จำได้ว่าสมัยเด็กๆ เคยดูหนังฝรั่งเรื่อง "บัญญัติ 10 ประการ" ตอนที่โมเสสนำชาวยิวกว่า 600,000 คนหนีจากอียิปต์ โดยเปิดทางน้ำข้ามทะเลแดงเข้าสู่ดินแดนอิสราเอลได้สำเร็จเป็นที่อัศจรรย์! ชาวยิวจึงได้กลับเข้ามาตั้งรกรากอยู่ใน ‘ดินแดนแห่งพันธสัญญา’ ที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ ความประทับใจจากหนังเรื่องนี้ทำให้ผมกลายเป็นคนชอบประวัติศาสตร์ และของโบราณไปเลย มาวันนี้ได้มีโอกาสไปเยือนศูนย์กลางวัฒนธรรมชาวยิวที่ “อิสราเอล” (Israel) ดินแดนแห่งการผสมผสานความเก่าใหม่ ที่หากท่านโมเสสได้มาเห็นในวันนี้ก็คงภูมิใจ ที่ชาวยิวได้ออกลูกออกหลาน สืบสานวัฒนธรรมอันมีเอกลักษณ์ของพวกเขาไว้คู่โลกสวยงามใบนี้
สวนขั้นบันได 7 ชั้นแห่งเมือง Haifa เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่วิวสวยสุดๆ
อิสราเอลเป็นดินแดนเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เชื่อกันว่าเป็นดินแดนที่ถือกำเนิดขึ้นตามพันธสัญญาเดิม (Old Testament) เมื่อราว 4,000 ปีก่อน โดยบรรพบุรุษของอับราฮัม (อิบรอฮิม) พาครอบครัวอพยพจากนครอูร์ (Ur) เมืองโบราณของนครรัฐสุเมเรียน อารยธรรมแรกเริ่มของเมโสโปเตเมีย เพราะอับราฮัมเชื่อว่ามีพระเจ้าเพียงพระองค์เดียว โดยพระเจ้าตรัสกับอับราฮัมว่าให้เดินทางสู่ดินแดนที่อุดมด้วยนมและน้ำผึ้ง แล้วจะยกดินแดนนั้นให้กับเชื้อสายของเขา อับราฮัมจึงพาครอบครัวมาตั้งถิ่นฐานที่ซาม (Saam) หรือดินแดนปาเลสไตน์ (Palestine) ในปัจจุบัน
อับราฮัมมีบุตร 2 คน คนแรกชื่ออิสมาเอล (Yismael) เกิดจากหญิงทาสชื่อนางฮาการ์ (Hagar) ส่วนอีกคนชื่ออิสอัค (Ishak) เกิดจากซาราห์ (Sarah) ภรรยาของอับราฮัม ซึ่งเขาได้เฝ้าวิงวอนต่อยะโฮวา (Jehovah) ขอให้ทรงเพิ่มพูนลูกหลานให้มากมายเหมือนเม็ดทรายในทะเลและดวงดาวบนท้องฟ้า ต่อมาเชื้อสายของอิสมาเอลที่อพยพไปทางใต้บริเวณแหลมอาระเบีย ได้กลายเป็นต้นตระกูลของชาวอาหรับทั้งหมด และเชื้อสายของอิสอัค เป็นต้นตระกูลของชาวอิสราเอล โดยอิสอัคมีบุตร 2 คน คือ เอซาว (Esau) และยาโคบ (Jacob) ซึ่งภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็น ‘อิสราเอล’ อันเป็นที่มาของชื่อประเทศอิสราเอลในปัจจุบัน
ด้วยความที่อิสราเอลเป็นดินแดนร่ำรวยด้วยวัฒนธรรมทรงคุณค่ามากมาย หมุดหมายแรกที่ผมเดินทางไปเยือนคือ ‘Caesarea’ นครโบราณอายุกว่า 2,000 ปี สร้างโดย King Herod หนึ่งในกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคโบราณ ทว่าถูกทำลายลงด้วยแผ่นดินไหวและคลื่นสึนามิ ปัจจุบันเหลือเพียงซากของลานแข่งรถม้า พระราชวัง และอาคารต่างๆ รวมถึงโรงละครแอมฟิเธียเตอร์ (โรงละครครึ่งวงกลมแบบโรมัน) ซึ่งใช้หินอ่อนและแกรนิตคุณภาพดีสร้างไว้อย่างอลังการ
Caesarea เป็นเมืองโบราณ 2,000 ปี ที่ตั้งอยู่ติดทะเลสีครามเข้ม
เดินทางต่อไปสู่ ‘Haifa’ เมืองแห่งเทคโนโลยีและเมืองใหญ่อันดับ 3 ของอิสราเอล ตั้งอยู่ติดริมอ่าวสวยงาม แลเห็นน้ำทะเลสีครามเข้มสลับสีไปตามความลึกอย่างน่าชม และเป็นท่าเรือใหม่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของอิสราเอลด้วย อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนเนินเขา สร้างด้วยหิน บนดาดฟ้ามีแผงโซลาร์เซลล์ทุกหลังคาเรือน และด้วยความที่เป็นเมืองศูนย์กลางแห่งเทคโนโลยี จึงมีบริษัทชั้นนำของโลกมาตั้งสาขาที่นี่ ทั้ง Google, Yahoo, Microsoft, IBM, Volvo และ CPU Intel Celeron นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่มีบาไฮการ์เดน (Baha’i Garden) หรือสวนสวยงามมีระเบียงดอกไม้ลดหลั่นเหมือนขั้นบันได 7 ชั้น มองเห็นเวิ้งอ่าวอันกว้างใหญ่ น่าประทับใจสุดๆ จากนั้นผมก็ไปแวะที่เมือง ‘Akko’ อีกหนึ่งเมืองเก่าที่มีเรื่องราวเล่าขานทางประวัติศาสตร์ ผสานความเก่าใหม่ของตะวันออกและตะวันตก แม้จะเหลือเพียงซากปรักหักพัง แต่ก็ยังสะท้อนความรุ่งเรืองในอดีตได้ดี
จากสวนขั้นบันได 7 ชั้น เมือง Haifa มองออกไปแลเห็นทะเลเมดิเตอร์เรเนียนได้ชัดแจ่มแจ๋ว
ในเมืองเก่า Akko มีศิลปินท้องถิ่นสร้างสรรค์งานศิลปะไว้ให้ชม
อาคารเก่าใน Akko แม้เก่านับพันปี แต่ก็ยังงามจนยากจะละสายตา
ผมนั่งรถยาวไกลต่อไปยัง ‘ทะเลแห่งกาลิลี’ (Sea of Galilee) ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ทะเล แต่เป็นทะเลสาบน้ำจืดขนาดมหึมา อยู่ทางเหนือของอิสราเอล เป็นทะเลสาบที่มีความสำคัญของคริสต์ศาสนิกชน ด้วยพระเยซูทรงสอนคำเทศนาหลายเรื่องที่นี่ อีกทั้งหลังการคืนชีพของพระองค์หลังจากทรงถูกตรึงกางเขน ก็ทรงเสด็จมาที่นี่แล้วกลับขึ้นสู่สวรรค์ไปในที่สุด ผมเดินทางไปชม ‘The Mount of Beatitudes’ มหาวิหารทรงแปดเหลี่ยม ตั้งอยู่บนชายขอบของทะเลสาบกาลิลี เพื่อระลึกถึงคำสอนของพระเยซู เชื่อกันว่าบนเนินเขานี้พระเยซูทรงเทศนาสอนเรื่องความสุขแท้จริง (บุญลาภ 8 ประการ) สร้างด้วยกระเบื้องโมเสกอายุกว่า 600 ปี แม้ว่าจะผ่านการบูรณะมาแล้ว แต่ยังคงเหลือกระเบื้องโมเสกเดิมอยู่ จึงประเมินค่ามิได้จริงๆ ครับ
มหาวิหารแปดเหลี่ยมแห่งทะเลสาบกาลิลี เป็นแหล่งแสวงบุญที่สำคัญของชาวคริสต์ทั่วโลก
ทะเลสาบกาลิลีนอกจากมีวิวสวยแล้ว ยังมีประวัติความเป็นมาคู่กับศาสนาคริสต์เลยทีเดียว
อีกหนึ่งวิหารที่ห้ามพลาดชมคือ ‘Tabga Monastery’ เชื่อกันว่าสร้างบนที่ที่พระเยซูเสด็จมาประทานปลา 2 ตัว กับขนมปัง 5 ก้อน เลี้ยงคน 5,000 คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน ภายในโบสถ์มีก้อนหินที่เชื่อว่าพระเยซูเคยประทับ ตั้งอยู่ใต้แท่นบูชาด้านใน และพื้นวิหารมีกระเบื้องโมเสกรูปขนมปังกับปลาสองตัวที่มีสีสันลวดลายงดงามมาก
Tabga Monastery ที่ทะเลสาบกาลิลีมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ และสถาปัตยกรรมงดงาม
จุดหมายต่อไปสาวๆ ฟังแล้วอาจตาโต เพราะผมกำลังเดินทางไปที่ ‘ทะเลสาบ Dead Sea’ ซึ่งนอกจากจะเป็นจุดต่ำที่สุดในโลก (417 เมตร ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง) แล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ประทินผิวนานาชนิด ให้สาวๆ ทดลองและเลือกซื้อกลับมาใช้ที่บ้านกัน ทั้งโคลนสปา เกลือบำรุงผิว และอีกมากมาย อย่าง Ahava Active Dead Sea Minerals ก็เป็นแบรนด์ชั้นนำส่งออกทั่วโลก ซื้อหามาลองใช้ไม่น่าผิดหวังนะครับ
ทะเลสาบ Dead Sea อาบแสงสุดท้ายในยามเย็น
นอกจากจะชอปปิงกันแล้วขอแนะนำให้เปลี่ยนชุดว่ายน้ำลงไปนอนแช่ตัวในทะเลสาบ Dead Sea กันสักครั้งที่ Kalia Beach เพราะน้ำเกลือในทะเลสาบนี้มีความหนาแน่นมาก มากถึงขนาดทำให้เราลอยตัวอยู่บนผิวน้ำได้อย่างสบายโดยไม่ต้องออกแรง วักน้ำมาลูบไล้ผิวกายและใบหน้าให้ทั่ว เขาว่าน้ำเกลือจะช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย ผิวพรรณจึงผุดผ่องขึ้นด้วย
โมงยามอันแสนสุขกับการนอนแช่น้ำอ่านหนังสือสุดชิลที่ Dead Sea
ออกจากทะเลสาบที่ถือว่าเค็มที่สุดในโลก มุ่งหน้าต่อไปขึ้นรถกระเช้าไฟฟ้าสู่ระดับความสูง 400 เมตร ของเมืองโบราณ 2,000 ปี ‘Masada’ ในอดีตที่นี่เป็นป้อมปราการและพระราชวัง ตั้งตระหง่านอยู่เหนือภูเขาที่รายล้อมด้วยทะเลทรายร้อนแล้ง ทุกวันนี้เหลือแนวกำแพงสีดำให้เห็น สร้างขึ้นโดยพระเจ้าเฮโรดมหาราช (Herod the Great) กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของชาวยิว ในอดีตห้องที่ประทับส่วนพระองค์อยู่ในจุดที่สายลมเย็นพัดผ่าน ส่วนกำแพงและผนังพระราชวังแต่งแต้มด้วยภาพสีเฟรสโก้ ภายในพระราชวังอันโอ่อ่ามีห้องอาบน้ำแบบโรมัน ปูด้วยกระเบื้องโมเสกสวยงาม มีระบบบำบัดน้ำ ที่นำน้ำกลับมาใช้ซ้ำได้ มีห้องซาวน่า ที่นำน้ำจากใต้ดินมาใช้ และมีอ่างเก็บน้ำฝนอยู่ด้านบนด้วย นับเป็นวิธีจัดการน้ำที่ล้ำสมัยมากเลยทีเดียว
จากเมืองโบราณ Masada แลเห็นภูมิทัศน์น่าตื่นตาของเทือกเขาใหญ่อันร้อนแล้ง
นั่งกระเช้าขึ้นเขาไปชมเมือง Masada ที่สร้างขึ้นโดยกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของชาวยิว
ผมนั่งรถยาวไกลอีกครั้งผ่านเมืองเบธเลเฮม (Bethlehem) กลับสู่กรุงเทลอาวีฟ (Tel Aviv) เมืองใหญ่อันดับ 2 ของอิสราเอล เมืองที่ผมลงเครื่องบินในวันแรกมาถึงนั่นล่ะ ตัวเมืองนี้ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนน้ำสีครามสะอาดตา ‘นครสีขาวแห่งเทลอาวีฟ’ (White City of Tel Aviv) ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก เพราะมีกลุ่มอาคารสถาปัตยกรรมรูปแบบเฉพาะเป็นสีขาว ออกแบบโดยสถาปนิกลูกครึ่งเยอรมัน-ยิว เมื่อปี ค.ศ. 1930 กระจายอยู่กว่า 4,000 อาคาร เราจึงเดินชมเดินถ่ายภาพกันได้สนุก เทลอาวีฟเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจที่มั่งคั่งสุดๆ และเป็นหมุดหมายในการพักผ่อนหย่อนใจริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จนได้ฉายาว่า ‘เมืองที่ไม่เคยหลับ’
กรุงเทลอาวีฟเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล มีสถาปัตยกรรมโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์
ในเทลอาวีฟผมได้ชอปปิงละลายทรัพย์ซื้อของฝากเพื่อนๆ ที่ ‘Nahalat Benjamin’ ตลาดนัดสินค้าแฮนด์เมด ซึ่งเปิดทุกวันอังคารและวันศุกร์ สิ่งหนึ่งที่เตะตามากคือเครื่องรางที่เรียกว่า Amulet of Hamsa มีหลายขนาด ทำเป็นรูปฝ่ามือคนแบออก เชื่อว่าช่วยขับไล่สิ่งชั่วร้าย นำโชคดีมาให้ คล้ายกับ Evil Eyes ที่เป็นดวงตาสีฟ้ากลมๆ ของทางกรีซและตุรกีนั่นล่ะ ถัดจากตลาดสินค้าทำมือผมก็ไปเดินเล่นต่อที่ ‘Camel Market’ ตลาดเก่าแก่ที่จำหน่ายสินค้านานาชนิด ทั้งพืชผักผลไม้ตามฤดูกาล ข้าวของเครื่องใช้ เสื้อผ้า อาหารท้องถิ่น รวมถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิวจากทะเลสาบ Dead Sea ด้วย
ตลาดนัดหลายแห่งในกรุงเทลอาวีฟ ทั้งคึกคักและมีสินค้าท้องถิ่นให้เลือกซื้อเพียบ
เดินเล่นซอกแซกเข้าไปตามตรอกซอกซอยในกรุงเทลอาวีฟก็จะพบมุมถ่ายภาพเก๋ๆ มากมาย
เที่ยวกันพอหอมปากหอมคอก็ได้เวลากลับบ้านแล้ว ทั้งๆ ที่ใจยังอยากไปต่อ ทริปหน้าจะมาเล่าเรื่อง ‘นครเยรูซาเลม’ เมืองศักดิ์สิทธิ์ของอิสราเอลให้ฟัง ระหว่างนี้ขอไป Enjoy กับอาหารเมนูปลาทอดราดเครื่องเทศของอิสราเอลก่อน บ๊ายบาย!
Traveler’s Guide
- Best Season : ช่วงเดือนเมษายน-ตุลาคม อากาศดีที่สุด อุณหภูมิอยู่ระหว่าง 10-17 องศาเซลเซียส
- Getting There : จากกรุงเทพฯ ใช้สายการบิน El al Israel Airlines (www.elal.com) บินตรงสู่กรุงเทลอาวีฟ ใช้เวลาประมาณ 11 ชั่วโมง จากนั้นถ้าจะไปเที่ยวเยรูซาเลมต่อต้องนั่งรถอีก 54 กิโลเมตร การท่องเที่ยวในอิสราเอลสะดวกสุด ควรซื้อแพ็กเกจทัวร์จากเมืองไทยหรือของท้องถิ่น ส่วนการแบกเป้เที่ยวเองก็ทำได้ แต่ต้องสมบุกสมบันพอสมควร
- Overnight : ในเทลอาวีฟแนะนำ Margosa Hotel (www.margosa-hotel.com) อยู่ไม่ไกลจากตลาดและแหล่งท่องเที่ยว
- Souvenirs : เครื่องรางต่างๆ โคลนและเกลือสปาจาก Dead Sea เชิงเทียน 7 แฉกแบบยิว เหล้าองุ่น ไวน์ทับทิม ฯลฯ
- More Info : https://new.goisrael.com และ www.touristisrael.com
Tag:
, Far Away, อิสราเอล,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น