นี่คือสิ่งที่เราคิดว่าจะได้ยินจากคนร่วมทริปตอนที่เรากำลังพิจารณาว่าจะไปกินข้าวเที่ยงที่ร้าน IYO ร้านอาหารญี่ปุ่นแนวฟิวชันที่มิลาน ซึ่งเพิ่งได้มิชลินสตาร์มาดาวหนึ่งไปหมาดๆ
เหตุผลหลักอย่างแรกเลยคือที่มิลานมีร้านอาหารญี่ปุ่นเยอะมากครับ เยอะกว่าอาหารจีนอีกล่ะมั้ง เอาจริงๆ คือรองจากพิซซา พาสตา ก็อาหารญี่ปุ่นนี่ล่ะครับ ไม่รู้ว่าคนอิตาลีไปถูกโฉลกกับอาหารญี่ปุ่นที่ตรงไหน ที่เห็นเหมือนกันอยู่อย่างเดียวคือกินข้าวเหมือนกัน ซึ่งก็เป็นข้าวคนละชนิดอีก ในฐานะที่เป็นคนชอบอาหารญี่ปุ่นมากคนหนึ่ง เราเลยอยากรู้มากว่าอาหารญี่ปุ่นที่คนอิตาลีกินเป็นอย่างไร คืออาหารญี่ปุ่นในอิตาลีนี่มันก็หากินนอกอิตาลีไม่ได้ด้วย ต้องลองสักหน่อย
อีกอย่างคือเราสนใจว่าเชฟที่นี่จะมีการใช้ของทดแทนกันอย่างไรบ้าง คือญี่ปุ่นกับอิตาลีอยู่กันคนละทวีปคนละคาบสมุทรนะครับ เราเชื่อว่าเชฟคงไม่ได้เอาวัตถุดิบมาจากญี่ปุ่นทุกอย่างหรอก อะไรที่ใช้แทนได้ก็คงใช้แทนกันบ้าง หรืออะไรที่เปลี่ยนจากสูตรดั้งเดิมแล้วน่าสนใจเขาก็คงจัดการไป ตัวร้านเองก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นร้านฟิวชัน ไม่ได้เน้นถือตามขนบอะไร ซึ่งเราไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะตัวเองค่อนข้างเปิดกว้างให้กับการพลิกแพลงของอาหาร คือถ้าไม่ได้อุตริเอาริซอตโตมาทำซูชิก็คิดว่าพอกินได้อยู่
หลังจากอ่านเมนูซ้ำไปมา หารูปอาหาร อ่านรีวิวคร่าวๆ แล้วก็คิดว่าร้านนี้พอเชื่อได้ ขณะที่กำลังร่ายเรียงคำอธิบายอยู่ในหัวเพื่อเตรียมชักจูงพี่สาว พี่นางก็ตอบกลับมาตั้งแต่คำแรกว่า “ดูดี...ไป” ส่วนแม่นั้นบอกว่า “ตามใจลูก” ตั้งแต่ยังไม่ถามด้วยซ้ำ ชวนง่ายกว่าเพื่อนก็คือคนในบ้านนี่ล่ะครับ บอกตรงๆ
ไปถึงมิลานเสียที ร้านใหญ่โตโอ่โถงมากครับ คนอิตาลีนี่กินข้าวช้ามาก คือไปตอนเที่ยงครึ่งนี่กลายเป็นลูกค้ากลุ่มแรกของร้านครับ เพราะร้านเพิ่งเปิด เมนูดูดีหลายจานมาก แต่ทางร้านบอกว่าถ้าจะสั่งโอมากาเสะก็คือทุกคนในโต๊ะต้องกินแบบเดียวกัน ด้วยข้อจำกัดในการเตรียมอาหารสักอย่าง บ้านเรามองหน้ากันแล้วก็ได้ข้อสรุปอย่างรวดเร็วว่า...เออดี ไม่ต้องคิดเยอะ ยกอะไรมาให้กินก็กินครับ
จานที่ 1 ไข่เจียวหน้าเศษหอยเชลล์
เป็นไข่เจียวที่อร่อย ไม่ใช่ไข่หวาน รสชาตินี่คือไข่เจียวเค็มๆ แบบบ้านเรานี่แหละ แต่อย่างที่บอกว่าเป็นไข่เจียวที่ทำได้ดี บอกเลยครับว่าร้านไหนทำไข่เจียวอร่อยนี่มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว ตอนไปกินข้าวกับเพื่อนต่อให้สั่งอาหารมาเยอะแค่ไหน ไข่เจียวก็จะหมดเป็นอย่างแรก การที่ออร์เดิร์ฟเป็นไข่เจียวที่ดีเลยคิดว่าจะตั้งความหวังกับจานต่อๆ ไปได้ ส่วนเศษหอยที่โปะบนหน้าเราว่าอร่อยดี แต่บางคนอาจบอกว่าเหนียวไปก็ได้ อันนี้น่าจะแล้วแต่วัยของคนกิน (ผมไม่ได้หมายถึงแม่นะครับ)
จานที่ 2 เกี๊ยวซ่าทอดไส้ปลาราดซอสมิโซะ
เกี๊ยวทอดได้ดี กรอบอร่อย แต่จะว่ายังไงดี คือรสมันก็ซอสมิโซะเค็มๆ หวานๆ ไม่มีอะไรพูดมากกับจานนี้
จานที่ 3 น้ำซุปปลาหมึกใส่ซังโช (พริกไทยญี่ปุ่น) กับปลาแห้งไสบางๆ
ดีมาก อร่อยมาก ง่ายมาก ลึกซึ้งมาก คือเป็นซุปจากการต้มปลาหมึกนี่แหละ แต่ปรุงออกมาได้กลมกล่อม มีรสปลาหมึกแห้งแต่ก็ไม่เหม็น อูมามิครบถ้วน มีปลาแห้งมาคอยดึงรสเค็ม และให้เคี้ยวไม่ให้เหงาปาก นอกจากความอร่อยที่เข้าใจง่ายแล้วยังมีกลิ่นฉุนขึ้นจมูกของซังโชเป็นลูกเล่นมาเป็นระยะ ชามนี้หมดเร็วมาก เพราะสุดท้ายแล้วช้อนมันไม่ทันใจ เลยยกซดแบบญี่ปุ่นไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม
จานที่ 4 ชุดซูชิ (ชูโทโรแปะด้วยเจลลีรสเลมอนกับปลาคัตสึโอะ ฮามาจิโรยพริกไทยกับพริกเม็กซิกัน โฮตาเตะป้ายส้มยูซุ ทูน่าหมักซอสโชยุอิกะอาบุริ โทโรทาร์ทาร์กับวาซาบิบิหั่น)
คนเสิร์ฟแนะให้กินจากขวาไปซ้าย เราก็เลยทำตามแบบว่าง่าย ชิ้นแรกนี่พอฟังบรรยายแล้วรู้สึกหะรูหะรามาก เจลลีแปะบนปลาดูแปลกตา แต่รสธรรมดากว่าที่คิด คือก็เค็มๆ เปรี้ยวๆ แต่ที่เซอร์ไพรส์มากคือชิ้นที่ 2 กับ 3 ครับ พริกไทยที่โรยมานี่น่าจะพิเศษเพราะหอมขึ้นจมูกทันที ผสมกับความเปรี้ยวเผ็ดของพริกเม็กซิกันที่มีลักษณะคล้ายทาบาสโกแล้วก็เหมือนรสชาติแร็ปแดนซ์อยู่ข้างใน คือปลาฮามาจิไม่ค่อยมีรสของตัวเองอยู่แล้ว เลยเน้นการเล่นกลิ่นไปเลย ซึ่งเราไม่เคยเจอซูชิแบบนี้ที่ทำได้ดีเท่านี้เลย คือเป็นซูชิที่ต้องหากินนอกญี่ปุ่นเท่านั้นจริงๆ ถึงจะคิดออกมาได้ ส่วนหอยโฮตาเตะกับส้มยูซุก็เข้ากันมากเช่นกัน หมดเลี่ยนหมดคาวเหลือแต่ความเฟรชในปาก ส่วนชิ้นอื่นๆ อาจไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ แต่ก็ถือว่าอร่อยทุกชิ้น
จานที่ 5 วากิวทาร์ทาร์กับเมล็ดอะมารันท์
เพิ่งรู้จากอากู๋ว่าเมล็ดอะมารันท์คือเมล็ดของวัชพืชจากชื่อเดียวกันที่คนแอซเท็กบริโภคเมื่อราวๆ 8,000 ปีก่อน แต่ตอนที่มาเสิร์ฟนี่งงเป็นไก่ตาแตกเลยครับ อะมารันท์ที่เคยได้ยินมีแต่อะมารันท์ของ FF9 อย่างไรก็ตาม คติเราคืออะไรที่ไม่รู้กินไปเดี๋ยวก็รู้ อย่างแรกที่ทำคือการเอาเข้าปาก หลังจากกัดผ่านเนื้อวากิวนุ่มๆ แล้วฟันก็ไปกระทบกับเมล็ดอะมารันท์ดังกรุบๆ ส่งกลิ่นรสที่เป็นเอกลักษณ์ออกมาเติมความหอมดับความเลี่ยนให้กับจานนี้ ดีมาก อร่อยมากครับ
จานที่ 6 ปลาหมึกยักษ์ต้มกับซอสม่วงและวาซาบิ
เมนูปลาหมึกจานที่ 2 แล้วนะครับ เขาบอกว่าของที่จัดมาให้เป็น Seasonal Menu ปลาหมึกคงจะอร่อยตอนหน้าหนาว แต่ก็เข้าใจว่าทำไมเชฟอยากเสิร์ฟ เพราะมันอร่อยจริงๆ เนื้อทั้งนุ่มทั้งหวาน ไม่รู้สึกแหยะๆ คาวๆ เวลาเคี้ยวเลย ส่วนซอสม่วงต้องยอมรับตามตรงว่าฟังไม่ทันว่าคนเสิร์ฟอธิบายว่าอย่างไร แต่มีรสชาติหวานๆ มันๆ เลยเดาๆ ว่าน่าจะทำจากมันม่วงบดผสมโน่นนั่นนี่ เช่น บีตรูต ซอสนี้เอามาเสริมรสหวานอ่อนๆ ของปลาหมึกได้ดี กินสลับกับวาซาบิก็อร่อยดีครับ แต่ข้อเสียของคนไทยคือกินปลาหมึกทีไรก็อยากได้ซอสซีฟู้ดทุกที ไม่ดีๆ
จานที่ 7 เกี๊ยวน้ำไส้ไก่กับเนื้อวากิว หัวไช้เท้ากับเปลีอกส้มยูซุ ซุปจากสาหร่ายคอมบุและแฮมไอเบอริโก
บอกตามตรงว่าเกี๊ยวกับไส้นี่เฉยๆ มาก แต่อย่างอื่นนี่ท็อปคลาสสุดๆ หัวไช้เท้าไม่ได้ต้มจนเปื่อย ยังเหลือความกรอบ แปะอยู่กับเปลือกส้มยูซุ เพิ่มทั้งเนื้อสัมผัสและกลิ่นรสได้ดีมาก แต่พระเอกจริงๆ ของจานนี้อยู่ที่ซุปครับ คือแค่ซุปคอมบุนี่ก็อูมามิมาเต็มๆ อยู่แล้ว แต่กลิ่นรสของแฮมทำให้ซุปนี้มีความพิเศษ ทำให้ซุปมันขึ้นแต่ก็ไม่เลี่ยน เป็นรสอ่อนๆ แบบที่ทำให้เราอยากซดไปเรื่อยๆ แต่ข้อเสียของจานนี้บอกเลยว่าร้านงกซุป คือจะเทมาขลุกขลิกทำไมก็ไม่รู้ ส่วนบนของเกี๊ยวเลยยังแข็งๆ เย็นๆ อีกต่างหาก
จานที่ 8 ปลากะพงต้มกับผักโขมต้มโชยุ รมด้วยควันไม้
จานนี้คนเสิร์ฟบอกเลยว่าถ้าจะถ่ายรูปให้เปลี่ยนเป็นโหมดวิดีโอ เพราะร้านมีฝาครอบควันมาเลยครับ พอเปิดมาควันจะฟุ้งออกมาเต็มโต๊ะ หอมจริงจังครับ ปลากะพงที่ต้มมานี่ไม่ได้ปรุงอะไรเลย คือกะให้มากินกับกลิ่นอย่างเดียว ถ้าอ่อนเค็มก็คีบผักโขมต้มซีอิ๊วกับสาหร่ายดองข้างๆ กินไป อร่อยใช้ได้ครับ
จานที่ 9 โพชเอ้กชุบเกล็ดขนมปังทอดกับซอสขาวทำจากปลาค้อดและซอสโชยุหวาน
สิ่งแรกที่คิดเมื่อเห็นจานนี้คือเชฟเอาโพชเอ้กผ่านร้อนผ่านหนาวมาขนาดนี้ได้อย่างไรไข่ไม่แตก สปอยล์ไว้ตรงนี้เลยว่าจานที่รสชาติเข้มข้นที่สุด รวมเมนูทั้งก่อนหน้าและที่ตามมาข้างหลังก็คือจานนี้แหละครับ รสชาติที่เป็นพื้นนี่ให้ลองนึกถึงซอสโอโคโนะมิยากิหรือทาโกะยากิ ส่วนขาวๆ นั่นก็ราวๆ มายองเนส แต่ไม่ได้เค็มปี๋หรือหวานเจี๊ยบอย่างของตามงานวัดที่ใช้ซอสสำเร็จรูปเป็นส่วนใหญ่ ต้องมีมิติของรสและกลิ่น รู้สึกได้ว่าเชฟพิถีพิถันในการปรุงแต่งเพื่อหาความพอดีของซอส 2 อย่างนี้มาก แต่ก็อย่างที่บอกว่าซอสทั้งคู่นี่ทั้งเข้มทั้งมัน แต่ถ้าเจาะไข่แดงเยิ้มๆ ออกมากินพร้อมกันก็จะกลมกล่อมดี แต่อย่ากินเกิน 1 จานเลยครับ ยังไงก็เลี่ยน
จานที่ 10 นกพิราบทอดกับซอสมิโซะแดง
ตอนกำลังรอร้านนี้เปิดเราก็ไปเดินเล่นกันที่สวนสาธารณะใกล้ๆ ซึ่งแถวนั้นมีนกพิราบเดินป้วนเปี้ยนกันอยู่ เห็นแล้วใจก็คิดไป “น่ากินจัง” แต่ละตัวนี้อ้วนพีตามประสานกหน้าหนาว ดูน่าอร่อยทุกตัวเลย มาร้านนี้ก็เหมือนรู้ใจ จัดให้เลย อร่อยตามความคาดหวังครับ ขาไม่ใหญ่เท่าขาไก่ก็จริง แต่เนื้ออัดแน่นแล้วก็ชุ่มรสมาก แถมรสของเนื้อนกพิราบก็เข้ากันได้ดีกับซอสมิโซะที่หอมด้วยเครื่องเทศอย่างน่าแปลกใจ คนญี่ปุ่นเขามีหมูทอดซอสมิโซะก็จริง แต่ไม่ค่อยเห็นสัตว์ปีกกับซอสมิโซะ เลยน่าเอามาลองทำเหมือนกัน
จานที่ 11 เนื้อวากิวกับซอสเอสโตซาและซอสฟักทอง (จานนี้อยู่นอกเมนู พวกเราสั่งเพิ่มเติม)
ถ้าใครเคยไปกินโอมากาเสะหลายที่เขาจะเสิร์ฟมากิหรืออะไรหนักๆ ท้องปิดท้ายเผื่อคนกินไม่อิ่ม อารมณ์เดียวกับข้าวผัดรอบสุดท้ายของโต๊ะจีน แต่ร้านนี้ไม่มี พวกเราสั่งเพิ่มเอาวากิวมาปิดท้ายให้อิ่มเนื้อกันไปข้าง จริงๆ จานนี้ต้องจ่ายเพิ่มหลายสิบยูโรอยู่นะครับ แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้พิเศษอะไรขนาดนั้น คือก็อร่อย แต่ความอร่อยมันก็หยุดอยู่ที่เนื้อวากิว กินสลับกับซอสเขียวหอมสมุนไพรและซอสส้มหวานฟักทองก็กินได้เรื่อยๆ จนหมดจาน แต่พอเทียบกับไอเดียบรรเจิดนานาที่ผ่านมาแล้วจานนี้เลยดูแผ่วไปหน่อย บอกตามตรงถ้าแถมมาในชุดจะไม่บ่นขนาดนี้
จานที่ 12 ไอศกรีมช็อกโกแลตขาวและเชอร์เบต
ดีตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้าย กินแต่ช็อกโกแลตขาวก็อร่อย กินแต่เชอร์เบตก็อร่อย กินพร้อมกันก็อร่อย ช็อกโกแลตขาวข้างนอกนี่ทั้งหวานทั้งหอม กัดไปโดนส่วนที่กรอบๆ ก็ฟินดีครับ เชอร์เบตข้างในก็แกมเปรี้ยวเพิ่มความสดชื่น ตักเข้าปากพร้อมกันลงตัวมากๆ
จานที่ 13 กาตาลานารสวานิลลากับซอสยูซุ ราสป์เบอร์รี และคุกกี้ชาเขียว
จริงๆ ถ้าพูดถึงความพิเศษแล้วไอศกรีมจานที่แล้วอาจจะดีกว่า แต่ขอให้คะแนนนำกับจานนี้เพราะชอบกาตาลานาเป็นการส่วนตัว (รสคล้ายๆ แครมบรูเล หรือทาร์ตไข่) วานิลลาที่เห็นเป็นเม็ดๆ ก็หอมมาก เนื้อก็เนียนลิ้นแบบหาที่ติไม่ได้ แถมคุกกี้ชาเขียวที่เคียงมาด้วยกันก็เซอร์ไพรส์หน่อยหนึ่ง ซึ่งเน้นความขมของชามากกว่าความหวาน เรียกได้ว่าเป็นตัวตัดหวานอีกอารมณ์นอกจากผลไม้ที่ปกติใช้กัน
แนะนำเลยครับร้านนี้ “IYO” ถ้าไปมิลานขอให้ไปลอง การได้ดาวไม่สำคัญเท่ากับความอร่อยจริงๆ พวกเราไปเจอร้าน 2 ดาวที่ไม่ได้เรื่องก็มีครับ
Tag:
, World Food, อาหารญี่ปุ่น, อิตาลี,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น