เมื่อไม่นานมานี้ผมมีโอกาสลาพักร้อนให้ตัวเอง แบกเป้เที่ยวกับเพื่อนกลุ่มเล็กๆ ไปยุโรปเป็นเวลา 30 วัน ในช่วงฤดูใบไม้ผลิที่มีแต่ความสดชื่น เพราะเป็นห้วงเวลาที่ยุโรปอากาศกำลังเย็นสบาย ท้องฟ้าสดใส ดอกไม้ผลิบาน และทุ่งหญ้าป่าเขาก็เขียวขจี ผู้คนที่ไม่ค่อยได้เห็นแดดมาหลายเดือนในฤดูหนาวต่างพากันออกมาเดินเล่น ทำกิจกรรม หรือนั่งปิกนิกกันตามสนามหญ้า นับเป็นบรรยากาศสดชื่นเปี่ยมชีวิตชีวาแบบที่คนเมืองร้อนอย่างเราไม่ค่อยได้เห็น การไปเที่ยวยุโรปของผมครั้งนี้จึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษครับ
ความงามของดอกไม้หลากสีและการจัดสวนอันสวยงามของวิลเฮลม่า
สวนทิวลิปสะพรั่งบานรับฤดูใบไม้ผลิ สร้างความเบิกบานกับผู้มาเยือน
เยอรมนีเป็นประเทศหนึ่งในยุโรปที่มีธรรมชาติสวยสดงดงามมากในฤดูนี้ ทั้งที่หุบเขาบาวาเรีย (Bavaria) ทางตอนใต้ และที่ป่าดำ (Black Forest) ล้วนน่าตื่นตาด้วยสีสันพรรณไม้และสรรพชีวิตนับหมื่นชนิด เช่นเดียวกับวิวภูเขาและป่าดงพงไพรก็เขียวสดน่าประทับใจยิ่ง ครั้งนี้จากไทยผมบินตรงไปลงที่เมืองแฟรงก์เฟิร์ต (Frankfurt) แล้วนั่งรถไฟไปเที่ยวต่อที่เมืองสตุตการ์ต (Stuttgart) เป็นภูมิภาคตอนใต้ของแดนอินทรีเหล็ก ซึ่งนักชื่นชมธรรมชาตินิยมไปเยือนกันมากเป็นอันดับต้นๆ และที่สตุตการ์ตผมได้พาตัวเองไปพบแหล่งธรรมชาติจำลองใจกลางเมืองใหญ่ ที่คนเยอรมันทั้งประเทศฮิตไปเที่ยวกันคือ “สวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์วิลเฮลม่า ชตุทท์การ์ท” (Wilhelma Zoological-Botanical Garden Stuttgart) จะสวยงามน่าชมอย่างไรรีบไปเที่ยวกันเลยดีกว่า
กระบองเพชรยักษ์อย่างถังทองก็มีให้ชมกันแล้วที่นี่
ใครที่สนใจเรื่องกล้วยไม้เป็นพิเศษ วิลเฮลม่าเขาก็จัดโซนไว้ให้เฉพาะเลยนะ
สวนสัตว์วิลเฮลม่าฯ เป็นสวนสัตว์ใหญ่อันดับ 2 ของเยอรมนี รองจากสวนสัตว์ในเบอร์ลินเท่านั้น ด้วยจำนวนสัตว์ที่มีอยู่มากถึง 1,200 ชนิดจากทั่วโลกทุกทวีปกว่า 11,500 ตัว และมีพืชพรรณน่าสนใจอีกถึง 6,000 ชนิด จึงดึงดูดนักธรรมชาติวิทยา นักพฤกษศาสตร์ และประชาชนทั่วไปที่ต้องการพักผ่อนหย่อนใจเข้ามาเยือนวิลเฮลม่า ที่นี่มีประวัติความเป็นมายาวนานย้อนไปได้ถึงช่วงปี ค.ศ. 1919 ที่สวนเปิดตัวขึ้น เพราะห้วงเวลานั้นถ้านึกดูให้ดีคือยุคที่ชาติมหาอำนาจในยุโรปกำลังกระหายออกสำรวจโลกใบนี้ รวมถึงออกล่าอาณานิคมด้วย เขาจึงมีการสร้างสวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์ขึ้นมากมายหลายแห่งทั่วยุโรป เพื่อให้คนได้ศึกษาเรียนรู้สิ่งแปลกใหม่กันสำหรับที่วิลเฮลม่าเปิดตัวขึ้นด้วยการเป็นสวนพฤกษศาสตร์ก่อน โดยเน้นไปที่การนำกล้วยไม้มาจัดแสดง จากนั้นในปี ค.ศ. 1951 จึงค่อยขยายส่วนของสวนสัตว์เพิ่มเข้าไป
บรรยากาศน่าอภิรมย์ของสวนสัตว์วิลเฮลม่า เดินเที่ยวกันได้เป็นวันๆ ไม่เบื่อ
ในช่วงเวลาราวๆ ปี ค.ศ. 1829 ที่ตรงนี้มีการขุดพบแหล่งน้ำแร่ร้อนมาก่อน ท่านดยุควิลเลียมที่ 1 แห่งวู้ดแทมเบิร์ก (Duke William I of Württemberg) ซึ่งเป็นผู้ครองแคว้นนี้จึงดำริให้สร้างโรงอาบน้ำร้อนขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ขยายมีโรงเรือนจัดเลี้ยง สวนแบบอังกฤษ โรงเรือนเพาะเลี้ยงพรรณไม้ต่างๆ อีกทั้งยังเคยใช้จัดงานนิทรรศการพรรณไม้ใหญ่ๆ ของยุโรป และเคยใช้จัดงานอภิเษกสมรสของราชวงศ์เยอรมนีมาแล้วด้วย คงเพราะความสวยของสวนที่จัดแบบอังกฤษ มีไม้ดอกไม้ใบงดงามเห็นแล้วสดชื่นสบายตา อีกทั้งอาคารต่างๆ ก็สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรม Moorish Revival ซึ่งนำสถาปัตยกรรมของแขกมัวร์ในสเปนมาผสานกับสถาปัตยกรรมของเยอรมนี ที่สำคัญอีกประการคือสวนสัตว์วิลเฮลม่าตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำเนคคาร์ (Neckar River) อันเป็นแม่น้ำสายใหญ่ในภาคใต้ของเยอรมนีด้วย ยิ่งเพิ่มความเย็นตาเย็นใจและเสน่ห์เข้าไปอีก
ดอกคามีเลียขนาดใหญ่ กลีบบอบบางน่าทะนุถนอม บานขานรับฤดูใบไม้ผลิ
กล้วยไม้เมืองร้อนแปลกๆ จากทั่วโลกได้รับการนำมาจัดแสดงไว้ด้วย
ผมเลือกเดินทางมาที่วิลเฮลม่าด้วยรถไฟสาธารณะขบวนเล็กๆ ที่วิ่งรับส่งคนในเมืองชตุทท์การ์ทเพราะทั้งประหยัดรวดเร็วและเมื่อลงรถไฟแล้วเดินต่ออีกไม่กี่นาทีก็ถึงสวนสัตว์ เริ่มเที่ยวตอนเช้าๆ อากาศสดชื่นแดดอุ่นกำลังดี ได้ใส่เสื้อกันหนาวสวยๆ มาถ่ายรูปไว้ดูเล่น นี่คือข้อดีของฤดูใบไม้ผลิล่ะครับ
พรรณไม้แปลกๆ หลากชนิดมีให้ชมกันจุใจที่วิลเฮลม่า
แม้ว่าสวนสัตว์และสวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้จะมีเนื้อที่ไม่ใหญ่โตนักแต่ก็อัดแน่นไปด้วยสรรพชีวิตที่น่าสนใจ จากประตูทางเข้าสิ่งแรกที่พบคือลานสนามหญ้าโล่งทั้งซ้ายขวาซึ่งในฤดูนี้เขียวสดเย็นตา มีดอกไม้เล็กๆ สีขาวเบ่งบานแทรกแซมแลจุ๋มจิ๋มน่ารัก นอกจากนี้ยังเด่นด้วยแนวดอกทิวลิปหลากสีสะพรั่งบานเต็มที่รับฤดูกาลแห่งความสดชื่น แถมยังมีนกยูงอินเดียตัวใหญ่เดินไปมาอยู่อย่างเสรีเพราะไม่มีใครไปทำอันตรายมัน นักท่องเที่ยวที่นี่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มครอบครัวพ่อแม่ลูก เพื่อนฝูง และคู่รัก บางกลุ่มมานั่งปิกนิกอาบแดดกันกลางสนามหญ้าอย่างสบายอารมณ์
สวนทิวลิปของวิลเฮลม่าเป็นจุดถ่ายภาพสุดฮิตที่พลาดไม่ได้เด็ดขาด
พอเราเดินผ่านจุดนี้ไปก็จะพบกับโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่บุด้วยโดมแก้วใช้เป็นโรงเรือนเพาะเลี้ยงพรรณไม้ (Green House) จากทั่วโลก แบ่งเป็นระบบตามกลุ่มวงศ์พรรณไม้ และแบ่งตามภูมิอากาศ ภูมิประเทศของมันอย่างดีเยี่ยม เหตุที่เขาต้องเพาะเลี้ยงพืชพรรณไว้ในโรงเรือนก็เพราะเมื่อถึงฤดูหนาวหิมะตก จำเป็นต้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นไว้ ไม่งั้นต้นไม้ก็ตายเกลี้ยงสิครับ
นั่งรถไฟฟ้ามาถึงสวนสัตว์ได้สบายไม่ต้องกังวลกับรถติด
เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือนคนเยอรมันก็นิยมออกมานอนอาบแดดกัน
พรรณไม้ที่น่าสนใจมีทั้งกล้วยไม้จากทุกทวีปผลัดกันออกดอกให้ชมตลอดปี นอกจากนั้นยังมีโรงเรือน ‘ดอกกุหลาบพันปี’ หรือ ‘โรโดเดนดรอน’ (Rhododendron) หลากสี ทั้งขาว ชมพู ส้ม ม่วง แดง เป็นโรงเรือนที่คนถ่ายภาพกันไม่หยุด และยังมีดอกแมกโนเลีย ดอกคามีเลีย เป็นพรรณไม้ในเขตอบอุ่น (Temperate Zone) พบมากทั้งในญี่ปุ่น จีน อเมริกา แคนาดา ฯลฯ ลักษณะเป็นดอกไม้ขนาดใหญ่ สีสวย เห็นแล้วน่าทะนุถนอม
เดินต่อไปจะพบโรงเรือนป่าเขตร้อนที่มีพืชพวกปาล์ม หมาก และขิงข่าต่างๆ ซึ่งต้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นเป็นพิเศษ ถัดมาคือโรงเรือนกระบองเพชร ที่เป็นพระเอกคือ ‘ถังทอง’ (Golden Barrel Cactus) เป็นกระบองเพชรขนาดใหญ่ทรงกลมอ้วนมีหนามสีทอง คนเยอรมันที่ไม่เคยเห็นพืชเมืองร้อนถึงกับอึ้ง เพราะเป็นพืช Exotic หรือ ‘พืชแปลกประหลาด’ สำหรับเขา
เห็นทิวลิปสีสวยดอกใหญ่ขนาดนี้ก็ต้องชักภาพไฟฝากเพื่อนๆ ที่เมืองไทยสักหน่อย
พอพ้นจากโรงเรือนพรรณไม้ก็ถึงสวนสัตว์ มีทั้งโรงเรือนแมลง ผีเสื้อ สัตว์จากทุ่งแอฟริกา สัตว์เลื้อยคลานพวกงูอนาคอนดายักษ์ งูเหลือม กิ้งก่า จระเข้ และอิกัวนายักษ์ ไปจนถึงสวนน้ำที่มีสิงโตทะเล แมวน้ำ เพนกวิน หมีขาวขั้วโลก ฯลฯ หากใครจำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนมีลูกหมีขาวชื่อ ‘คนุท’ อันโด่งดัง มันก็อยู่ที่นี่ล่ะครับ แต่ตอนนี้คนุทโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ลูกหมีขาวเตรียมหัดว่ายน้ำครั้งแรกในชีวิต คงยังรู้สึกกลัวน้ำอยู่นิดๆ
นอกจากนี้ยังมีโรงเรือนที่มีชื่อเสียงมากคือ ‘ส่วนจัดแสดงลิง’ (Ape House) ที่เพิ่งปรับปรุงใหม่ให้ทันสมัยได้มาตรฐานขึ้น โดดเด่นที่สุดคือการนำ ‘โบโนโบ’ (Bonobo) ซึ่งเป็นลิงชิมแปนซีชนิดหนึ่งมาจัดแสดง เจ้าโบโนโบนี่เขาว่าฉลาดใกล้เคียงมนุษย์ที่สุด เพราะมีมันสมองใหญ่ รู้จักคิด วางแผน สร้างอุปกรณ์หากินแบบง่ายๆ ได้ ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูง มีการจัดลำดับชั้นทางสังคมในฝูง และที่สำคัญคือมันเป็นสัตว์กินเนื้อที่มีการวางแผนออกล่าอย่างเป็นระบบด้วย
หมีสีน้ำตาลเป็นสัตว์ที่พบได้ในผืนป่าทั่วไปของประเทศเยอรมนี
แพะภูเขาเป็นสัตว์หายากที่มาโชว์ตัวที่วิลเฮลม่าเช่นกัน
ใน Ape House นี้มีค่างแว่น ลิงอุรังอุตัง ลิงกัง ค่างห้าสี ลิงจมูกยาวจากเกาะบอร์เนียว ลิงบาบูนจากแอฟริกา ฯลฯ และที่น่าสนใจคือมีลิงกอริลลาด้วย วิลเฮลม่าเป็นเพียงไม่กี่แห่งในโลกซึ่งรับเลี้ยงลูกกอริลลาที่แม่ทิ้งมาอนุบาลจนแข็งแรง แล้วส่งกลับคืนสู่แหล่งอาศัยธรรมชาติของมันตามเดิมในภายหลัง
อิกัวนายักษ์ สัตว์จากเขตร้อนไปสร้างความตื่นเต้นให้คนที่ชตุทท์การ์ท
อีกโรงเรือนที่ผมไม่พลาดชมคือ ‘สวนนก’ (Bird House) ซึ่งมีนกแปลกๆ ที่ไม่มีในเมืองไทยให้ชม เช่น นก Kookaburras เป็นนกในตระกูลนกกระเต็นจากออสเตรเลีย เป็ดลายหินอ่อน (Marbled Duck) จากจีน นกช้อนหอยหัวล้านพันธุ์เหนือ (Northern Bald Ibis) จากตะวันออกกลาง และอีกมากมาย ที่ห้ามพลาดชมคือ ‘นกเกีย’ (Kea) เป็นนกแก้วป่าขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งพบเฉพาะบนเกาะใต้ของนิวซีแลนด์ โดยสวนสัตว์วิลเฮลม่าเป็นแห่งแรกในโลกซึ่งขยายพันธุ์นกเกียนอกประเทศนิวซีแลนด์ได้สำเร็จ เป็นนกแก้วชนิดเดียวในโลกที่อาศัยอยู่บนภูเขาหนาวเย็นจัดได้ ในอดีตชาวนิวซีแลนด์เคยล่านกเกียจนเกือบสูญพันธุ์ เพราะมันเข้าโจมตีฝูงปศุสัตว์ของพวกเขา
นกหงส์หยกผัวเมียแสนน่ารักคลอเคลียกันในสวนนกของวิลเฮลม่า
เดินเที่ยวจนเหนื่อยได้เวลาไปซื้ออาหารอร่อยๆ มานั่งกินในสวนโล่งๆ ที่เขาจัดไว้ให้ ทำตัวกลมกลืนกับคนเยอรมัน เลียนแบบวิถีชีวิตเนิบช้าในฤดูใบไม้ผลิของพวกเขา ที่นี่ทำให้ผมรู้สึกว่าสตุตการ์ตไม่ได้มีแต่ตึกสูงระฟ้า อาคารใหญ่ๆ
ทว่ายังมีธรรมชาติกลางใจเมืองให้เราสัมผัสได้อย่างใกล้ชิดครับ
Traveler’s Guide
- Best Season : อากาศดีที่สุดช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน (ฤดูใบไม้ผลิ) และเดือนมิถุนายน-กันยายน (ฤดูร้อน)
- Getting There : เดินทางไปสวนสัตว์วิลเฮลม่าได้ทั้งรถบัส รถไฟ เช่น รถไฟสาย R1 และ R3 / รถไฟใต้ดินสาย U3, U12, U14 จากสถานี Broadway Café / รถบัสสาย 41, 42, 45, 71 จากสถานี Broadway Café ฯลฯ
- Visiting Hours : ประตูเปิดให้เข้าตั้งแต่เวลา 08.15-17.00 น. (ทุกวัน) ขายตั๋วเวลา 09.00-16.30 น.
- Entrance Fees : ค่าเข้าชม ถ้าซื้อตั๋วแยก ผู้ใหญ่ 16 ยูโร/คน เด็ก 8 ยูโร/คน ถ้าซื้อตั๋วครอบครัว พ่อแม่และลูก 40 ยูโร/ครอบครัว และตั๋วครอบครัวที่พ่อหรือแม่คนเดียวพาลูกเข้าชม 24 ยูโร/ครอบครัว
- More Info : www.wilhelma.de/nc/en/home.html
Tag:
, Far Away, ชตุทท์การ์ท, เยอรมนี,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น