นอกจากรสชาติที่น่าลิ้มลองแล้ว เราทุกคนต่างทราบกันว่าปลาแซลมอนอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ทว่าปลาแซลมอนที่เราซื้อหากันในท้องตลาดนั้น ไม่ใช่ปลาแซลมอนที่จับได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติทั้งหมด หากเป็นปลาแซลมอนที่ถูกเลี้ยงอยู่ในฟาร์มเพื่อการบริโภค บทความนี้เราจึงพาทุกคนมาหาคำตอบว่าปลาแซลมอนที่จับได้ตามธรรมชาติกับแซลมอนที่เลี้ยงจากฟาร์มอย่างไหนดีต่อสุขภาพมากกว่ากัน
ความแตกต่างเรื่องคุณค่าทางโภชนาการ
คงต้องบอกว่าแหล่งที่มาของปลาแซลมอนส่งผลต่อรสชาติและคุณประโยชน์อย่างเห็นได้ชัด กล่าวคือปลาแซลมอนจากธรรมชาติเป็นปลาที่ต้องว่ายน้ำระยะไกลตลอดช่วงชีวิต และกินอาหารจำพวกปลาและสัตว์น้ำตัวเล็กๆ ทำให้เนื้อปลาแซลมอนจากธรรมชาติจึงมีสีออกแดงและส้มเข้มเช่นเดียวกับอาหารจากแหล่งธรรมชาติที่กินเข้าไป และมีไขมันต่ำ ขณะที่ปลาแซลมอนเลี้ยงจะอาศัยอยู่ในฟาร์มที่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัดเพราะความหนาแน่น ได้รับอาหารแปรรูปไขมันสูง โปรตีนสูง จุดประสงค์เพื่อให้ได้ขนาดที่ใหญ่มากขึ้นจึงส่งผลให้เนื้อปลามีความหนาอุดมไปด้วยไขมันและมีสีที่อ่อนกว่าปลาแซลมอนตามธรรมชาตินั่นเอง
จากตารางข้างต้นจะเห็นได้ว่าปลาแซลมอนที่เลี้ยงในฟาร์มมีไขมันในอัตราที่สูงกว่ามาก โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัวที่มากกว่าปลาแซลมอนจากธรรมชาติถึงสามเท่า นอกจากนี้ยังมีแคลอรี่มากกว่าถึง 46% แต่ในทางกลับกันปลาแซลมอนจากธรรมชาติ แม้จะมีโอเมกา 3 ในอัตราที่น้อยกว่าเพียงเล็กน้อย แต่อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่สำคัญมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม สังกะสี และเหล็ก
ปริมาณไขมันไม่อิ่มตัว
ไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนหลักๆ มี 2 ชนิด ได้แก่ กรดไขมันโอเมก้า 3 และกรดไขมันโอเมก้า 6 ซึ่งกรดไขมันเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในร่างกายมนุษย์ หรือเรียกกันว่า “กรดไขมันจำเป็น” (Essential Fatty Acids) อย่างไรก็ตาม ร่างกายของเรามีความต้องการกรดไขมันทั้งสองชนิดนี้ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพราะถ้ามีโอเมกา 6 มากเกินไปก็อาจจะทำให้เกิดการอักเสบ หรือเกิดโรคเรื้อรังอย่างโรคหัวใจ
หากดูเทียบในตารางจะพบว่าปลาแซลมอนที่เพาะเลี้ยงจากฟาร์มมีสัดส่วนของโอเมกา 6 และ 3 อยู่ที่ (1: 3–4) ซึ่งนับเป็นอัตราส่วนที่ดีมาก แต่นั่นก็ยังน้อยกว่าปลาแซลมอนจากธรรมชาติซึ่งเป็น 1:10 ซึ่งเป็นอัตราที่ดีกว่า แต่ทั้งนี้นักโภชนาการก็ให้คำแนะนำว่า ไม่ว่าจะเป็นปลาแซลมอนจากธรรมชาติหรือปลาแซลมอนจากฟาร์มก็ล้วนมีโอเมกา 3 สูงทั้งสิ้น และมีปริมาณโอเมกา 6 ที่ไม่เป็นอันตราย
ปลาแซลมอนที่ถูกเลี้ยงในฟาร์มอาจมีสารปนเปื้อนสูง
จากผลงานการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ในปี 2547 และ 2548 พบว่าปลาแซลมอนจากฟาร์มมีสารปนเปื้อนในระดับความเข้มข้นสูงกว่าปลาแซลมอนจากธรรมชาติ ซึ่งสารปนเปื้อนที่ว่าได้แก่ โพลีคลอริเนตไบฟีนิล (Polychlorinated Biphenyls : PCBs) อันเป็นสารเคมีที่มีคลอรีนเป็นส่วนประกอบหลัก และเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งและปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
ทั้งนี้ มีรายงานว่าระดับของสารปนเปื้อนในปลาแซลมอนในฟาร์มยุโรป โดยเฉพาะนอร์เวย์ได้ลดลงจนไม่มีอะไรน่าหนักใจ ดังนั้น ทุกคนสามารถรับประทานปลาแซลมอนได้อย่างไร้ข้อกังวลใจ
ยาปฏิชีวนะในปลาที่เลี้ยงในฟาร์ม
ในการเพาะเลี้ยงปลาโดยทั่วไปมีจำนวนปลาที่ค่อนข้างหนาแน่น ปลาที่เลี้ยงในฟาร์มมักมีความไวต่อการติดเชื้อและโรคมากกว่าปลาที่เติบโตตามธรรมชาติ และการแก้ปัญหาการติดเชื้อจึงมีการเพิ่มยาปฏิชีวนะไปในอาหารปลา
การใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่มีการควบคุมและไม่รับผิดชอบนั้น นับเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญ อีกทั้งยังทำให้อาหารปนเปื้อนและส่งผลต่อสุขภาพของผู้บริโภคโดยตรง แต่นับว่าเป็นเรื่องดีที่ผู้ผลิตปลาแซลมอนรายใหญ่ที่สุดของโลกอย่างนอร์เวย์และแคนาดาได้ผ่านการรับรองว่ามีการควบคุมการใช้ยาอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถึงกระนั้นก็มีการตรวจพบว่าชิลีซึ่งเป็นผู้ผลิตปลาแซลมอนฟาร์มเป็นอันดับสองของโลกกำลังประสบปัญหาจากการใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไป เอาเป็นว่าหากใครที่กังวลเกี่ยวกับสารปนเปื้อนจากยาปฏิชีวนะควรหลีกเลี่ยงปลาแซลมอนที่มาจากชิลี
ปลาแซลมอนจากแหล่งธรรมชาตินั้นคุ้มค่ากับราคาจริงไหม
แม้ราคาของปลาแซลมอนจากธรรมชาติสูงกว่าปลาแซลมอนจากฟาร์มเลี้ยง อีกทั้งปลาแซลมอนฟาร์มยังมีขนาดใหญ่กว่าและให้โอเมกา 3 มากกว่า แต่ถ้าเทียบโภชนาการโดยรวมและความแตกต่างด้านสิ่งแวดล้อมแล้วล่ะก็ เราคงต้องบอกว่าปลาแซลมอนจากฟาร์มอาจจะมีสารปนเปื้อนที่เป็นอันตรายมากกว่าปลาแซลมอนจากธรรมชาติอย่างที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น
จริงอยู่ที่สารปนเปื้อนเหล่านี้อยู่ในระดับที่ปลอดภัยสำหรับคนทั่วไป แต่ถึงกระนั้นก็มีผู้เชี่ยวชาญและนักโภชนาการบางคนแนะนำว่าเด็กและสตรีมีครรภ์ควรกินปลาแซลมอนที่จับมาจากธรรมชาติเท่านั้นเพื่อความปลอดภัยสูงสุด
และทั้งหมดก็อยู่ที่ทุกคนเลือกแล้ว
แหล่งที่มา
Tag:
, ซีฟู้ด, ปลาแซลมอน,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น