“ปรัชญาในการทำงานของผมคือ ทำให้ทุกที่และทุกคนมีความสุข” แค่ได้ยินประโยคสั้นๆ ของคุณปิแอร์จอร์จิโอ ลาทรุย (Piergiorgio Lattuille) หุ้นส่วนและผู้จัดการทั่วไปของร้านอาหาร “โรซาโน” (Rossano’s) (หรือที่เรารู้จักกันในชื่อเดิมว่าโลเปรา (L’Opera)) ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เราหายสงสัยว่าทำไมร้านอาหารอิตาเลียนเก่าแก่ร้านนี้ถึงครองใจผู้คนมาอย่างยาวนาน

คุณปิแอร์จอร์จิโอเล่าว่าเขาพยายามสืบทอดความอร่อยอันเป็นตำนานของโลเปราไว้อย่างดีที่สุด ขณะที่คอนเซ็ปต์ของร้านแน่นอนว่ายังคงความอร่อยตำรับอิตาเลียน แต่เพื่อให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคในตอนนี้เลยปรับลดความเป็นทางการในแบบเดิมลงเล็กน้อย เพื่อให้ทุกคนได้เต็มอิ่มเต็มคำดื่มด่ำกับความอร่อยกันได้มากขึ้น

“ผมอยากให้ทุกคนได้สัมผัสถึงความอร่อยเรียบง่ายของอาหารอิตาเลียนเลยไม่อยากให้คอนเซ็ปต์เป็นไฟน์ไดนิงจนเกินไป จึงพยายามบาลานซ์ระหว่างไฟน์ไดนิงและแคชชวลไดนิงไว้ด้วยกัน หน้าตาของอาหารและวิธีการปรุงของเราจึงไม่ต่างจากอาหารไฟน์ไดนิง แต่ปริมาณหรือพอร์ชันจะค่อนข้างใหญ่ ไม่ใช่คำเล็กคำน้อย  ให้ทุกคนที่มาได้กินอย่างเต็มอิ่ม นอกจากนี้เรายังมีไวน์ดีๆ จับคู่กับอาหาร โดยมีพนักงานคอยให้คำแนะนำหรือซักถามได้ตลอด และเรายังมีไวน์เสิร์ฟเป็นแก้วกันด้วย จึงมั่นใจได้เลยว่าราคาเอื้อมถึงอย่างแน่นอน”

ถ้าใครเป็นคอไวน์เรียกว่าโรซาโนไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะคุณปิแอร์จอร์จิโอได้รวบรวมไวน์ลิสต์มาให้เลือกกันมากกว่า 300 รายการ โดยเน้นที่ไวน์สัญชาติอิตาลีเป็นหลัก ร่วมด้วยไวน์จากฝรั่งเศส สเปน และไวน์จากโลกใหม่ที่สลับหมุนเวียนมาให้เลือกจิบกัน เช่นเดียวกับไวน์ไทยที่อาจจะมีเพิ่มเข้ามาในอนาคต เพราะถึงแม้ใครหลายคนจะมองว่าที่นี่น่าจะต้อนรับลูกค้าชาวต่างชาติเป็นหลัก แต่ความจริงแล้วลูกค้าคนไทยคือลูกค้าหลักของที่นี่

“ลูกค้าของเราส่วนใหญ่เป็นคนไทยมากกว่าชาวต่างชาติอย่างผมเสียอีก บางคนก็เป็นลูกค้ากันมานาน จากประสบการณ์ที่ทำงานด้านนี้มาตลอดผมมองว่าคนไทยค่อนข้างเปิดรับกับสิ่งใหม่ๆ พยายามเรียนรู้ที่จะเข้าใจกับวัฒนธรรมอื่นๆ จนตอนนี้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางของอาหารนานาชาติ หากจะมองหาร้านสำหรับดินเนอร์ดีๆ กรุงเทพฯ คือมีหมดและติดอันดับโลก เมื่อที่นี่มีร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลก มีร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ และนั่นก็เป็นหนึ่งในความท้าทายสำหรับผมเหมือนกันที่จะทำให้โรซาโนเป็นหนึ่งในนั้น ผมมองว่าการแข่งขันแบบนี้เป็นเรื่องดี เพราะเมื่อตลาดดีขึ้นกลไกตลาดต่างๆ ก็ทำให้เราทุกคนได้พัฒนาตัวเอง และนั่นก็ส่งผลให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีขึ้นด้วย”

จากนั้นเขาก็เล่าต่อว่าจริงอยู่ที่อาหารอิตาเลียนอาจจะไม่ใช่กระแสหลักในตอนนี้เท่าเมื่อก่อน แต่ถ้าตัวเขายังทำงานด้วยความใส่ใจ โดยไม่หยุดที่จะพัฒนาคุณภาพอาหารและบริการก็ยังสามารถไปต่อได้ เพราะถ้าเราทำให้ลูกค้าที่มามีความสุข ได้รับสิ่งดีๆ ได้รับความประทับใจกลับไป ลูกค้าก็จะกลับมาอีก เมื่อเราถามว่าหลักการทำงานร้านอาหารในตอนนี้คืออะไร คุณปิแอร์จอร์จิโอก็ให้คำตอบอย่างรวดเร็วพร้อมกับรอยยิ้มว่า “ทำให้ลูกค้ามีความสุขที่สุด”

“พอมาจับธุรกิจนี้สิ่งแรกที่ผมตั้งใจเป็นอันดับแรกก็คือการทำให้บรรยากาศในการทำงานเต็มไปด้วยความสุข เพราะงานด้านนี้เป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับความสุขของคน ตัวผมเองก็ชอบที่จะเข้าไปพูดคุยถามไถ่ลูกค้าเรื่องอาหาร เรื่องไวน์ เพื่อนำคำติชมเหล่านั้นมาพัฒนาต่อ จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่เรื่องของงานเท่านั้น เพราะชีวิตคือการเรียนรู้ที่ไม่มีวันจบ

“ดังนั้นหากจะพูดให้ถูกปรัชญาในการทำงานของผมคือทำให้ทุกที่และทุกคนมีความสุขครับ จำได้ว่าหัวหน้าเก่าของผมเคยบอกว่าเมื่อเราใส่เครื่องแบบมันคือเวลาการแสดงของเรา เป็นโชว์ไทม์ของเรา เมื่อถึงเวลาทำงานเราควรเอาเรื่องต่างๆ ทิ้งไว้ข้างหลัง แล้วทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด”

แต่นั่นก็ไม่มีอะไรประทับใจไปกว่าการที่คุณปิแอร์จอร์จิโอเรียกพนักงานด้วยภาษาไทยเสียงดังฟังชัดว่า "ที่รัก" ก่อนที่เขาจะยิ้มติดตลกว่านี่คืออีกหนึ่งวิธีที่ช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานนั่นเอง

วิธีน่ารักแบบนี้เอาไปใช้กันได้ไม่ผิดกติกา

Tag: , Food in Biz, อาหารอิตาเลียน,