เชื่อว่าเหล่านักกิน โดยเฉพาะคนรักอาหารทะเลคงรู้จักและคุ้นเคยกับ “ปูอลาสก้า” หรือ “Alaska King Crab” ซีฟู้ดสุดอลังการที่สร้างความตื่นตาตื่นใจได้ในทุกมื้อ แต่นอกจากความอร่อย ราคา และความนิยมบนโต๊ะอาหารที่ขยายไปทั่วโลก ในเปลือกแข็งของปูที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลกนี้ยังแอบซ่อน “5 ความลับ” ที่ทำให้ปูอลาสก้ายังคงเป็นหนึ่งในอาหารทะเลสุดอลังการที่ไม่ว่าใครก็อยากกินไว้อีกด้วย
1. “บ้าน” ของปูอลาสก้า
ปูอลาสก้าทั้ง 3 สายพันธุ์ คือ Red King Crab, Blue King Crab และ Golden King Crab มีแหล่งอาศัยอยู่ในแถบทะเลแบริงและอ่าวอลาสก้า (พื้นที่ทะเลระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัสเซีย) ที่มีอุณหภูมิหนาวเย็นติดลบและมีความลึกมากกว่า 1,500 เมตร จึงต้องใช้ทั้งเวลาและแรงงานคนอย่างมากในจับแต่ละครั้ง โดยฤดูกาลในการจับปูอลาสก้าคือ ระหว่างเดือนมกราคม - มีนาคม และเดือนตุลาคม - พฤศจิกายน ของทุกปี
2. “จับ” ปูอลาสก้าไม่ใช่เรื่องง่าย
วิธีจับปูอลาสก้านั้นเต็มไปด้วยรายละเอียดและความพิถีพิถันกว่าที่คิด หลังจากหย่อนกรงจับปูลงไป จะต้องรอให้ปูเข้ามาอยู่ในกรงนานประมาณ 5-12 วัน และต้องคอยยกกรงขึ้นมาตรวจเป็นระยะ หากไม่มีปูในกรงก็ต้องย้ายที่จับใหม่ เมื่อได้ปูแล้วก็ต้องทำการคัดเลือกขนาดและคุณภาพกันทันที ตัวไหนไม่ได้มาตรฐานก็ต้องกลับคืนสู่ทะเล โดยเฉลี่ยแล้วลูกเรือจะต้องทำงานกันหนักมากถึง 20 ชั่วโมงต่อวัน
3. รู้จัก “นักจับปูอลาสก้าเดนตาย”
ไม่เพียงความยากในการจับเท่านั้น แต่สภาพอากาศและคลื่นลมที่แสนหฤโหดยังท้าทายเหล่าลูกเรือที่เรียกว่า “Deadiest Catch” หรือ “นักจับปูเดนตาย” ที่ต้องเสี่ยงชีวิตท่ามกลางความหนาวเหน็บและสภาพอากาศที่แปรปรวนสุดๆ เรียกว่าใกล้ชิดกับความตายทุกเมื่อ และถือเป็นหนึ่งในอาชีพที่เสี่ยงอันตรายมากที่สุดในโลก แต่ค่าตอบแทนนั้นก็สูงมากเช่นกัน โดยการออกไปจับปูในแต่ละครั้งจะมีรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.7 ล้าน – 3.5 ล้านบาทต่อฤดูกาล เลยทีเดียว
4. ความอร่อยสุดยอดของ “ปูอลาสก้า”
เนื้อปูอลาสก้ามีสีขาวอมชมพู เต็มไปด้วยความสดฉ่ำ รสชาติหวานเข้มข้น จะนำไปผัด นึ่ง ปิ้ง หรือย่างก็อร่อยโดนใจ โดยเฉพาะเนื้อช่วงตัวและส่วนขาจะนุ่มมากเป็นพิเศษ และมีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 6 - 10 ปอนด์ เลยทีเดียว ซึ่งถือเป็นสายพันธุ์ปูที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ปูอลาสก้ายังมีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย ทั้งกรดไขมันโอเมก้า-3 สูง ไขมันอิ่มตัวต่ำ อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เรียกว่าทั้งอร่อยและดีต่อสุขภาพอีกด้วย
5. สารพันเมนูจาก “ปูอลาสก้า”
นอกจากนำไปปรุงสุก เพื่อกินความสดหวานของเนื้อปูแบบเต็มๆ แล้ว ปูอลาสก้ายังสามารถนำมาทำเมนูจานเด็ดต่างๆ ได้หลากหลายกว่าที่คิด ไม่ว่าจะเป็นนำมาทอดแบบเทมปุระ ทำเป็นซุปครีมหรือพาสต้าเนื้อปู ไปจนถึงเมนูฟิวชันแบบไทยๆ เช่น ต้มยำกุ้งและแกงเขียวหวานปูอลาสก้า ที่สำคัญยังดัดแปลงเป็นเมนูอร่อยง่ายๆ ที่บ้าน อาทิ ไข่ตุ๋นปู พาสต้า และสลัดเนื้อปูอลาสก้า เพิ่มความน่ากินในทุกมื้ออาหารได้อย่างสุดสร้างสรรค์
Tag:
, ซีฟู้ด, ปูอลาสก้า,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น