ปัจจุบันแทบไม่ต้องถามว่าประชากรอายุเท่าใดมีจำนวนมากที่สุด ทั่วทั้งโลกกำลังมีผู้สูงอายุ หรือ Aging เพิ่มมากขึ้น จนเรามักจะได้ยินคำว่า Anti-Aging กันหนาหู เอนไทเอจจิงช่วยทำให้เราไม่แก่ หรือดูเป็นหนุ่มเป็นสาวขึ้นหรือ
คนที่ให้คำตอบเรื่องนี้ได้ดีที่สุดน่าจะเป็นคุณหมอทางด้านนี้ เราได้มีโอกาสพูดคุยกับแพทย์หญิงจิรา ถาวรประดิษฐ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและเวชศาสตร์ชะลอวัย ศูนย์เวชศาสตร์ชะลอวัยกรุงเทพ (Bangkok Royal Life Anti-Aging Center) โรงพยาบาลกรุงเทพ คุณหมอพูดคุยด้วยน้ำเสียงสดใส นุ่มนวล ใบหน้าสดชื่น ก่อนจะถามว่าเอนไทเอจจิงดูแลร่างกายเราอย่างไร คุณหมอก็ชวนพูดคุยก่อนเลยว่า “คนที่มาโรงพยาบาลจะมี 2 ส่วน คือคนที่มีโรคภัยไข้เจ็บแล้ว เช่น เป็นหวัด ไม่สบาย เป็นเบาหวาน ความดัน ร่างกายเราเกิดความเสื่อมอย่างชัดเจน อีกกลุ่มคือยังไม่ป่วยเป็นโรคแต่มาตรวจร่างกายเพื่อดูว่าเราเป็นโรคอะไรหรือไม่ การตรวจประจำปีสมัยเดิม เช่น มีน้ำตาลในเลือดสูงไหม ความดันโลหิตเท่าไร เพื่อจะส่งต่อว่าเอายาความดัน เบาหวาน ไปกินนะ แต่เวชศาสตร์ชะลอวัยจะดูแลคนไข้เชิงลึกไปกว่านั้นและป้องกันก่อนที่จะเป็นโรค”
คุณหมออธิบายว่าผู้หญิง ผู้ชาย และแต่ละช่วงวัยของคนเราตั้งแต่วัยเด็ก วัยรุ่น วัยทำงาน วัยประจำเดือนใกล้หมดหรือประจำเดือนหมดแล้ว การดูแลแต่ละช่วงวัยไม่เหมือนกัน แต่จะดูแลอย่างไรให้บาลานซ์ และอายุที่มากขึ้นทุกวันอยู่ในช่วงที่เฮลท์ตี้และสุขภาพดีที่สุด คุณหมอบอกว่านี่เป็นหน้าที่ของเวชศาสตร์ชะลอวัย
“เราจะไปดูว่าการใช้ชีวิตทุกๆ วันใช้อย่างไร มีไลฟ์สไตล์แบบใด และมีการเจาะเลือดบวกกับการสแกนร่างกายบางอย่างเพื่อไปช่วยวิเคราะห์เพิ่มเติมว่าตอนนี้ภาวะร่างกายเราเป็นอย่างไร ต้องบอกว่าถ้าเรารู้ลึกและละเอียดเหมือนเอากล้องนาโนไปส่องมากขึ้นนี่จะรู้เลยว่าอะไรที่เราขาด อะไรที่เกินไปหรือเปล่า อะไรที่ตอนนี้เราหักโหมมากเกินไปแล้วทำให้ฮอร์โมนและอาหารการกินทั้งวิตามิน ส่วนกล้ามเนื้อ ไขมัน พวกนี้มากไปหรือน้อยไป ทุกคนอายุมากขึ้น ใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ พันธุกรรม สิ่งแวดล้อมของเรา เราใช้ไปก็ดีนะ แต่อาจจะไม่เหมาะกับร่างกายเราทีเดียว ฉะนั้นเวลาที่เราตามดูแลคนไข้ การเจาะเลือดที่ลึกลงไปมากขึ้นจะทำให้เห็นว่าที่เราใช้ชีวิตมาถึงตรงนี้มันเป็นอย่างไรบ้าง ที่เราทำตรงนี้ดีขึ้นหรือยัง มันแย่ลงหรือไม่”
โรคหรืออาการบางอย่างหลายคนเคยรับรู้มาว่าสามารถถ่ายทอดมาจากพ่อแม่หรือพันธุกรรม เราสามารถแก้ไขได้ไหม คุณหมอบอกว่า พันธุกรรมเป็นพิมพ์เขียวจากพ่อแม่ เปลี่ยนไม่ได้ แต่ตอนนี้เรามีความรู้เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์บางอย่างที่ทำให้การแสดงออกของยีนแตกต่างกันไป รวมถึงอาหารการกิน การนอน การใช้ชีวิต พอรู้ว่ามีความเสี่ยงตรงนี้มากขึ้นเราต้องไปโฟกัสเพื่อทำอย่างไรไม่ให้แสดงออกมากขึ้น ดูเรื่องการใช้ชีวิตกับผลเลือดให้บาลานซ์กันดีหรือยัง เรื่องสำคัญเกี่ยวกับอาหารการกินก็ไม่พ้นเรื่องของวิตามิน เกลือแร่ ปริมาณโปรตีน คาร์โบไฮเดรต เรื่องของน้ำตาล ปริมาณไขมัน ชนิดอาหารอะไรที่ทำให้ร่างกายเราเสื่อมเร็วขึ้น กับอีกส่วนหนึ่งคืออะไรที่เราทำแล้วทำให้เกิดโรค อย่างแรกสุดต้องทำให้ร่างกายไม่เกิดโรคอะไรที่อันตราย เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์เยอะ การกินน้ำตาลที่มีความเสี่ยงให้เราเป็นเบาหวาน ความดัน อันนั้นต้องตัดออกไปก่อน
“ส่วนที่ 2 ทำอย่างไรให้ร่างกายเราเสื่อมช้าลงหรือเรียกว่าชะลอวัย เราจะรู้ว่าอาหารอะไรช่วยได้บ้าง ไลฟ์สไตล์แบบใด การออกกำลังกายกระดูกเราจะดีไหม วิตามินตัวใดที่ทำให้กระดูกเราแข็งแรงนอกจากแคลเซียม ซึ่งแคลเซียมอย่างเดียวไม่ใช่ล่ะ ต้องมีวิตามินที่เหมาะสมด้วย เป็นต้น”
อ่านต่อ
ฟังคุณหมอแล้วรู้สึกว่าถ้าเราจะสุขภาพดีต้องดูแลร่างกายกันตั้งแต่เนิ่นๆ นั้นควรเริ่มตั้งแต่อายุเท่าใด และเราควรพบคุณหมอเอนไทเอจจิงเมื่อไรดี “จริงๆ คนไข้เอนไทเอจจิงหรือชะลอวัยนี่ถ้าดูตามอายุแล้วหลังจาก 25 ปีขึ้นไปร่างกายคนเราจะเริ่มเสื่อม นี่คือความจริง ร่างกายคนเราตั้งแต่เด็กก็จะเจริญเติบโตมากขึ้นจนอายุ 20-25 ปี หลังจากนั้นจะเริ่มเสื่อม การดูแลสุขภาพไม่ใช่เริ่มเมื่ออายุ 25 ปีหรือ 30 ปี แต่จริงๆ แล้วการดูแลสุขภาพต้องเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก ตั้งแต่การกินอาหาร การกินอยู่ คนไข้ของที่นี่ที่ดูแลอยู่มีตั้งแต่อายุ 3-5 ขวบจนอายุ 80-90 ปี ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ 95 ปี ช่วงอายุกว้างมาก”
อย่างที่คุณหมอบอกว่าผู้หญิง ผู้ชาย วัยรุ่น วัยทำงาน วัยเกษียณ การดูแลไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่ว่าแต่ละคนดูแลร่างกายอย่างไร บางคนก็สนใจสุขภาพอยู่แล้ว อาหารการกินเป๊ะ ออกกำลังกายเป๊ะ ก็จะมาดูว่าอะไรขาดอะไรเกิน ปรับให้สมดุล ส่วนเด็กๆ อาจไม่ต้องดูอะไรมาก ดูว่าทำอย่างไรให้เขาดูสูงที่สุด เจริญเติบโตได้ดีที่สุดในวัยของเขา
คนที่มาพบคุณหมอจึงมาได้ทุกวัย เพียงแต่ว่าพอเราอายุมากขึ้นชีวิตและความเสื่อมของร่างกายก็จะซับซ้อนขึ้น ต้องดูแลมากหน่อย อดถามถึงการมีชีวิตของคนเราที่ยืนยาวจนมีการตั้งชมรมอยู่ 100 ปี หรือ 120 ปี คุณหมอเอนไทเอจจิงมีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้
คุณหมอยิ้มและบอกว่า “จริงๆ แล้วตามอายุขัย เรามีคนอายุ 120 ปี อยู่ในกินเนสส์บุ๊ก ยังอยู่ดี เดินได้ ทุกๆ ชีวิตของสิ่งมีชีวิตจะมี Life Span หรืออายุขัยเป็นของตนเอง มนุษย์เราก็มีบันทึกไว้ว่า 120 ปี การมีอายุถึงเท่านี้เป็นไปได้ไม่ยาก แต่ไม่ใช่ว่าเราเริ่มต้นดูแลเมื่ออายุ 40 ปี แต่ต้องดูแลตั้งแต่อายุ 20 ปี หรือตั้งแต่เด็กๆ หมอว่าจึงเป็นไปได้ไม่ยาก”
อ่านถึงตรงนี้หลายคนที่ยังไม่ดูแลสุขภาพไม่ต้องรีรอ แม้จะเริ่มดูแลตั้งแต่เด็กไม่ทันเสียแล้ว อายุ 40 ก็ยังดีกว่าอายุมากกว่านี้
Tag:
, Aging Gracefully, Anti-Aging, ผู้สูงอายุ,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น