลัดกับทองคำที่มีอยู่ดาษดื่น เพียงแต่จะหาพบหรือไม่เท่านั้น
ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังสะท้อนภาพอันแจ่มชัดของความยิ่งใหญ่ งดงาม และกว้างใหญ่ไพศาลของธรรมชาติในอลาสก้า (Alaska) ซึ่งมีความหลากหลายของภูมิประเทศทั้งธารน้ำแข็ง ภูเขาไฟ ป่าสน ทะเลสาบ ทุ่งดอกไม้ ชายฝั่งทะเล รวมถึงฝูงสัตว์นานาชนิดทั้งบนบกและในน้ำ ภาพของวาฬว่ายรวมฝูงขึ้นมาพ่นน้ำเหนือมหาสมุทรสีคราม นกอินทรีย์หัวขาวสัญลักษณ์ประจำชาติสหรัฐฯ โผบินในอากาศ รวมถึงหมีกริซลีที่กำลังจับปลาคิงแซลมอนที่ว่ายทวนน้ำขึ้นมาวางไข่กินเป็นอาหาร นี่คือเสน่ห์แห่งพงไพรในดินแดนสุดขั้วโลกเหนืออย่างแท้จริง
เส้นทางท่องเที่ยวอลาสก้าแห่งขั้วโลกเหนือถือเป็นเส้นทางในฝันสำหรับนักสำรวจโลกธรรมชาติ เพราะที่นั่นคือดินแดนอาร์กติกที่ปกคลุมด้วยหิมะน้ำแข็งชั่วนาตาปี ตลอดทางชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือจากแคนาดาสู่อเมริกาล้วนเต็มไปด้วยฟยอร์ด ธารน้ำแข็ง เกาะแก่ง และเมืองน้อยใหญ่ ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคตื่นทองและยุคที่รัสเซียเข้ามาตั้งถิ่นฐานแรกๆ ว่ากันว่าอลาสก้าเป็นดินแดนส่วนเหนือสุด หนาวสุด และเป็นที่ตั้งของยอดเขาสูงสุดในอเมริกาเหนือด้วยคือยอดเขาแมกคินลีย์ (Mt.McKinley) หรือที่ชนพื้นเมืองดั้งเดิมเรียกกันว่ายอดเขาเดนาลี (Denali) นั่นเอง โดยการเดินทางสู่อลาสก้าทำได้ 2 วิธีหลักคือทางทะเลและทางบก ซึ่งเราสามารถซื้อแพ็กเกจทัวร์ได้ทั้งจากเมืองไทย หรือไปซื้อกับบริษัททัวร์ท้องถิ่นก็สะดวกดีเหมือนกัน
ก่อนปี ค.ศ. 1867 ดินแดนอลาสก้าเป็นของรัสเซียมาก่อน กระทั่งสหรัฐฯ ซื้อดินแดนนี้มาด้วยเงินเพียง 7.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้วกลายเป็นรัฐที่ 49 ของประเทศ ภายใต้ความฉงนของผู้คนว่าซื้อมาทำไมกันนะ เพราะมันมีแต่น้ำแข็งน่ะสิ แต่แล้วก็มีการขุดพบน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติปริมาณมหาศาล ปัจจุบันนี้ธุรกิจพลังงานและการท่องเที่ยวจึงทำรายได้หลักให้อลาสก้าอย่างงาม เสน่ห์ของธรรมชาติพิสุทธิ์บวกกับวัฒนธรรมชนเผ่าพื้นเมืองดึงดูดนักท่องเที่ยวปีละเป็นล้านคนสู่ดินแดนนี้ ว่ากันว่าชนพื้นเมืองผิวขาวหน้าตาเหมือนคนเอเชียที่อาศัยอยู่ในอลาสก้าปัจจุบันอพยพเข้ามาตั้งแต่ 12,000 ปีที่แล้ว (ยุคน้ำแข็ง) ผ่านทางสะพานน้ำแข็งเหนือช่องแคบเบริง ทอดจากรัสเซียสู่ทวีปอเมริกา นั่นล่ะคือจุดเริ่มต้นของชนเผ่ากว่า 20 เผ่าที่มีอัตลักษณ์เป็นของตนเองมาจนทุกวันนี้ หากใครเคยได้ยินชื่อเผ่าอินูเปียต (Inupiat) และเอสกิโม (Eskimo) ก็คงพอจะนึกภาพออกนะ ถึงกระท่อมน้ำแข็งอิกลู (Igloo) รูปทรงกลมๆ และคนพื้นเมืองที่นุ่งห่มด้วยชุดขนสัตว์หนาๆ จนตัวอ้วนเหมือนหมีน่ารักๆ
อลาสก้ามีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่า 1.7 ล้านตารางกิโลเมตร โดยมีชายฝั่งตะวันตกทอดยาวจากเมืองแวนคูเวอร์ (Vancouver) ประเทศแคนาดา เลาะชายฝั่งลงมาผ่านเมืองมากมาย อาทิ เคทชิแกน (Ketchikan) สแกกเวย์ (Skagway) รวมถึงจูโน (Juneau) อันเป็นเมืองหลวงของรัฐอลาสก้า เส้นทางท่องเที่ยวล่องเรือสำราญจึงเป็นความฝันของคนทั่วโลก โดยล่องเรือขึ้นมาถึงเมืองท่าซีเวิร์ด (Seward) ทางใต้ของเมืองแองเคอเรจ (Anchorage) เรียกว่าเส้นทางล่องเรือ Inside Passage ผ่านเกาะน้อยใหญ่ ผ่านฟยอร์ด (Fjord : ภูมิประเทศที่หลงเหลือจากการกัดเซาะของธารน้ำแข็งในอดีต) และธารน้ำแข็ง อีกทั้งยังผ่านเมืองที่นักตื่นทองบุกเบิกไว้
เส้นทางเดินเรือนี้มีทั้งแบบล่องขึ้นเหนือและลงใต้ สถานที่สำคัญบนเส้นทางจากใต้เริ่มจากแวนคูเวอร์ขึ้นมาจะถึงเมืองเคทชิแกนก่อน เมืองนี้เป็นเมืองหน้าด่านของอลาสก้า เพราะเต็มไปด้วยศิลปวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองคือเสาไม้แกะสลักโบราณ เรียกว่าเสาโทเทม (Totem) แถมยังมีย่านเมืองเก่าสร้างด้วยไม้ระบายสีสดใสให้เดินทอดน่องเที่ยวเล่นชิลๆ ยิ่งกว่านั้นเคทชิแกนยังเป็นที่ตั้งของแหล่งธรรมชาติสำคัญคือมิสตี้ ฟยอร์ด (Misty Fjord) อันมีภูมิประเทศสายน้ำไหลซอกซอนเข้าไปในโตรกผาตระหง่าน เต็มไปด้วยน้ำตกนับร้อยสาย จากนั้นถ้าล่องเรือต่อไปก็จะถึงเมืองจูโน เหมืองทองใหญ่ที่สุดในอดีต ทว่าปัจจุบันกลายเป็นศูนย์กลางการเลี้ยงปลาแซลมอนและเป็นที่ตั้งของอุทยานแห่งชาติทองกาสส์ (Tongass National Park) ซึ่งมีธารน้ำแข็งเมนเดนฮอลล์ (Mendenhall Glacier) ทอดตัวอยู่อย่างนิ่งสงบ ในอ่าวนี้ยังมีกิจกรรมพายเรือคายักท่องธรรมชาติ และมีเรือท่องเที่ยวพาออกไปชมวาฬและสัตว์ทะเลนานาชนิดทั้งแมวน้ำและนกทะเลต่างๆ เมืองระหว่างทางอีกแห่งที่ห้ามพลาดคือเมืองสแกกเวย์ เป็นเมืองเล็กๆ ที่อนุรักษ์ไว้ให้เหมือนเมืองยุคตื่นทองเมื่อร้อยกว่าปีก่อน จากสแกกเวย์มีเส้นทางรถไฟไอน้ำขึ้นไปถึงรัฐยูคอน (Yukon) ของแคนาดาด้วย เส้นทางนี้สวยน่าประทับใจ ไม่ควรพลาดจริงๆ
เส้นทางล่องเรือเที่ยวสุดเจ๋งอีกเส้นคือการผ่านอ่าวกลาเซียร์ หรือธารน้ำแข็งน้อยใหญ่กว่า 20 แห่งที่ไหลลงสู่อ่าวเดียวกันกลางอุทยานแห่งชาติกลาเซียร์เบย์ (Glacier Bay National Park) อันเป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ ซึ่งเรือสำราญขนาดใหญ่สามารถเข้าชมได้ เช่นเดียวกับคอลเลจ ฟยอร์ด (Collage Fjord) ที่ปรากฏร่องรอยของธารน้ำแข็งกัดเซาะภูเขาเข้าไปเป็นเส้นทางลึกในแผ่นดิน จากนั้นเส้นทางล่องเรือสำราญเที่ยวก็จะไปสิ้นสุดลง ณ เมืองซีเวิร์ดบนแหลมคีไน (Kenai)
สำหรับการท่องเที่ยวอลาสก้าทางบก มีการขับรถบ้านเที่ยวเองได้อย่างง่ายดาย ในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนชมดอกไม้ป่า (เดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม) และฤดูใบไม้ร่วงชมป่าเปลี่ยนสี (เดือนสิงหาคม-กันยายน) ผ่านทาง Alaska Highway เชื่อมเข้าไปถึงแคนาดา สามารถเที่ยวชมอุทยานแห่งชาติในทิวเขา Canadian Rocky ได้อีกนับ 10 แห่ง ยิ่งถ้าได้ไปขับรถเที่ยวช่วงวันที่ 21 สิงหาคม-21 เมษายนก็จะได้เห็นแสงเหนือ (Aurora Borealis หรือ Northern Light) สว่างเรืองพาดผ่านท้องฟ้าราวแสงจากสรวงสวรรค์ในยามราตรี และถ้ามาเที่ยวในช่วง 22 เมษายน-20 สิงหาคมก็จะได้ยลอีกหนึ่งปรากฏการณ์ธรรมชาติซึ่งมีเฉพาะในเขต Artic Circle เท่านั้น คือพระอาทิตย์เที่ยงคืนนั่นเอง
การนั่งรถไฟเที่ยวอลาสก้าก็เป็นที่นิยมเช่นกัน โดยเริ่มต้นที่เมืองแองเคอเรจดินแดนธรรมชาติอันพิสุทธิ์ มีเส้นทางรถไฟที่สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคตื่นทอง พาเราผ่านภูเขาแมกคินลีย์ในอุทยานแห่งชาติเดนาลีและเมืองแฟร์แบงก์ส (Fairbanks) จนไปสิ้นสุดที่อาร์กติก เซอร์เคิล (Artic Circle) รถไฟท่องเที่ยวเส้นทางนี้ชื่อ “สายพระอาทิตย์เที่ยงคืน” เป็นรถไฟหลังคาโดมกระจก สามารถชมทิวทัศน์อันงดงามยิ่งใหญ่ของอลาสก้าได้เต็มตาตลอดทาง เราจะได้เห็นยอดเขาหิมะนับไม่ถ้วน เห็นสภาพป่าทุนดราอันเป็นป่าสนเขตขั้วโลกเหนือ โดยเฉพาะในอุทยานแห่งชาติเดนาลี ถ้าได้แวะลงไปแคมปิงค้างแรมก็จะได้ชมสัตว์ป่านานาชนิดที่ออกดุ่มเดินหากินอย่างเสรีทั้งหมีกริซลีและหมีดำที่ชอบออกมาจับปลาแซลมอนโชว์ มีแพะภูเขา สุนัขจิ้งจอก กวางมูส กวางเรนเดียร์ ฯลฯ
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำไม่เท่าการได้ไปเยือนอลาสก้าด้วยตัวเอง ผมหวังว่าคุณคงจะได้ไปเยือนสวรรค์ทางธรรมชาติแห่งนี้ และค้นพบอลาสก้าในแบบของคุณเองนะครับ
Traveler’s Guide
- Best Season : อากาศดีเหมาะท่องเที่ยวที่สุด ช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน (พฤษภาคม-กรกฎาคม) และฤดูใบไม้ร่วง (สิงหาคม-กันยายน) ฤดูหนาวส่วนใหญ่กิจกรรมจะปิด ยกเว้นการเล่นสกีและลากเลื่อนหิมะ
- Getting There : อลาสก้าตั้งอยู่ทางเหนือสุดของทวีปอเมริกาด้านฝั่งตะวันตก การเดินทางจากไทยต้องบินไปเปลี่ยนเครื่องที่ประเทศต่างๆ ก่อน เช่น จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เมื่อถึงอเมริกาแล้วบินสู่เมืองแองเคอเรจ ซึ่งเป็นเหมือนประตูบ้านของอลาสก้า เพราะเมืองนี้จะบินหรือล่องเรือมาก็ได้ สายการบินสู่อลาสก้า เช่น Alaskan Airlines, North West และ China Airlines เป็นต้น (หลังสถานการณ์ Covid-19 ต้องตรวจสอบอีกครั้ง)
- More Info : www.travelalaska.com และ www.nps.gov.com
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก @State of Alaska/Brian Adams, Chris McLennan, Jocelyn Pride, Matt Hage, Reinhard Pantke
Tag:
, Far Away, อลาสก้า,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น