ควันหลงทริปย่ำต๊อกในกรุงโซลต้นเดือนมีนาคม ขณะกรุงเทพฯ อุณหภูมิกำลังร้อนแรง แต่โซลช่วงนั้นคุมโทนความหนาวและเหงานิดๆ แต่หญิงใหญ่ก็ยังมีแรงเดินฝ่าลมจนโค้ทปลิวเพื่อความอยู่รอดของปากท้อง
ด้วยความที่ตระเวนกินสตรีทฟู้ดอยู่หลายวัน โดยเฉพาะเครันปัง หรือเจ้าขนมปังไข่ที่กินไปเรื่อยจนซึ้งแล้วว่ามีเจ้าอร่อยกว่าแถวมยองดงมากมาย แถมราคาถูกกว่าเยอะ (น้ำตาจะไหล)
หญิงใหญ่และเพื่อนสาวผู้เบื่อแผงอาหารข้างทาง เลยควงกันไปเดินย่านเก๋ๆ สักวัน นั่นคือ คาโรซู-กิล (Garosu-gil) ถนนสายอาร์ตชื่อดังของกรุงโซลที่มีต้นแปะก๊วยเรียงรายอยู่ 2 ข้างทาง ที่นี่มีคาเฟ่ดังหลายร้าน โดยเฉพาะ Dore-Dore คาเฟ่สีชมพูหวานแหวว (เค้กในร้านก็แหวว) ยิ่งตัดกับสีฟ้าของท้องฟ้าทำให้ดูเหมือนเป็นย่านสีพาสเทลไปโดยปริยาย
แต่จุดหมายในครั้งนี้อยู่ที่ร้าน 엄마손맛집 (ออมม่าซนมัทจิบ) ร้านอาหารโลคอลที่ตั้งอยู่ท่ามกลางความฮิป พิกัดหาง่ายมากลงสถานี Sinsa เริ่มเดินจาก J Tower ตรงขึ้นมาให้เกือบสุดปลายถนน (สังเกต A Land เข้าไว้) ร้านจะอยู่ในตรอกเล็กๆ ด้านขวามือ เดินตรงเข้ามาไม่ไกล ร้านอยู่ฝั่งซ้ายมือพอดี
ชื่อร้านนี้แปลว่ารสมือแม่ แว่บแรกที่เห็นให้ความรู้สึกเหมือนร้านโบราณตามซีรีส์ ซึ่งเก๋มากเมื่อเทียบกับทำเลที่ตั้ง เลื่อนประตูเข้าไปก็เจอกับเจ้าของร้านท่าทางใจดี จัดแจงให้นั่งพักให้คลายหนาว (พื้นอุ่นมากด้วยอิทธิฤทธิ์ฮีตเตอร์) เราสื่อสารด้วยภาษามือและสั่งอาหารผ่านรูปภาพ เมนูของร้านมีไม่มากแต่หน้าตาใช้ได้แถมราคาเป็นมิตร อย่างเมนูปลาหมึกผัดซอสเผ็ดกับซุปเต้าหู้กิมจิที่สั่งไป ราคาอยู่ที่ราวๆ จานละ 7,000 วอน เสิร์ฟมาพร้อมข้าวสวยและเครื่องเคียง 8 อย่าง ซึ่งไม่ใช่เครื่องเคียงขนาดจุ๋มจิ๋มคีบ 2 ทีหมด แต่มาแบบจริงจังประดุจเป็น 1 ในกับข้าว (คุณพระช่วย)
ปลาหมึกผัดของคุณป้าเจ้าของร้านมาแบบชิ้นใหญ่ ผัดกับซอสพริกเกาหลี ใส่หอมใหญ่ พริกสด รสเผ็ดนำแล้วตามด้วยรสหวาน ปลาหมึกก็เหนียวสู้ฟันของอิฉันมาก ซดซุปกิมจิร้อนๆ ตามลงไปให้คล่องคอ แล้วบรรจงชิมเครื่องเคียงอย่างสบายอารมณ์ กิมจิเสิร์ฟ 4 แบบ แต่ที่ประทับใจขอยกให้กิมจิจานใหญ่ ลองแหวกดูถึงรู้ว่าเป็นกิมจิผัดปลาแมคเคอแรล (ขอเรียกให้ไทยหน่อยว่ากิมจิผัดปลากระป๋อง) จานนี้ทั้งเผ็ดทั้งเปรี้ยว มีรสเค็มจากปลา อร่อยแบบกินกับข้าวสวยได้ (อ้าว) ยังมีแพนเค้กเกาหลี ซุปสาหร่าย ปลาตัวเล็กคั่วกับน้ำตาลเหนียวๆ ตอนแรกแอบคิดว่าต้องมีขอเติมเครื่องเคียง แต่เอาเข้าจริงคืออิ่มแปล้จนท้องกาง เสียเงินไปแค่คนละ 200 บาทโดยประมาณ
ภารกิจเรื่องปากท้องยังไม่จบ เพราะเรามุ่งมั่นเหลือเกินกับมื้อเย็นที่นอร์ยางจิน (Noryangjin Fisheries Wholesale Market) ตลาดขายปลาและของทะเลที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโซล (ตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้อยู่ที่เมืองปูซาน) ยอมรับตามตรงว่า ก่อนมาเรามีภาพตลาดสึกิจิของญี่ปุ่นฝังอยู่ในหัว เลยอยากสัมผัสตลาดปลาที่เกาหลีดูสักครั้ง
วิธีไปตลาดปลานอร์ยางจินไม่ยาก ลงสถานี Noryangjin แล้วเดินข้ามสะพานลอยแป๊บเดียว ที่นี่สร้างความตื่นเต้นให้สาวไทยได้พอดู ด้วยความใหญ่โตของอาคารหลังใหม่และขนาดของกุ้งหอยปูปลาที่ ใหญ่จนสะดุ้งไปหลายรอบ ด้านในสะอาดเป็นระเบียบ สายรับประทานสามารถซื้อของสดจากร้านด้านล่างแล้วถือขึ้นไปให้ร้านบนชั้น 2 ปรุงได้ จุดนี้หญิงใหญ่แอบคิดถึงบรรยากาศตลาดริมหาดราไวย์ที่ภูเก็ตบ้านเราขึ้นมาเหมือนกัน
เดินข้างล่างพอเป็นพิธีก็ขึ้นบันไดเลื่อนมาสำรวจชั้นบน มีร้านอาหารอยู่หลายร้าน ทั้งแบบบ้านๆ และดูหรูหราหน่อย บางร้านดูป๊อปมากสังเกตจากลายเซ็นคนดัง (มีร้านนึงลายเซ็นดาราไทยโชว์หรา) เราเลือกเข้าร้านที่ค่อนข้างดูดีข้างๆ ร้านสุดป๊อป บอกคุณป้าว่าอยากกินปลาหมึกดิบที่หนวดยังดิ้นได้แบบในซี่รีส์ พ่วงด้วยสลัดปลาดิบ และซุปปลา (เราเลือกแบบต้มกระดูกปลาแทนเนื้อปลาเพียวๆ เพราะคุณป้าบรรยายไว้ว่าต้มแล้วจะนัวกว่า)
รอไม่นานจานแรกก็ยกมาเสิร์ฟ ปลาหมึกดิบแบบดิ้นได้คลุกน้ำมันงา หรือ ซันนักจี คุณป้าเสิร์ฟจานใหญ่มาก แม้จะเป็นการลองกินซันนักจีครั้งแรกแต่เราก็ศึกษามาแล้วว่าต้องเคี้ยวให้ดีเพื่อความปลอดภัย สัมผัสแรกที่คีบเข้าปากไปสับสนพอสมควร ข้อแรก ด้วยความสดจึงไม่ได้รู้สึกเหม็นคาว จากนั้นตามมาด้วยความจั๊กจี๋ เพราะหนวดหมึกดิ้นดุ๊บๆ พัวพันอยู่ในปาก จนต้องรีบเคี้ยวสกัดให้หมดฤทธิ์ พอเริ่มชินก็สบาย คีบสลับกับเครื่องเคียงทั้งเต้าหู้เย็น กิมจิ ฯลฯ รสชาติพอไหว (แต่คงไม่สั่งแล้ว เคี้ยวเหนื่อยเหลือเกิน)
สลัดปลาดิบอร่อยดี แซลมอนและทูน่าหั่นเต๋า โปะด้วยสารพัดผัก สาหร่าย โรยงา น้ำสลัดเป็นน้ำมันงาใส่เกลือ ส่วนซุปกระดูกปลาของคุณป้านั้น แม้ในหม้อจะมีแค่หัวปลา กระดูกปลา และผักไม่กี่อย่าง แต่รสชาติชนะขาด ค่อยๆ ต้มจนเครื่องในหม้อเดือดปุด รสชาติเผ็ดและเค็ม หอมกลิ่นปลา ซดซุปคำนึง ตักข้าวเปล่าตามไปอีกคำ โอ้ สวรรค์ มื้อนี้จ่ายไปคนละ 1,000 บาทโดยประมาณ คุ้มไหม หญิงใหญ่ว่าไม่ถึงขนาดนั้น แต่พอคิดว่าเป็นการซื้อประสบการณ์ก็นับว่าโอเค
เย็นนั้นหญิงใหญ่สวมเสื้อโค้ทที่มีกลิ่นทะเลๆ นั่งรถใต้ดินกลับที่พักแถวมยองดงแบบสบายใจ คิดไปว่าวันนี้เรารอดจากสตรีทฟู้ดแล้ว จนกระทั่ง 3 ทุ่มก็เกิดอาการไส้กิ่ว...
สุดท้ายได้เดินออกไปซื้อเครันปัง ราคา 2,000 วอนที่มยองดงอยู่ดี
Tag:
, ท่องเที่ยว, อาหารเกาหลี,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น