ผ่านเทศกาลแห่งความสุขในช่วงต้นปีได้ไม่นาน ผมก็เตรียมแผนเที่ยวให้สบายใจอีกครั้ง โดย “ญี่ปุ่น” ยังคงเป็นหนึ่งในจุดหมายที่ใฝ่ฝัน แต่ถ้าไปเที่ยวญี่ปุ่นเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างโอซากา โตเกียว เกียวโต โยโกฮามะ เซนได ฯลฯ ก็คงจะน่าเบื่อแย่ เพราะจริงๆ แล้วแดนปลาดิบอันกว้างใหญ่ไพศาลยังมีอะไรดีๆ แอบซ่อนอยู่อีกนับไม่ถ้วน ทริปเที่ยวฉบับนี้ผมค้นหาจุดหมายใหม่ที่ไม่คุ้นเคย เก็บกระเป๋าแพ็กเสื้อกันหนาวเดินทางสู่เกาะฮอนชู (Honshu) เกาะหลักของญี่ปุ่น เพื่อสัมผัสจุดกึ่งกลางของเกาะแห่งนี้ที่ได้ฉายาว่าเป็น “หัวใจของแดนปลาดิบ” นั่นคือ “จังหวัดนางาโนะ” (Nagano Prefecture) ที่มีเรื่องราวให้เราค้นหาไม่รู้จบ
นางาโนะตั้งอยู่ในภูมิภาคชูบุ หรือภาคกลางของญี่ปุ่นนั่นเอง ที่นี่เป็นแหล่งปลูกข้าวสำคัญ แต่ฤดูหนาวก็มีหิมะตกอย่างหนักหน่วงเพราะมีเทือกเขา Japan Alps พาดผ่าน ประกอบกับได้รับลมหนาวจากทะเลตะวันตกโดยตรง เมื่อปะทะเข้ากับเทือกเขาสูงก็เลยกลั่นตัวเป็นหิมะ นางาโนะจึงมีหิมะตกหนามาก จนนักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งชอบไปดู Ice Wall กันที่นี่ล่ะครับ แต่สำหรับทริปนี้ยังไม่หนาวจัด ผมเลยจะขึ้นไปเล่นหิมะบนสกีรีสอร์ตแทน เพราะเมื่อบินลงที่สนามบินนาริตะของโตเกียวแล้วก็สามารถนั่งรถไฟชิงกันเซ็ง (รถไฟหัวกระสุนความเร็วสูง) มุ่งหน้าทิศตะวันตกสู่นางาโนะได้ในเวลาเพียง 80-100 นาทีเท่านั้น
ผมอยากไปเที่ยวนางาโนะมานานแล้ว เพราะได้ยินคำร่ำลือว่าเป็นดินแดนธรรมชาติสวย 4 ฤดู ทั้งในฤดูใบไม้ผลิ ร้อน ใบไม้ร่วง และหนาว อาหารก็อร่อย อีกทั้งผู้คนก็เปี่ยมอัธยาศัยไมตรีอาบอิ่มวัฒนธรรมแดนอาทิตย์อุทัยย้อนไปได้หลายร้อยปี ผสานกันอย่างลงตัวกับความไฮเทคแบบญี่ปุ่นยุคใหม่ นางาโนะจึงเป็นดินแดนที่หลากหลายซะจริงๆ สำหรับผม
ด้วยความที่เป็นคนเมืองร้อนแต่ดันชอบอากาศเย็น ผมเลยไปเที่ยวจุดแรกที่ “คารุอิซาวะ สกีรีสอร์ต” หรือ “Prince Snow Resort Karuizawa” อันมีชื่อเสียง เพราะเป็นหนึ่งในสกีรีสอร์ตสุดหรูขนาดใหญ่ของจังหวัดนางาโนะที่คนนิยมไปพัก ไปเล่นสกี เล่นสโนว์บอร์ดกันอย่างล้นหลาม สกีรีสอร์ตนี้ตั้งอยู่บนภูเขาสูงนับพันเมตรที่เมืองคารุอิซาวะ (Karuizawa) มีที่พักสะดวกสบาย พร้อมด้วยน้ำแร่ร้อนออนเซ็นให้แช่เพื่อสุขภาพ เราจะเห็นแขกผู้เข้าพักส่วนใหญ่แต่งตัวด้วยชุดเล่นสกีพร้อมลุยหิมะเดินไปมาอย่างกระฉับกระเฉง เรียกว่าถึงแม้ห้องพักจะหรูและมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากเพียงใด แต่คนญี่ปุ่นเขาก็ยังแอกทีฟและชอบออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้งโดยออกกำลังกายแก้หนาวกันมากกว่า ที่ลานสกีจึงมีคนไปรวมตัวกันอยู่แทบทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ที่ไปเล่นหิมะกับพ่อแม่ บางครอบครัวสนุกสนานกับกระดานลื่นหิมะ ส่วนเด็กคนไหนที่เล่นสกีไม่เป็น เขาก็มีครูสอนให้ฟรี แต่สำหรับคนที่เล่นสกีและสโนว์บอร์ดจนเชี่ยวแล้วก็จะนั่งกระเช้าห้อยขาขึ้นไปสู่จุดปล่อยตัวบนยอดเขาเพื่อเล่นสกีลงมาตามทางลาดหิมะขาวยาวเหยียดหลายกิโลเมตร ทำให้คารุอิซาวะ สกีรีสอร์ต เคยใช้เป็นที่เก็บตัวของนักกีฬาทีมชาติญี่ปุ่นเพื่อเข้าแข่งกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวมาแล้ว
ในเมืองคารุอิซาวายังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ห้ามพลาดอีกแห่งคือ “น้ำตกชิราอิโตะ” (Shiraito Falls) เป็นน้ำตกที่แวดล้อมด้วยแมกไม้เขียวขจีร่มรื่น ความพิเศษคือเป็นน้ำตกที่สูงแค่ 3 เมตร แต่ยาวถึง 70 เมตร แผ่ออกไปในแนวโค้งสวยงามเหมือนผาน้ำตกใสไหลเย็น รินลงมาเป็นสายเล็กสายน้อยนับร้อยๆ จนไปรวมตัวกันในแอ่งน้ำใสสีมรกตเบื้องล่าง ตามโขดหินรอบๆ มีมอสส์และเฟินสีเขียวสดเย็นตาขึ้นอยู่เป็นแผงใหญ่ เสียงน้ำไหลเสนาะโสต เรียกว่าใกล้ชิดธรรมชาติสุดๆ ไปเลย
ยังอยู่กับหิมะขาวหนาวเย็นกันต่อที่ “อุทยานลิงหิมะจิโงกุดานิ” (Snow Monkey Park หรือ Jigokudani Yaen-Koen) เมืองยามาโนะอุจิ (Yamanouchi) ที่นี่ถือเป็นสวรรค์ของลิงหิมะเลยก็ว่าได้ เพราะมีบ่อน้ำแร่ร้อนเหมือนสปาธรรมชาติตั้งอยู่กลางทุ่งหิมะ ให้ฝูงลิงภูเขาได้ลงไปอาบแช่แก้หนาวกันอย่างน่ารักน่าชังจนคนอิจฉา อุทยานลิงหิมะนี้ตั้งอยู่กลางหุบเขาจิโงกุดานิ โดยมีลิงป่าอาศัยอยู่ประมาณ 200 ตัว ทีแรกพวกมันแอบลงมาแช่น้ำร้อนออนเซ็นเล่น ชาวบ้านใจดีเลยไปสร้างบ่อน้ำร้อนไว้ให้ลิงพวกนี้แช่คลายหนาวซะเลย จนมันได้รับฉายาว่า “ลิงหิมะ” แสนน่ารัก เราจะเห็นมันลงไปแช่น้ำร้อนหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข โดยเฉพาะวันที่หิมะโปรยปราย
การเข้าชมต้องใช้รถของรีสอร์ตหรือของเทศบาลเมืองขับไปจอดตรงทางเข้าแล้วเดินป่าต่อไปอีก 15-20 นาที ผ่านป่าสนที่ร่มรื่นมาก ลิงพวกนี้สุภาพไม่ดุร้าย ค่อนข้างเงียบ จะมีก็แต่ตัวเด็กๆ ที่ซุกซนตามประสา การถ่ายภาพเข้าใกล้ได้แต่ต้องช้าๆ และไม่ส่งเสียงดัง มันจะได้ไม่ตกใจครับ นอกจากนี้เขายังห้ามให้อาหารลิงเด็ดขาด อย่าเผลอล่ะ ไม่เหมือนลิงบ้านเราที่คนให้อาหารกันจนชิน
ชาวญี่ปุ่นบอกว่าสตรอว์เบอร์รีฤดูหนาวอร่อยกว่าฤดูอื่น เพราะรสชาติจะเข้มข้น สีจะสด ผมต้องการพิสูจน์จึงเดินทางไปที่เมืองยามาโนะอุจิ (Yamanouchi) ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นเนินเขาและที่ราบสูงสุดลูกหูลูกตา อากาศก็บริสุทธิ์เย็นสบายตลอดปี มีผลไม้เมืองหนาวปลูกหลายชนิดทั้งแอปเปิล สตรอว์เบอร์รี และเบอร์รีชนิดต่างๆ โดยเฉพาะช่วงปลายฤดูหนาวต่อฤดูใบไม้ผลิจะมีสตรอว์เบอร์รีออกเยอะ เขาเลยจัดกิจกรรมสนุกๆ สำหรับครอบครัวให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเก็บสตรอว์เบอร์รีออร์แกนิกไม่ใช้สารเคมี เด็ดปุ๊บจิ้มนมข้นหวานกินได้ปั๊บ สดอร่อยหอมขึ้นจมูกมาก แต่ละคนจะมีถาดใส่นมข้นหวานของตัวเองเดินไปกินไปเพลินๆ ข้อดีคือกินเท่าไรก็ได้ และนมข้นหวานของญี่ปุ่นก็หวานน้อยไม่อันตรายต่อสุขภาพด้วย
ส่วนฟาร์มอีกแห่งที่ต้องไปชมให้ได้ในเมืองอาซูมิโนะ (Azumino City) คือ “ไดโอะวาซาบิฟาร์ม” (Daio Wasabi Farm) เป็นฟาร์มใหญ่และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น เริ่มกิจการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1915 ภายในพื้นที่กว่า 15 เฮกเตอร์ สภาพธรรมชาติและสายน้ำของฟาร์มบริสุทธิ์มาก ริมลำธารมีกังหันน้ำทำด้วยไม้แบบโบราณให้ชมแปลงปลูกวาซาบิของที่นี่ มีน้ำสะอาดไหลผ่านตลอด เก็บเกี่ยวทุก 2 ปี มีร้านอาหารรสเลิศเสิร์ฟโซบะรสวาซาบิ ไอศกรีมวาซาบิ และขนมรสวาซาบิหลายสิบชนิดให้ชิมกันเต็มอิ่มเลย
เปลี่ยนบรรยากาศจากการท่องธรรมชาติมาเที่ยววัดวาอารามกันบ้าง แห่งแรกผมไปที่ “ศาลเจ้าซุวะ” (Suwa Shrine) เมืองซุวะ (Suwa City) นี่คือศาลเจ้าลัทธิชินโตที่สำคัญและเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น อายุถึง 1,200 ปี เราจะรับรู้ได้ถึงความเก่าแก่ของป่าสนต้นไม้โบราณและศาลเจ้าที่สร้างด้วยไม้ล้วนๆ ผู้คนนิยมมาขอพรให้อายุยืน ไร้อุบัติเหตุ และงานก้าวหน้า ภายในวัดมีท่อนซุงยักษ์ (เสาออนบาชิระ) 4 ต้นที่ใช้ประกอบพิธีออนบาชิระมัตสึริ (Onbashira Matsuri Festival) ซึ่งจัดกันทุก 7 ปี โดยปล่อยให้ซุงยักษ์ไถลลงมาจากเนินเขาพร้อมกับมีผู้ชายนับร้อยคนขี่อยู่ ศาลเจ้าซุวะมีศาลเจ้าสาขาอีกกว่า 10,000 แห่งทั่วญี่ปุ่น จึงได้รับความเคารพอย่างยิ่ง
จากนั้นไปต่อกันที่ “วัดเซนโคจิ” (Zenkoji Temple) เมืองนางาโนะ (Nagano City) เป็นวัดพุทธแห่งแรกในญี่ปุ่น เก่าแก่ถึง 1,400 ปี สร้างขึ้นสมัยศตวรรษที่ 7 ภายในวิหารใหญ่เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปองค์แรกของญี่ปุ่นชื่อ “อิกโกะ ซันซอน อมิตตะ เนียวไร” (Ikko-Sanzon Amida Nyorai) หรือฮิบุตสึ (Hibutsu) ที่เชื่อกันว่าอัญเชิญมาจากเกาหลีเมื่อปี ค.ศ. 522 พระพุทธรูปองค์นี้ไม่เคยนำออกแสดงต่อสาธารณชนเลย จึงได้ฉายาว่า “Secret Buddha”
ส่งท้ายทริปนางาโนะกันด้วยความยิ่งใหญ่ของ “ปราสาทมัตสึโมโตะ” (Matsumoto Castle) ซึ่งเป็นปราสาทโบราณใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ตัวปราสาทเก่าแก่กว่า 400 ปี สร้างขึ้นช่วงปี ค.ศ. 1593-1594 อันเป็นยุคสงครามระหว่างรัฐ ซึ่งเจ้าเมืองต่างๆ แย่งชิงอำนาจทำสงครามกันดุเดือด ปราสาทมัตสึโมโตะเดิมชื่อ “ปราสาทฟุกาชิ” (Fukashi Castle) ผู้บูรณะใหม่คือซาดาโยชิ โองาซาวาระ (Lord Sadayoshi Ogasawara) สร้างให้มีทั้งป้อมปราสาทและหอคอยสูง “เทนสุ” (Tensu) เมื่อมีข้าศึกมารุกรานก็สามารถขึ้นไปหลบภัยบนนั้นได้ หอคอยมี 6 ชั้น มีช่องเปิดปิดและรูสำหรับยิงปืน ยิงธนู ทิ้งก้อนหินใส่ข้าศึก ปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บรักษาสมบัติโบราณ ปืนคาบศิลา ชุดนักรบ ฯลฯ
บอกแล้วว่านางาโนะมีความหลากหลายมาก และสามารถเติมเต็มความสุขให้เราได้ในหลายมิติแง่มุม หากต้องการสัมผัสญี่ปุ่นในมุมพิเศษๆ รับรองว่านางาโนะคือหนึ่งจุดหมายในฝันที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งครับ
Traveler’s Guide
- Season : เที่ยวได้ตลอดปี แต่เดือนเมษายน-ตุลาคมอุ่นที่สุด อุณหภูมิ 20-25 องศาเซลเซียส นอกนั้นหนาวจัด
- Getting There : จากเมืองไทยไปนางาโนะง่ายสุดคือนั่งเครื่องบินไปลงโตเกียวแล้วต่อรถไฟชิงกันเซ็ง, นั่งรถบัสประจำทางหรือเช่ารถยนต์ขับไปที่นางาโนะได้ ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.go-nagano.net
- More Info : www.go-nagano.net/en/, www.japan-guide.com
Tag:
, Far Away, ญี่ปุ่น,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น