อย่างที่รู้กันว่าเบอร์รีทั่วโลกนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ แถมหน้าตาสีสันก็แตกต่างกันไปตามถิ่นกำเนิด หากจะให้เล่าถึงทั้งหมดคงต้องร่ายกันยาว เราจึงขอหยิบยกเบอร์รีเด่นบางส่วนมาให้ทำความรู้จักมากขึ้นอีกนิด พร้อมด้วยคุณประโยชน์ที่ซ่อนเอาไว้ในผลเล็กๆ นั่นเอง
สตรอว์เบอร์รี (Strawberry)
ถูกนึกถึงเป็นชื่อแรกเสมอสำหรับผลไม้สีแดงสด รสเปรี้ยวอมหวาน และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวอย่างสตรอว์เบอร์รีที่ตอนนี้มีให้กินตลอดทั้งปี ฤดูกาลที่แท้จริงของสตรอว์เบอร์รีจะเริ่มตั้งแต่ฤดูหนาวไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิ โดยมีอเมริกา สเปน และตุรกีเป็นเจ้าตลาด รูปทรงและรสชาติของสตรอว์เบอร์รีแตกต่างไปตามแหล่งเพาะปลูก สาวงามจากอเมริกามาพร้อมผลสีแดง ทรงสวย รสหวานอมเปรี้ยว ใกล้เคียงกันกับออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ขณะที่ฝั่งเอเชียอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีโดดเด่นด้วยความหอม หวาน เนื้อฟู ลูกโต และชุ่มฉ่ำ กัดเข้าไปแล้วถึงกับเพ้อหา (ใครบินไปเที่ยวหน้าสตรอว์เบอร์รีต้องมีโดนฝากหิ้วกลับมาบ้างล่ะ)
ส่วนในบ้านเราตอนนี้ก็ไม่น้อยหน้า หลังจากที่มูลนิธิโครงการหลวงได้ทำการศึกษาเรื่องสตรอว์เบอร์รีมาอย่างเนิ่นนาน เรามีสตรอว์เบอร์รีเกรดพรีเมียมแสนอร่อย พันธุ์พระราชทาน 88 ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างพันธุ์พระราชทาน 80 และพันธุ์พระราชทาน 60 ที่มาพร้อมรูปทรงกรวยปลายแหลมคล้ายหัวใจ สีส้มแดงจนถึงแดงเข้ม เนื้อละเอียดสีแดงสลับขาว หอมและหวานจัดเมื่อสุกเต็มที่ ไม่ต้องทนกินสตรอว์เบอร์รีผลเล็กเปรี้ยวจี๊ดจนตาหยีอีกต่อไปแล้ว
Note : นอกจากจะอร่อยแล้ว สตรอว์เบอร์รียังเป็นแหล่งรวมของวิตามินซี วิตามินเค โฟเลต ไฟเบอร์สูง โพแทสเซียม แมกนีเซียม แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างแอนโทไซยานิน เคมเพอรอล และเคอร์ซิติน ช่วยบำรุงสายตา (กินแล้วตาใสปิ๊ง) ชะลอการเสื่อมถอยของเซลส์ในร่างกายซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง
แบล็กเบอร์รี (Blackberry)
แบล็กเบอร์รีมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rubus fruticosus เป็นพืชล้มลุกที่เติบโตได้ดีในเขตเมืองหนาวทั้งในยุโรปและอเมริกา มองเผินๆ แล้วช่างเหมือนพวงองุ่นจิ๋ว มีขนเส้นเล็กๆ อยู่รอบผล สีของแบล็กเบอร์รีที่ยังอ่อนจะเป็นสีเขียว ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นสีแดง และกลายเป็นสีม่วงเข้มหรือสีดำเมื่อสุกงอม เนื้อนุ่มฉ่ำน้ำ รสชาติออกเปรี้ยว เวลากินเข้าไปจะเจอกับเม็ดเล็กๆ เคี้ยวกรุบๆ นิยมนำมาทำแยม กินกับโยเกิร์ต ตกแต่งเค้กและขนม แถมบางสายพันธุ์ยังนำมาหมักไวน์ได้อีกด้วย
Note : แบล็กเบอร์รีมีวิตามินซีและวิตามินเคสูงเช่นกัน รวมถึงไฟเบอร์ โฟเลต แมงกานีส ทองแดง ไนอะซิน สังกะสี และธาตุเหล็ก ช่วยเรื่องความดันโลหิต บำรุงสมอง ความจำ ที่สำคัญช่วยบำรุงผิวพรรณ กินแล้วไม่แก่เร็ว
ราสป์เบอร์รี (Raspberry)
เจ้าราสป์เบอร์รีสีแดงน่ารักอยู่ในสกุล Rubus เช่นเดียวกับแบล็กเบอร์รี (สังเกตง่ายเพราะหน้าตาใกล้เคียง) ขึ้นชื่อเรื่องความถึกและอดทน อยู่ได้ในแทบทุกสภาพอากาศ แถมให้ผลผลิตมาก ราสป์เบอร์รีจึงนิยมปลูกในหลายพื้นที่ทั่วโลกทั้งอเมริกา อังกฤษ แคนาดา นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย ชิลี จีน รัสเซีย รวมถึงในบ้านเราก็พบได้ตามพื้นที่สูง อาทิ ดอยภูคา ดอยอินทนนท์ และดอยเชียงดาว ลักษณะเด่นคือมีผลรูปทรงกรวย มีขนนุ่มๆ ขึ้นโดยรอบ นอกจากกินสดจะอร่อยที่สุดแล้วยังนิยมทำเป็นซอสเพราะมีสีสวยและรสเปรี้ยว (เข้ากับอกเป็ดรมควันเป็นที่สุด) หรือใช้ตกแต่งเค้ก ทาร์ต กินกับพุดดิง และทำเป็นแยมราสป์เบอร์รีแสนอร่อย
Note : ในราสป์เบอร์รีอัดแน่นด้วยวิตามินซีและวิตามินเค ไฟเบอร์ โพแทสเซียม แมกนีเซียม ทองแดง และธาตุเหล็ก ที่สำคัญคือมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยเฉพาะแอนโทไซยานิน ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้หลอดเลือด ลดความดัน และชะลอความเสื่อมของดวงตา
บลูเบอร์รี (Blueberry)
มีสีแดงแล้วต้องมีสีน้ำเงิน บลูเบอร์รีเป็นผลไม้จากเขตเมืองหนาวที่ตอนนี้หาซื้อในบ้านเราได้แบบสบายๆ ถิ่นกำเนิดของบลูเบอร์รีอยู่ในแถบอเมริกาเหนือและยุโรป เติบโตในช่วงฤดูใบไม้ผลิจนถึงฤดูร้อน ผลมีขนาดกลมเล็ก สีน้ำเงินอมม่วง ที่ปลายผลมีวงแหวนเล็กๆ ติดอยู่ด้วย นอกจากกินสดๆ จะอร่อยแล้ว บลูเบอร์รียังถูกใช้เป็นส่วนผสมในขนมหลายชนิด อาทิ มัฟฟิน ตกแต่งทาร์ต พาย กินกับโยเกิร์ต นำมาปั่นเป็นน้ำเพื่อสุขภาพ หรือกวนเป็นแยม
Note : แน่นอนว่าบลูเบอร์รีมาพร้อมคุณประโยชน์ไม่แพ้เบอร์รีชนิดอื่น แต่ที่ต้องขีดเส้นไฮไลต์เอาไว้คือบลูเบอร์รีเป็นผลไม้ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกา (United States Department of Agriculture : USDA) ว่ามีค่า ORAC สูง นั่นหมายถึงมีสารต้านอนุมูลอิสระแบบเต็มอัตรา ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งและโรคหัวใจ แถมยังมีไขมันต่ำ ใยอาหารสูง ช่วยเรื่องระบบขับถ่าย กินแล้วดีไม่มีอ้วน
บิลเบอร์รี (Bilberry)
ได้ยินชื่อไม่บ่อยนักเมื่อเทียบกับเบอร์รียอดฮิตข้างต้น บิลเบอร์รีเป็นเบอร์รีขนาดเล็กที่พบมากในแถบอเมริกา แคนาดา รวมถึงในยุโรป ผลสุกสีน้ำเงินคล้ายบลูเบอร์รี ในอดีตนิยมนำผลบิลเบอร์รีสุกมาทำเป็นแยม แต่สิ่งที่ทำให้บิลเบอร์รีน่าสนใจก็คือเบอร์รีชนิดนี้ช่วยถนอมสายตาได้ดีเยี่ยม ว่ากันว่าเริ่มมีชื่อเสียงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อนักบินชาวอังกฤษผู้กินบิลเบอร์รีสุกแล้วพบว่าตนเองมีสายตาดีเยี่ยม มองเห็นในช่วงกลางคืนได้ดีขึ้น ตามมาด้วยการค้นคว้ากันอย่างจริงจัง บิลเบอร์รีถึงขยับตำแหน่งจากเบอร์รีธรรมดาๆ มาเป็นเบอร์รีแห่งการถนอมสายตาไปแล้ว
Note : ในบิลเบอร์รีมีสารแอนโทไซยาโนไซด์ (Anthocyanoside) ที่มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสื่อมของเซลส์ ช่วยให้ดวงตาทนต่อแสงได้ดี อีกทั้งยังช่วยเรื่องการมองเห็นในที่มืดและลดอาการล้าของดวงตาได้ดี นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงเห็นบิลเบอร์รีถูกใช้เป็นส่วนผสมในการทำวิตามินเพื่อบำรุงสายตา
แครนเบอร์รี (Cranberry)
แครนเบอร์รีมีถิ่นกำเนิดในอเมริกาและยุโรป เมื่อสุกแล้วมีผลสีแดงทรงรี ผิวมันวาว รสเปรี้ยวจี๊ดชุ่มคอ และมีความฝาดเล็กๆ ปนอยู่ แครนเบอร์รีผูกพันกับวิถีชีวิตของผู้คนมายาวนาน เพราะเบอร์รีชนิดนี้ถูกใช้ทำเมนูสุดพิเศษในช่วงวันขอบคุณพระเจ้าอย่างไก่งวงอบราดซอสแครนเบอร์รีที่สุดแสนจะเข้ากัน นอกจากนี้ยังเหมาะทำเป็นสมูทตี กินกับโยเกิร์ต รวมถึงแครนเบอร์รีอบแห้ง
Note : จากการวิจัยทำให้เราได้รู้ว่าแครนเบอร์รีไม่ได้มีดีแค่ความอร่อยเท่านั้น แต่ยังช่วยปกป้องเราจากโรคที่ทรมานสุดๆ เพราะในแครนเบอร์รีมีสารโปรแอนโทไซยานิดิน (Proanthocyanidins) ป้องกันไม่ให้เจ้าแบคทีเรียอีโคไลไปเกาะติดกับผนังกระเพาะปัสสาวะ อันเป็นที่มาของการเกิดโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
Tag:
, สรรพคุณ, เบอร์รี่,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น