เมื่อพูดถึง “ฟินแลนด์” เรานึกถึงอะไรบ้าง สายคิวท์อาจนึกถึงเจ้า “มูมิน” (Moomin) ตัวการ์ตูนโทรลน้อยสีขาวและผองเพื่อน ผลงานของนักวาดหนังสือภาพสำหรับเด็กชาวฟินแลนด์ Tove Jansson ที่ครองใจเยาวชนและผู้มีหัวใจกุ๊กกิ๊กทั่วโลกจนถูกสร้างเป็นแอนิเมชันครั้งแล้วครั้งเล่า ล่าสุดคือเวอร์ชัน 2019 ในชื่อ Moominvalley ที่บ้านเราก็มีมูมินคาเฟ่ด้วยนะ ส่วนสายแฟ (ชั่น) ย่อมไม่มีทางไม่รู้จักแบรนด์สุดชิค “มารีเมกโกะ” (marimekko) ที่ช่วงนี้เทรนด์สะพายถุงผ้าต้องลายอูนิกโกะ (Unikko) ดอกไม้สีสดดอกโตซิกเนเจอร์ของแบรนด์กำลังเป็นกระแสฮิตทั่วเมืองไทย
นอกจากนี้ฟินแลนด์ยังมีภาพจำในใจคนที่ยังไม่เคยไปเยือนแบบเราอีกมาก ทั้งเมืองหลวงเฮลซิงกิ ทุ่งหิมะขาวโพลน พระอาทิตย์เที่ยงคืน แสงเหนือออโรรา ซาวน่า ซานตาคลอส และตำแหน่ง “ประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก” ประจำปี 2019 เพราะฉะนั้นประเทศนี้ย่อมมีอะไรให้ฟินไม่น้อยแน่ๆ ลิสต์ได้ขนาดนี้ก็คงต้องเดินทางไปพิสูจน์กับตาสักครั้ง เราเลือกเดินทางในฤดูหนาวเผื่อมีโอกาสได้เห็นแสงเหนือด้วย
แล้วก็เป็นทริปฟินแลนด์ที่ได้ฟินตั้งแต่ขึ้นเครื่องเมื่อบินกับ Finnair ซึ่งคอลแล็บกับแบรนด์ประจำชาติอย่างมารีเมกโกะ นอกจากจะมีสินค้าพิเศษให้ชอปบนเครื่องแล้ว ถ้าเรานั่งชั้นธุรกิจก็จะได้ชุด Travel Kit กระเป๋าและผ้าปิดตาดีไซน์โดยมารีเมกโกะ รวมทั้งหมอน ผ้าห่ม รองเท้าแตะ ไปจนถึงถ้วยชากาแฟพอร์ซเลนที่ให้บริการบนเครื่องก็ดีไซน์โดยมารีเมกโกะทั้งหมด เป็นประสบการณ์การบินที่ชิคมาก
สำหรับทริปนี้เรามุ่งไปที่แลปแลนด์ (Lapland) บริเวณตอนเหนือของประเทศฟินแลนด์เป็นหลัก ซึ่งกินอาณาบริเวณกว้างใหญ่มากๆ มีชายแดนติดกับสวีเดน นอร์เวย์ และรัสเซีย เมื่อถึงเฮลซิงกิจึงต้องต่อเครื่องบินเล็กไปยังเมืองเคมิ (Kemi) (กระซิบว่าเลานจ์ Finnair ที่สนามบินเฮลซิงกิดีงามไม่เบา ถ้ามีเวลาลองแวะกันนะ) เคมิเป็นเมืองเล็กๆ มีแหล่งท่องเที่ยวน่ารักอย่างโบสถ์แห่งเคมิ (Kemi Church) ปราสาทหิมะ (Snow Castle) และภัตตาคารน้ำแข็ง แต่ไฮไลต์สำหรับเราอยู่ที่ที่พัก Seaside Glass Villas ห้อง Seafront Premium Villa Room ห้องพักทรงกล่องที่ล้อมด้วยกระจก 2 ด้านและบนเพดานให้เห็นวิวโดยรอบ เพื่อที่หากแสงเหนือมาให้เห็นเราจะได้นอนดูอย่างเพลิดเพลิน นอกจากวิวบนฟ้าตรงหน้าก็มีวิวทะเลสาบสุดสายตา ในช่วงพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า (ในฤดูนี้ก็หลัง 9 โมงไปแล้ว) จะสวยงามมาก เข้าไปส่องอินสตาแกรมพบว่าในฤดูอื่นๆ ก็สวยงามไม่แพ้กัน ในคืนนี้แม้แสงเหนือไม่มาก็ยังได้นอนมองดาวสกาวเต็มฟ้าสวยงามมาก
ใกล้เมืองเคมิยังเป็นที่ประจำการของเรือตัดน้ำแข็ง เราจึงได้นั่งรถบัสข้ามชายแดนไปสวีเดนเพื่อล่องเรือตัดน้ำแข็ง Polar Explorer Icebreaker เรือที่ออกแบบมาให้แล่นบนทะเลที่กลายเป็นน้ำแข็งในฤดูหนาวได้ เสียงเปรี๊ยะๆ ของแผ่นน้ำแข็งที่แตกร้าววิ่งเป็นทางยาวขณะเรือแล่นผ่านชวนให้ประทับใจในความมุ่งมั่นเอาชนะอุปสรรคต่างๆ ของมนุษย์ขึ้นมาเลย ที่นี่เรายังจะได้ใส่ชุดความร้อนพิเศษลงไปลอยตัวในทะเลน้ำแข็งที่อุณหภูมิต่ำกว่าลบ 20 องศาเซลเซียส! หากหาญกล้าท้าทายกับทะเลเยือกแข็งแล้วก็จะได้ประกาศนียบัตรจากกัปตันมาเป็นที่ระลึกด้วย
ต่อมาเราขึ้นเหนือไปยังเมืองโรวาเนียมิ (Rovaniemi) ประตูสู่แลปแลนด์ ตลอดทางเป็นทุ่งหิมะขาวโพลนและทิวสนเรียงรายดูเหงาๆ ถนนที่นี่ต้องมีรถกวาดหิมะทุกเช้าเพื่อความปลอดภัย โรวาเนียมิเป็นเมืองท่องเที่ยวที่ค่อนข้างคึกคักเพราะมีไฮไลต์อย่างการล่าแสงเหนือและหมู่บ้านซานตาคลอส แต่ถึงจะบอกว่าคึกคัก ราว 6 โมงเย็นตัวเมืองก็เริ่มเหงา มีเพียงนักท่องเที่ยวมารวมกันยังบริษัทท่องเที่ยวที่จัด “กิจกรรมล่าแสงเหนือ” เท่านั้น
กิจกรรมล่าแสงเหนือมีหลายรูปแบบ สายแอดเวนเจอร์อาจนั่งเลื่อนที่ลากโดยน้องหมาฮัสกี ส่วนสายชิลก็มีนอนไปบนเลื่อนกวางเรนเดียร์ ส่วนสายกินแนะนำกิจกรรมแคมป์ไฟร์ปิ้งไส้กรอกมาร์ชแมลโลว์กันไป ฤดูนี้ตกกลางคืนจะหนาวมากและการล่าแสงเหนือต้องอยู่ในที่โล่ง 3-4 ชั่วโมง บริษัทท่องเที่ยวจึงมีเครื่องแต่งกายพิเศษให้ตั้งแต่หัวจรดเท้า แนะนำให้ใส่เถอะ อบอุ่นจนเหงื่อออกเลยแหละ
อีกไฮไลต์คือ “หมู่บ้านซานตาคลอส” (Santa Claus Village) ดินแดนที่เด็กๆ ทั่วโลกใฝ่ฝัน ที่นี่มีภารกิจให้พิชิต 3 อย่าง 1) ไปพบและถ่ายรูปกับคุณลุงซานตาคลอสที่ที่ทำการของซานตาคลอส (Santa Claus Office) ซึ่งควรไปแต่เช้า เพราะช่วงสายๆ คิวยาวมาก 2) ส่งโปสต์การ์ดจากนอร์ธโพลถึงเพื่อนๆ และครอบครัวจากที่ทำการไปรษณีย์ซานตาคลอส (Santa Claus Main Post Office) และ 3) ข้ามเส้นอาร์กติกเซอร์เคิล (Arctic Circle) ฟื้นความรู้ภูมิศาสตร์กันหน่อย เส้นอาร์กติกเซอร์เคิลคือเส้นวงกลมละติจูดที่อยู่เหนือสุดในบรรดาเส้นละติจูดหลักทั้ง 5 (จากเหนือ ได้แก่ อาร์กติกเซอร์เคิล ทรอปิกออฟแคนเซอร์ เส้นศูนย์สูตร ทรอปิกออฟแคปริคอร์น และแอนตาร์กติกเซอร์เคิล) และเป็นตัวกำหนดเขตแดนซีกโลกเหนือ หมู่บ้านซานตาคลอสตั้งอยู่บนเส้นละติจูดนี้พอดี ซึ่งจะมีพิธีต้อนรับในแบบฉบับของเผ่าซามิ (Sami) ชนพื้นเมืองโบราณที่อาศัยอยู่ในแถบนี้ และได้รับประกาศนียบัตรในการมาเยือนดินแดนแห่งนี้ด้วย
หากมีเวลาว่างที่โรวาเนียมิยังมีกิจกรรมให้อิ่มเอมกับทัศนียภาพสีขาวอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเที่ยวชมฮัสกีซาฟารีฟาร์ม นั่งเลื่อนที่ลากโดยเหล่าน้องๆ ไซบีเรียนฮัสกีขาซิ่ง หรือจะแวะฟาร์มกวางเรนเดียร์หรือกวางแคริบูที่สุภาพอ่อนโยน หากชอบลุยๆ หน่อยอาจสนุกกับการขี่สโนว์โมบิลไปบนหิมะฟูๆ อ้อ! มีเอาต์เล็ตของมารีเมกโกะให้ชอปด้วยนะ
เรายังเดินทางขึ้นเหนือต่อไปยังเมืองซาริเซลกา (Saariselka) จุดหมายสุดท้ายในการล่าแสงเหนือทริปนี้ อย่าพลาดเข้าพักในโรงแรมสไตล์อิกลูที่ Hotel Kakslauttanen Glass Igloos ในโซนห้องพักแบบอิกลูจะเห็นอิกลูเป็นหลังๆ เรียงกันอยู่กลางลานหิมะล้อมรอบด้วยทิวสนงดงาม ตัวอิกลูเป็นกระจกใสเห็นวิวภายนอก 360 องศาและอบอุ่นทีเดียว เพียงแต่ไม่มีห้องอาบน้ำในตัว ต้องไปอาบที่โรงอาบน้ำรวม ส่วนโซนกระท่อมล็อกเคบินเป็นห้องใหญ่โตเหมาะสำหรับครอบครัว ในห้องอาบน้ำมีซาวน่าในตัวและมีมุมหลังคากระจกให้ชมวิวด้วย
ทางโรงแรมมีกิจกรรมล่าแสงเหนือให้ แต่หากไม่เข้าร่วมก็ไม่ต้องห่วงว่าจะพลาดโอกาส ข้อดีของที่นี่คือมี “Aurora Alarm” สัญญานเตือนเมื่อแสงออโรราปรากฏติดตั้งไว้ในบ้านพัก เมื่ออะลาร์มดังก็เด้งตัวออกไปชมได้เลย และเป็นโชคดีของเราที่สุดท้ายอะลาร์มก็ดัง!! แสงเหนือที่ได้เห็นในคืนนั้นมองด้วยตาเปล่าไม่ชัดนัก แต่เมื่อมองผ่านกล้องถ่ายรูปก็ปรากฏเป็นแสงสีเขียวชัดเจน วิ่งไปมาสักพักก็กระจายฟุ้งหายไปบนท้องฟ้า จากที่ไม่ได้คาดหวังอะไร ระยะเวลาเพียงกว่า 30 นาทีที่ออโรราปรากฏให้เห็นก็มอบความฟินให้กับสมาชิกในทริปได้อย่างไม่อาจบรรยาย แสงเหนือเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติจึงบอกไม่ได้เลยว่าจะได้เห็นหรือไม่ ใครที่ต้องการล่าแสงเหนือแบบจริงจังต้องตรวจเช็กสภาพอากาศและค่าการเกิดแสงเหนือจากเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันเผื่อไว้ด้วย
แต่หากใครที่เดินทางมาแล้วยังไม่ได้เห็นก็ไม่ต้องเสียใจ กอดเก็บความฟินต่างๆ ที่ได้สัมผัสในระหว่างการเดินทางไว้กลับบ้าน แล้วทริปครั้งใหม่อาจลองแพลนไปล่าแสงเหนือที่ประเทศอื่นดูบ้างก็ไม่เลว
Tag:
, ฟินแลนด์, สถานที่ท่องเที่ยว,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น