คงต้องบอกว่า Always Be My Maybe (2019) ภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดีเรื่องล่าสุดจาก Netflix มาได้ถูกที่ถูกจังหวะจนได้รับกระแสวิจารณ์ทางด้านบวก เพราะนี่คือส่วนผสมอันน่าอร่อยของหนังสุดฮิตอย่าง Crazy Rich Asians (2018) และหนังเพื่อนรักเพื่อนในตำนานอย่าง When Harry Met Sally (1989)
สิ่งที่สร้างความน่าสนใจยังไม่ได้หมดอยู่แค่นั้น เพราะนักวิจารณ์กล่าวกันว่านี่คือภาพยนตร์เพียงไม่กี่เรื่องที่เลือกใช้บริการนักแสดงเอเชียเป็นนักแสดงนำแทบยกชุด ซึ่งนั่นก็ไม่น่าแปลกใจเพราะผู้กำกับหนังเรื่องนี้ก็คือ Nahnatchka Khan ผู้อยู่เบื้องหลังซีรีส์ซิตคอมที่เล่าเรื่องราวแสนวุ่นวายของครอบครัวชาวไต้หวันอย่าง Fresh Off the Boat (2015) ทางช่อง ABC ที่ฉายมาจนเข้าซีซันที่ 6 แถม Randall Park นักแสดงนำจากซีรีส์เรื่องนี้ยังติดตามผู้กำกับมาเป็นนักแสดงนำ พร้อมพ่วงตำแหน่งนักเขียนให้กับ Always Be My Maybe อีกด้วย
เรื่องราวของ Always Be My Maybe เรียกว่าเข้าเค้าหนังรักสูตรสำเร็จเลยก็ว่าได้ ด้วยการเล่าเรื่องราวของสองเพื่อนซี้สุดสนิทตัวติดกันอย่างซาช่า (Ali Wong) และมาร์คัส (Randall Park) ที่อยู่มาวันหนึ่งความสัมพันธ์ของพวกเขาดันเกิดเกินเลยไปไกลจนต้องมีเหตุให้แยกจากกัน ก่อนที่พวกเขาจะกลับมาเจอกันหลังจากผ่านไป 16 ปีในฐานะเซเลบริตีเชฟสาวอนาคตไกลกับหนุ่มช่างแอร์ที่มีชีวิตย่ำอยู่กับที่ และนั่นก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นให้พวกเขาได้มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองและความสัมพันธ์กันอีกครั้ง
แม้ตัวหนังจะดูเดาทางง่าย แต่สิ่งที่ร้อยเรียงเรื่องราวระหว่างทางกลับกลายเป็นเสน่ห์ที่ทำให้เราตกหลุมรักได้อย่างไม่ยากเย็นด้วยภาพของอาหารที่แฝงความสวยงามของวัฒนธรรมเอเชีย-อเมริกันมาผูกโยงกันได้อย่างแนบเนียน เริ่มตั้งแต่ข้าวกับสแปม (เนื้ออัดกระป๋อง) เมนูที่ซาช่าทำกินคนเดียวอย่างขมขื่น ก่อนจะย้ายไปสู่ความอบอุ่นในห้องครัวของบ้านมาร์คัสที่แม่ของเพื่อนสนิทกำลังทำซุปกิมจิ ก่อนจะสอนวิธีการทำอาหารให้กับซาช่า พร้อมกับคำคมที่ว่า “คนเกาหลีใช้กรรไกรกับทุกอย่าง” ซึ่งในเรื่องเราจะได้เห็นซาช่าตัดหั่นผักด้วยกรรไกรตามแบบฉบับเกาหลีเลยล่ะ
นอกจากนี้ยังมีฉากที่น่าประทับใจหลายๆ ฉาก อย่างตอนที่ซาช่ากับมาร์คัสไปกินร้านอาหารร้านเดิมที่เคยกินกันเมื่อสมัยเด็ก ซาช่าแสดงความสงสัยว่าทำไมเพื่อนของเธอถึงทนกับร้านอาหารที่ไม่อร่อยแบบนี้ มาร์คัสกลับบอกเธอว่าให้ลองกินดูก่อน ซึ่งซาช่ากลับพบว่าทำไมอาหารถึงรสชาติดีกว่าตอนเด็ก และมาร์คัสก็ได้ให้คำตอบว่าเธอจะนำชีวิตที่ย่ำแย่ในวัยเด็กมาลงกับอาหารไม่ได้นะ
ความสนุกยังไม่หมดแค่นั้น เพราะตัวหนังยังดึงเอาอาหารมาทำเป็นมุกตลกและเสียดสีวัฒนธรรมการกินอาหารสุดโต่งของคนยุคปัจจุบันได้อย่างเจ็บแสบ โดยเฉพาะการปรากฏตัวของ Keanu Reeves พระเอกขวัญใจใครหลายคนที่แอบย่องหลบจากกอง John Wick : Chapter 3 (2019) มาเป็นนักแสดงรับเชิญยาวกว่า 15 นาทีที่เราขอบอกว่าแย่งซีนแทบทุกฉาก หรือจะเป็นมุกที่เพื่อนว่ามาร์คัสว่าไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง เหมือนการไม่ลองชิมกาแฟโคลด์บริว (Cold Brew Coffee) แต่ท้ายที่สุดแล้วนายก็มาชอบ “กาแฟโคลด์บริว” ที่สุดอยู่ดี
แล้วชีวิตคนเราจะไม่เปลี่ยนแปลงได้อย่างไร?
ภาพประกอบจาก
Tag:
, Food on Film, Netflix,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น