แม้ว่าเดือนนี้จะเข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเต็มตัวจนแทบทนไม่ไหว แต่อย่างน้อยเดือนนี้ก็เต็มไปด้วยวันหยุดยาวมากกว่าช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่เสียอีก แน่นอนว่าเมื่อมีวันหยุดยาวแบบนี้ทั้งที แก้มแดงเลยไม่พลาดพาทุกคนมาเปลี่ยนบรรยากาศมาดูซีรีส์ทางฝั่งไต้หวันกันดูบ้าง เพราะถ้าใครชินกับซีรีส์เกาหลีหรือญี่ปุ่นคงต้องยอมรับแหละว่า T-Series หรือซีรีส์ไต้หวันนั้นมีความยาวในแบบมาราธอนไม่เป็นรองละครไทย
The Perfect Match (2017) ซีรีส์ 22 ตอนจบที่เล่าเรื่องราวของ “ฮั่วถิงเอิน” หนุ่มเซเลบริตีเชฟคนดังเจ้าของร้านอาหารไฟน์ไดนิงชื่อดังอย่าง “ลามูร์” (La Mure) ที่มีซิกเนเจอร์จานเด็ดอย่าง “ล็อบสเตอร์แกงกะหรี่” (Curry Lobster) แต่แล้ววันหนึ่งในขณะที่เขากำลังทำงานตามปกติดังเช่นทุกวัน เพื่อนสนิทที่ควบตำแหน่งผู้จัดการร้านได้คาบข่าวมาบอกว่ามีร้านเล็กๆ ในตลาดกลางคืนที่ขาย “เบอร์เกอร์กุ้ง” (Curry Shrimp Mini Burger) ซึ่งหลายเสียงคอมเมนต์มาว่า หากใครไม่มีสตางค์กินล็อบสเตอร์ที่ลามูร์ก็ให้มากินเบอร์เกอร์ของ “เว่ยเฟินชิง” เชฟสาวน้อยคนเก่งแห่งไนท์บาร์ซาแทนกันก็ได้ ด้วยเหตุนี้เองเชฟคนดังจึงเกิดอยากสั่งสอนคนมาเทียบชั้นว่าอาหารที่ดีจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร และอาหารของใครอร่อยกว่า
ความดีงามของคนรักอาหารน่าจะอยู่ในช่วงแรกๆ ของซีรีส์ จากฉากวิธีการทำอาหารที่ผสานความเป็นจีนและฝรั่งที่ใส่มาอย่างไม่มียั้ง เช่นเดียวกับพล็อตเรื่องที่น่าสนใจและตรงกับความเป็นจริงในวงการอาหารที่ดูๆ แล้วก็ไม่ต่างจากในบ้านเรา ซึ่งจะต้องประกอบไปด้วยเชฟคนดัง นักวิจารณ์อาหาร คอมเมนต์รีวิวในอินเทอร์เน็ต ภาพของอาหารหรูๆ หน้าตาดีๆ แต่ความจริงแล้วอาหารที่จับใจผู้คนได้อย่างแท้จริง กลับเป็นอาหารอร่อยที่ทำให้เราได้ย้อนรำลึกถึงความทรงจำอันงดงามต่างหาก
ส่วนการนำเสนอเรื่องราวชีวิตของเชฟและคนทำงานทางด้านนี้ก็ถูกตีแผ่ออกมาได้น่าสนุกและน่าสนใจ อย่างตัวพระเอกที่เป็นถึงเชฟใหญ่เจ้าของร้านอาหารก็ไม่จำเป็นต้องทำอาหารเป็นอย่างเดียว หากแต่ต้องรู้จักการบริหารงานร้านให้ดีควบคู่ไปอีกด้วย เช่นเดียวกับการปะทะความคิดระหว่างพระนางก็ทำได้ดี (ประมาณเคมีมันได้) เพราะทั้งคู่ต่างต่อสู้กันแบบตรงไปตรงมา โดยมีรสชาติเป็นบรรทัดฐาน ร่วมด้วยสถานการณ์ต่างๆ ที่ต่างทยอยเข้ามาให้ทั้งเชฟมืออาชีพและเชฟสมัครเล่นที่ไม่ได้มาเล่นๆ ได้ประลองความสามารถ
ถึงกระนั้นก็มีส่วนแอบติติงนิดเดียวก็คงไม่พ้นความเล่นใหญ่เล่นโตที่ดูเกินจริงโอเวอร์อยู่หน่อยๆ อารมณ์นางเอกยกถังแก๊สที่บรรจุเต็มถังพาดบ่าได้ (แอบกลัวจริงๆ) หรือฉากบางฉากที่ดูประดักประเดิดเช่นเดียวกับบทสนทนาที่พยายามให้ดูเก๋ แต่ทั้งหมดนั้นก็ไม่ได้ทำให้เสียอรรถรส เพราะอย่างที่บอกไปตอนแรกแล้วว่าอาหารของเรื่องนี้น่ากินจริงๆ นะ
แล้วยิ่งใครที่ชอบฉากโรแมนติกระหว่างทำอาหารอยู่ล่ะก็ เรื่องนี้ไม่ทำให้ผิดหวัง แอบกระซิบนิดนึงว่าซีรีย์เรื่องนี้มีให้ชมกันใน Netflix นะจ๊ะ
ภาพประกอบจาก : https://www.juliaandtania.com/blog/?p=43
Tag:
, Food on Film, Netflix, ซีรีย์,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น