ก่อนหน้านี้เราเคยได้ยินเรื่องราวของ อลาสก้า (Alaska) กันมาบ้างแล้วว่า เป็นรัฐที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของสหรัฐอเมริกา แวดล้อมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติที่งดงามสมบูรณ์ มีธารน้ำแข็ง มหาสมุทร และเทือกเขา รวมถึงอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี  ที่นี่จึงเป็นดินแดนแห่งความฝันที่หลายคนอยากมาสัมผัสความมหัศจรรย์ให้ได้สักครั้งในชีวิต   แต่อลาสก้าไม่ได้มีแค่ความงามของทัศนียภาพที่เราเห็นเท่านั้น ยังเป็นแหล่งทรัพยากรที่อุดมไปด้วยปลาและสัตว์น้ำจากแหล่งธรรมชาติ ที่เป็นต้นทางของอาหารทะเลชั้นเยี่ยมจนกระจายความอร่อยไปทั่วโลกอีกด้วย

1.1 Alaska Seafood : อาหารทะเลธรรมชาติ
สิ่งที่ทำให้อาหารทะเลจากอลาสก้ามีรสชาติ สีสัน และเนื้อสัมผัสที่โดดเด่น นั่นเป็นเพราะบรรดาปลาและสัตว์น้ำของอลาสก้าอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติทางตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแหล่งน้ำที่สะอาดที่สุดของโลก เป็นที่มาของซีฟู้ดสุดโอชะมากมาย ไม่ว่าจะเป็น อลาสก้าคิงแครบ (Alaska King Crab) ปูยักษ์อันเลื่องชื่อ หอยเชลล์อลาสก้า (Alaska Scallops) ที่เนื้อนุ่มและหวาน เช่นเดียวกับปลาเนื้อขาวขวัญใจชาวฟู้ดดี้อย่างปลาค็อด (Cod) ปลาแบล็คค็อด (Black Cod) อลาสก้าพอลล็อค (Alaska Pollock) รวมถึงไฮไลต์สำคัญอย่างปลาแซลมอน (Alaska Salmon) ที่ได้รับความนิยมจากเชฟและผู้บริโภคทั่วโลกในขณะนี้

ปลาแซลมอนของที่นี่พบได้ 5 สายพันธุ์ด้วยกัน คือ คิงแซลมอน (King Salmon) แซลมอนตัวโตสมชื่อเนื้อนุ่มฉ่ำ สีแดงสด  ซ็อกอายแซลมอน (Sockeye Salmon) เนื้อแน่น สีแดงเข้ม ไขมันน้อย โคโฮแซลมอน (Coho Salmon) เนื้อสีส้มอมแดง รสชาตินุ่มนวล เคตาแซลมอน (Keta Salmon) เนื้อสีส้มอมชมพู และพิงค์แซลมอน (Pink Salmon) เนื้อสีชมพูอ่อน นุ่มอร่อย ซึ่งปลาแซลมอนตามธรรมชาติเหล่านี้ล้วนมีลักษณะที่แตกต่างจากปลาแซลมอนที่เลี้ยงในฟาร์ม (Farm-raised Salmon) อย่างสิ้นเชิง อันเป็นผลมาจากแหล่งอาหารอันอุดมสมบูรณ์และสะอาดของทะเลอลาสก้าและการที่พวกมันได้ว่ายน้ำอย่างอิสระ  แซลมอนอลาสก้าจึงมีเนื้อมาก ไขมันน้อย และมีโอเมก้า-3 สูง อีกทั้งได้การยอมรับว่ารสชาติดีเยี่ยม

1.2 Sustainable Fisheries : ทำประมงอย่างยั่งยืนอย่างชาวอลาสก้า
เพราะชาวอลาสก้าใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ผู้คนที่นี่จึงหวงแหนและให้ความสำคัญกับเรื่องทรัพยากรอย่างที่สุด ไม่ใช่แค่ชาวประมงของอลาสก้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาครัฐที่กระโจนลงมาช่วยอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการทำประมงที่ใช้หลักการอาหารยั่งยืน (Sustainable Food) การออกทะเลทุกครั้งจึงไม่ใช่การทำประมงธรรมดา แต่เรียกได้ว่าเป็น “งานฝีมือ” แขนงหนึ่งที่นอกจากจะต้องใช้ประสบการณ์แล้ว ยังต้องมีความเข้าใจเรื่องธรรมชาติ รู้จักปลา รู้จักลม รู้จักทะเลเป็นอย่างดี ชาวอลาสก้าจะทำประมงตามฤดูกาลเท่านั้น ซึ่งในแต่ละปีจะมีจำนวนโควต้าในการจับที่เข้มงวดและต้องหยุดจับทันทีเมื่อครบจำนวน รวมถึงมีการกำหนดพื้นที่และควบคุมการใช้อุปกรณ์ที่จะไม่รบกวนวงจรชีวิตของปลามากเกินไป

ฤดูกาลจับปลาแซลมอนของอลาสก้าจะเริ่มอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนพฤษภาคมไปถึงปลายกันยายน ซึ่งในแต่ละพื้นที่จะมีการใช้อุปกรณ์ที่ต่างกัน ทั้งการจับแบบใช้อวนติดตาที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า (Gillnet) การใช้รอกตกปลา (Troll) หรือการใช้อวนล้อมจับ (Purse Seining) ที่ยาวและลึกทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพื้นที่ในการออกเรือ เช่น บริเวณอ่าวเบอริ่งที่อนุญาตให้จับคิงส์แซลมอนได้ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมถึงสิ้นกันยายนด้วยวิธีการจับด้วยอวนติดตา เป็นต้น

ในขณะที่ปลาเนื้อขาวนั้นมีสายพันธุ์ที่หลากหลายและสามารถจับได้ตลอดแทบทั้งปี อุปกรณ์ที่ใช้ก็แตกต่างจากการจับปลาแซลมอนอย่างสิ้นเชิง มีการจับด้วยเบ็ดราว (Longline) ใช้ลอบจับปลา (Pots) ซึ่งวิธีนี้ชาวอลาสก้าใช้ในการดักจับปูด้วย รวมถึงการใช้อวนลาก (Trawl) ซึ่งเป็นที่นิยมกัน ส่วนการจับกุ้ง หอย และปูนั้นก็ยังเพิ่มวิธีการดำน้ำ (Dive) ลงไปด้วย ยังไม่รวมกระบวนการต่อจากนี้ที่เราจะเล่าถึงในครั้งต่อไป

เรียกว่ากว่าจะได้ซีฟู้ดอร่อยๆ นั้น ต้องผ่านขั้นตอนที่ซับซ้อนและพิถีพิถันโดยไม่ทำลายระบบนิเวศน์ และนี่คือเหตุผลที่ทำให้อาหารทะลจากอลาสก้าได้การรับรองเรื่องการจัดการประมงอย่างยั่งยืน (Responsible Fisheries Management (RFM)) จาก Global Sustainable Seafood Initiative หรือ GSSI การอุดหนุนซีฟู้ดจาก

อลาสก้าจึงเหมือนได้สนับสนุนการทำประมงอย่างยั่งยืนไปในตัว เราจะได้มีซีฟู้ดดีๆ ไว้กินอีกนานๆ

Tag: , ซีฟู้ด, ปลาแซลมอน, ปูอลาสก้า,