นี่คือนครรัฐเล็กๆ ที่ถูกห้อมล้อมด้วยแนวเทือกเขาหิมาลัยด้านตะวันออก สูงเสียดเมฆ ห่มคลุมด้วยความหนาวเย็นของป่าหมอกแสนลึกลับ อุดมด้วยพฤกษานานาพรรณ กล้วยไม้ป่าหายาก และสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ของโลก เสือดาวหิมะ แพนด้าแดง และหมีหิมาลายันฝากรอยเท้าไว้บนเขาสูงชันแถบนี้ ดินแดนที่ตั้งอยู่ภายใต้เงื้อมเงายอดเขาสูงอันดับ 3 ของโลก "ยอดเขาคันเชนฌองก้า" ที่นี่จึงเป็นเสมือนเมืองลับแลของแชงกรีลาแห่งสุดท้ายดินแดนที่ใครหลายคนฝันหา "สิกขิม" (Sikkim)
คันเชนฌองก้า ยอดเขาสูงอันดับ 3 ของโลก บนพรมแดนกั้นสิกขิมกับภูฏาน
เดิมทีในสมัยโบราณสิกขิมเป็นนครรัฐอิสระปกครองโดยกษัตริย์ราชวงศ์นัมเกล (Namgyal) ซึ่งสถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2185 ทว่าการที่สิกขิมตั้งอยู่ในจุดกึ่งกลางที่มีเพื่อนบ้านหลายชาติห้อมล้อม ทั้งอินเดีย ทิเบต เนปาล และภูฏาน ส่งผลให้สิกขิมได้รับอิทธิพลทั้งด้านศาสนา การเมือง วัฒนธรรม อาหารการกิน วิถีชีวิต หรือแม้แต่เชื้อชาติมาจากเพื่อนบ้านด้วย กระทั่งถึง พ.ศ. 2518 หลังอินเดียได้รับเอกราชจากอังกฤษ สิกขิมจึงยอมผนวกรวมตัวเองเข้าเป็นรัฐหนึ่งของอินเดีย จนกลายเป็นรัฐเนื้อที่น้อยที่สุดของอินเดียในปัจจุบัน
ฟังดูอาจเหมือนไกลเกินฝัน บางคนอาจนึกภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าสิกขิมตั้งอยู่ ณ ละติจูดองศาใดของโลก ทว่าความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอากาศยานและการตัดถนนใหม่ๆ ในแถบอินเดียเหนือก็สามารถนำผู้คนเข้าไปสัมผัสสิกขิมได้ง่ายกว่าแต่ก่อนมาก จากเมืองไทยสะดวกที่สุดเราต้องนั่งเครื่องบินไปลงที่เมืองกัลกัตตา (Kolkata ชื่อเดิม Calcutta) เมืองเอกของแคว้นเบงกอลตะวันตก เมืองนี้มีแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ไหลมาบรรจบกับมหาสมุทรอินเดียในอ่าวเบงกอล
ชานเมืองกังต็อกเป็นพื้นที่สีเขียวและนาขั้นบันไดบนที่สูง
การมาเยือนกัลกัตตาให้ตรงกับเดือนมกราคมจึงอาจได้พบพิธียิ่งใหญ่ที่สุดพิธีหนึ่งแห่งชมพูทวีปคือมาคาร์สังครานติ (Makar Sankranti) หรือพิธีอาบน้ำชุบตัวในพระแม่คงคา อีกทั้งยังมีโอกาสเที่ยวชมวิกตอเรียเมโมเรียลฮอลล์ (Victoria Memorial Hall) แลนด์มาร์กสำคัญของกัลกัตตา ศูนย์กลางการปกครองสมัยอาณานิคมอังกฤษ สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีขาวเลียนแบบทัชมาฮาล
กัลกัตตาเป็นเพียงเมืองผ่านขึ้นเหนือสู่สิกขิมด้วยสายการบินภายในประเทศอินเดีย ราวชั่วโมงเศษฉันก็มุ่งสู่เส้นละติจูดสูงขึ้นทีละน้อย โดยมีเมืองบักโดกรา (Bagdogra) เป็นหมุดหมายต่อไป ที่นี่คือเมืองสุดท้ายซึ่งเครื่องบินจะมาถึงได้ เพราะต่อจากนี้ไปคือทะเลภูเขาทอดยาวไม่สิ้นสุด ฉันจึงต้องนั่งรถลัดเลาะไปตามสันเขาคดโค้งสูงชันกว่า 4 ชั่วโมงสู่เมืองหลวงของสิกขิม "กังต็อก" (Gangtok) หนทางแคบๆ เลาะขอบผาชันร้อยกว่ากิโลเมตรไม่เหมาะสำหรับคนใจอ่อนเพราะมีแต่ความหวาดเสียว ฉันจึงต้องกลบเกลื่อนความรู้สึกนั้นด้วยการชมภูเขาและแม่น้ำทิสต้า (Tista River) สีเขียวมรกตที่ข้างทางแทน
ยามราตรีในกังต็อกคงไม่มีอะไรดีไปกว่าไปเตร่ที่ถนนคนเดินอันมีชีวิตชีวา
กังต็อกเป็นเมืองแห่งทะเลภูเขาอย่างแท้จริง เพราะทั้งเมืองมีที่ราบอยู่แค่ 1 สนามฟุตบอลและคนสิกขิมเขาก็ใช้พื้นที่ราบนั้นสร้างสนามฟุตบอลประจำชาติจริงๆ ด้วย เพราะคนสิกขิมคลั่งไคล้กีฬาชนิดนี้เอามากๆ ถึงขนาดเณรน้อยลามะในอารามยังแอบเตะฟุตบอลกันเลย จนฮอลลีวูดจับเป็นโครงเรื่องสร้างหนังจอเงินมาแล้ว
ตึกรามบ้านช่องของเมืองกังต็อกสร้างลดหลั่นลาดลงไปตามเนินเขาสูง ถนนหนทางก็คดโค้งลาดชัน ผู้คนที่นี่จึงต้องแข็งแรงเพราะต้องเดินออกกำลังกายขึ้นลงเขากันอยู่เป็นนิจ หน้าตาผู้คนที่เห็นกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของสิกขิมออกไปทางเนปาลี ส่วนอีก 20 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือเป็นชาวอินเดีย ทิเบต และภูฏานปนเปกัน เวลาเจอคนอินเดียที่นับถือฮินดูในเมืองนี้เราต้องทักทายด้วยคำว่า “นมัสกา” หรือ “นมัสการ” (Namaskar) แต่พอเจอคนเนปาลีก็ต้องเอ่ยคำว่า “นมัสเต” (Namaste) และเมื่อต้องการกล่าวสวัสดีคนสิกขิมแท้ๆ ก็ต้องพูดว่า “ตาชิดิเล็ก” (Tashi Dilek) อย่าเพิ่งงงซะก่อนล่ะ
ตัวเมืองกังต็อกสร้างลดหลั่นลงไปตามเนินเขาสูงแบบนี้ทั้งเมือง
ด้วยความสูงกว่า 1,677 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลที่กังต็อกอิงแอบอยู่อย่างสงบกับขุนเขาทำให้อากาศเมืองนี้เย็นสบายในช่วงกลางวัน แต่เมื่อดวงอาทิตย์ลาลับก็อาจต่ำถึง -2 องศาเซลเซียสในยามราตรี (ช่วงฤดูหนาวราวเดือนธันวาคม-มกราคม) แต่เมื่อย่างเข้าเดือนมีนาคม-เมษายน เมื่อลมร้อนเริ่มหอบเอาความอบอุ่นผ่านมา สิกขิมก็จะกลายเป็น The Land of Flowersอย่างแท้จริง เพราะนี่คือฤดูใบไม้ผลิที่จะมีดอกไม้นับร้อยชนิดเบ่งบานไปทั่วหุบเขา มีกล้วยไม้ป่ากว่า 500 ชนิด
การเดินทางสู่กังต็อกต้องนั่งรถนับร้อยกิโลเมตรเลียบไปตามแม่น้ำสีมรกต
โดยเฉพาะกล้วยไม้สกุลซิมบิเดียม (Cymbidium) ซึ่งสิกขิมเป็นศูนย์กลางการกระจายพันธุ์ของโลก ไปจนถึงดอกไม้ในสกุลกุหลาบพันปีที่คนไทยรู้จักกันในนาม "โรโดเดนดรอน" (Rhododendron) หลากสีทั้งแดง เหลือง ขาว ส้ม ชมพู ม่วง ฯลฯ มีทั้งดอกเล็กดอกใหญ่ นอกจากนี้ยังมีดอกอะซาเลีย (Azalea) ไม้ดอกสีหวานน่ารักญาติใกล้ชิดกับโรโดเดนดรอนเหล่านี้หาชมได้ที่ "สวนดอกไม้ Saramsa Orchid Garden" และ "Flower Exhibition Hall" ของกังต็อกนั่นเอง บรรยากาศสดชื่นมากๆ
เที่ยวชมศูนย์เพาะเลี้ยงกล้วยไม้ในกังต็อก ได้ดูดอกโรโดเดนดรอนสีแดงเบ่งบาน
มาเที่ยวกังต็อกถ้าตื่นเช้าจะได้เปรียบเพราะแสงอุ่นสีชมพูยามเช้าตรู่นั้นงามจับใจ มุ่งตรงไปยัง "จุดชมวิวตาชิ" (Tachi Viewpoint) ซึ่งอยู่ห่างใจกลางเมืองออกไปแค่ 4 กิโลเมตร ณ จุดนี้เราจะได้อิ่มเอมกับภาพยิ่งใหญ่ของยอดเขาสูงอันดับ 3 ของโลก "คันเชนฌองก้า" (Khanchendzonga) สูงถึง 8,586 เมตรเหนือน้ำทะเล ยืนทะลุทะเลเมฆขึ้นมาอาบแสงทองตระการตา ทอดเป็นแนวยาวกั้นพรมแดนสิกขิม-เนปาล-ภูฏานเอาไว้ คันเชนฌองก้าคือยอดเขาสูงที่สุดในอินเดีย (ส่วนยอดเอเวอร์เรสต์สูงสุดในเนปาล) คนสิกขิมเชื่อว่าบนยอดเขาคือที่สถิตแห่งเทพเจ้าผู้มีอารมณ์ร้อนดุจเพลิง และทรงฝังสมบัติ 5 อย่างไว้บนยอดเขาคือ เกลือ อัญมณี คัมภีร์ ยา และชุดเกราะ
สิกขิมมีทั้งศาสนาพุทธ ฮินดู และอิสลาม อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
กลับลงมาจากจุดชมวิวหาอาหารเช้าและชาใส่นมร้อนๆ แบบสิกขิมดื่มแล้วก็ได้เวลาออกไปเที่ยวชมวัดสำคัญๆ ในกังต็อก ไม่ว่าจะเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดอายุกว่า 200 ปีคือ "วัดเอนชี่" (Enchey Monastery) แต่น่าเสียดายว่าเมื่อหลายปีก่อนเกิดแผ่นดินไหว วัดแห่งนี้ได้รับความเสียหายหนักจึงมีการบูรณะใหม่ ผู้สถาปนาวัดขึ้นมาคือท่านลามะดรุปต็อบคาร์โป (Lama Druptob Karpo) ซึ่งกล่าวกันว่าท่านมีพลังสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ วัดเอนชี่เป็นวัดพุทธในแบบวัชรยานของทิเบตสังกัดนิกายย่อยนิงมา (Nyingma) หรือลามะหมวกแดง อันมีความเก่าแก่ที่สุดใน 4 นิกายย่อยของทิเบต
วัดเซอร์มังคักยุด หนึ่งในวัดสไตล์ทิเบตที่สวยและสำคัญที่สุดของสิกขิม
วัดถัดมาที่ห้ามพลาดชมคือ "วัดรุมเต็ก" (Rumtek Monastery) วัดศูนย์กลางของพระลามะหมวกดำแห่งสิกขิมซึ่งถือว่าเป็นนิกายที่หาได้ยากยิ่ง รุมเต็กเป็นวัดขนาดใหญ่ที่สุดของกังต็อกตั้งอยู่บนยอดเขามีความงาม ประกอบด้วยอาราม ห้องสวดมนต์ กุฏิ และโรงเรียนสอนศาสนาที่มีลามะเข้าเรียนหลายร้อยรูป นอกจากนี้ถ้าเวลาเหลือเราควรไปเยี่ยมชมวัดใหญ่อันดับสองของกังต็อกคือ "วัดเซอร์มังคักยุด" (Zurmang Kagyud Monastery) เป็นวัดที่ชาวสิกขิมเชื่อว่าท่านเจ้าอาวาสเซอร์มังการ์วังรินโปเช (Zurmang Gharwang Rinpoche) คือผู้ที่อวตารกลับชาติมาเกิดเป็นครั้งที่ 12 แล้ว ที่นี่เราจะได้นมัสการรูปเคารพขนาดมหึมาของท่านปัทมะสัมภวะ พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์ พระแม่ตารา และอื่นๆ จะทำให้เข้าใจความเป็นไปของศาสนาพุทธนิกายวัชรยานแห่งเทือกเขาหิมาลัยได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
วัดรุมเต็ก ศูนย์กลางของพระลามะหมวกดำในสิกขิม
การมาเที่ยวสิกขิมของฉันคงจะสมบูรณ์ไปไม่ได้เลย ถ้ายังไม่ได้ซื้อของฝากตามรายการยาวเหยียดที่เพื่อนๆ จากเมืองไทยสั่งซื้อกันมา (แต่ไม่มีใครฝากสตางค์มาสักคน ฮา!) หลังอาหารเย็น ยามหัวค่ำที่อากาศกำลังเย็นสบาย ฉันจึงไม่พลาดไปเดินชอปปิงที่ "ถนนเอ็มจี" (MG Road) ซึ่งหาไม่ยาก เพราะตั้งอยู่กลางเมืองพอดีเป๊ะ อาจจะเดินไปกลับจากโรงแรมได้เลยด้วยซ้ำ ถนนเอ็มจีนี้เขาจัดไว้ให้เป็น "ถนนคนเดิน" อันแสนน่ารัก บรรยากาศชิวชิว เดินสบาย จะเปิดเวลาราวๆ 09.00-21.00 น.
ชาสิกขิมคือของฝากขึ้นชื่อของสิกขิม มีให้เลือกเป็นร้อยๆ แบบ
สองฟากฝั่งมีร้านรวงให้จับจ่ายซื้อหาของเก๋ไก๋ในแบบพื้นเมืองอันมีเอกลักษณ์ โดยเฉพาะสินค้าแบบทิเบต อย่างลูกปัด ผ้าทังก้า สร้อยคอหินสี ธงมนต์ วงล้อภาวนา ฯลฯ แต่ที่ถือว่าห้ามพลาดเด็ดขาด ต้องซื้อเลยก็คือ "ใบชา" ซึ่งมีให้เลือกเป็นร้อยๆ ชนิด ร้อยๆ ยี่ห้อ เนื่องจากภูเขาหิมาลัยในแถบนี้ ไล่ตั้งแต่เมืองดาร์จีลิ่งขึ้นมาถึงกังต็อกล้วนเป็นแหล่งปลูกชาคุณภาพสุดยอดของโลกเขตหนึ่งทีเดียว ทุกร้านจะมีกระปุกชาเรียงรายให้เลือกดมแล้วซื้อ (แต่ไม่มีชงให้ลองดื่มแบบที่จีน) ถ้าซื้อส่วนยอดใบชาก็จะแพงหน่อย แล้วแต่คุณภาพ
ไปขอพรจากพระแม่ตาราที่วัดเซอร์มังคักยุด เพื่อความมีสุขภาพดีและโชคลาภ
แม้ว่าฉันจะมีเวลาสัมผัสสิกขิมได้เพียงน้อยนิด แต่ช่วงเวลาทั้งหมดคือความประทับใจยากจะลืมความงามของธรรมชาติขุนเขาและผู้คนยังตรึงอยู่ในหัวใจ หากจะมีคำใดกล่าวลาสิกขิมได้เหมาะสมฉันขอกล่าวคำว่า
“Goodbye, my unforgettable land, Sikkim.”
Sikkim Guide
Best Season : เดือนตุลาคม-ธันวาคม และเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ฟ้าใส ดอกไม้เยอะ อากาศเย็นดี
Getting There : มีหลายสายการบินจากกรุงเทพฯ-เมืองกัลกัตตา (Kolkata) ของอินเดีย เช่น Air Asia, Thai Airways, DrukAir ใช้เวลา 3 ชั่วโมง 30 นาทีจากนั้นต่อเครื่องบินภายในประเทศอีกชั่วโมงเศษสู่เมืองบักโดกรา (Bagdogra) แล้วนั่งรถยนต์ต่ออีก 4 ชั่วโมงสู่เมืองกังต็อก (Gangtok) เมืองหลวงของสิกขิม
Overnight :
- เมืองกัลกัตตาแนะนำโรงแรมห้าดาว New Kenilworth Hotel (www.kenilworthhotels.com/kolkata/)
- เมืองกังต็อกแนะนำโรงแรมหรู Nor-Khill (www.elginhotels.com/gangtok.php) และโรงแรม Mayfair Spa Resort & Casino Gangtok (www.mayfairhotels.com/mayfair-gangtok/)
Cuisine : อาหารพื้นเมืองสิกขิมได้รับอิทธิพลจากเนปาลและทิเบต แต่หลักๆ ก็ยังคงมีข้าว ก๋วยเตี๋ยว และเนื้อวัว เนื้อไก่ เช่น โมโม่ (Momo) เป็นแป้งนึ่งไส้ผักหรือเนื้อสัตว์ ทุคปะ (Thukpa) เป็นซุปร้อนๆ ใส่เส้นก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ
Souvenirs : สินค้ามีชื่อเสียงที่สุดของสิกขิมคือ ‘ชา’ ทั้งชาสิกขิมและชาดาร์จีลิ่ง มีหลายแบบให้เลือก นอกจากนี้ยังมีสินค้าพื้นเมือง เช่น ผ้าทังก้า สร้อยคอหินสี ผ้าพันคอขนสัตว์ เครื่องเงิน ฯลฯ
More Info : https://incredibleindia.org และ www.sikkimtourism.gov.in
Tag:
, Far Away, ท่องเที่ยว, หิมาลัย,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น