สายลมเย็นพัดแผ่วเบาทำให้ใบเมเปิลสีเพลิงตรงหน้าโบกพลิ้วไปมาเป็นจังหวะ แสงแดดอ่อนยามเช้าฉายลงมาตกต้องราวป่าที่กำลังผลัดใบสีสันละลานตา บ้างเป็นสีเหลือง ส้ม แดง และม่วงเข้ม ผืนป่าที่เคยเขียวชอุ่มในฤดูร้อนบัดนี้กลับมีชีวิตชีวาน่าตื่นตาสุดๆ เพราะนี่คือช่วงเวลาแห่งความสุข และการเที่ยวชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ฉันรอคอย ในดินแดนซึ่งฉันกลับไปเยี่ยมเยือนครั้งแล้วครั้งเล่า “เกาหลีใต้”
ป่าเปลี่ยนสีที่ภูเขาไฟฮัลลาซาน เกาะเชจู คือหนึ่งในที่สุดประสบการณ์ชีวิตของฉัน
ใบเมเปิลสีแดงฉานที่ป่าเชิงเขาฮัลลาซานสะกดทุกสายตาให้หยุดมอง
ไปดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่นมาก็หลายรอบ ทั้งเกียวโต โตเกียว และนารา มาทริปนี้ขอพาตัวเองเปลี่ยนบรรยากาศกลับสู่แดนกิมจิที่เที่ยวได้แสนง่าย เพราะคนไทยอย่างเราไม่ต้องทำวีซ่า เพียงแต่ต้องรู้ว่าในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายนที่ใบไม้เปลี่ยนสีสวยสุดๆ นั้น ที่พักจะเต็มเอี๊ยด ค่าห้องและค่าใช้จ่ายต่างๆ จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เพราะเข้าหน้าไฮซีซั่นของเกาหลีแล้ว ฉันเลยจับจองห้องพักและตั๋วเครื่องบินไว้ล่วงหน้าเรียบร้อย รวมถึงเสื้อกันหนาวตัวใหม่ พร้อมต้อนรับลมหนาวที่เริ่มพัดแรงขึ้นทุกที
ความงามตามธรรมชาติแบบสุดขีดของใบไม้เปลี่ยนสีที่ซอรัคซาน
ฉันเริ่มต้นการเดินทางทริปนี้ที่โซล เมืองหลวงอันแสนศิวิไลซ์ของแดนกิมจิ แต่อยู่ที่นั่นไม่นาน เพราะใช้โซลเป็นแค่ทางผ่านไปสู่เมืองอื่นๆ ซึ่งตอนนี้ใบไม้เปลี่ยนสีกำลังร้องเรียกให้ฉันไปพบ สถานที่แรกคือ “เกาะเชจู” (Jeju Island) เกาะใหญ่อันมีชื่อเสียงด้วยความงามตามธรรมชาติที่หลากหลาย แถมยังใช้เป็นฉากถ่ายทำซีรีส์หลายเรื่อง โดยเฉพาะแดจังกึม จอมนางแห่งวังหลวง ตอนที่นางเอกถูกเนรเทศไปอยู่เกาะเชจู เพราะในอดีตเมื่อหลายร้อยปีก่อนเกาะนี้ถือว่าไกลปืนเที่ยงและกันดาร ผิดกับปัจจุบันที่กลายเป็นหนึ่งใน Top Destination ของนักท่องเที่ยวเลยล่ะ ฉันมาเชจูเพราะต้องการสัมผัสหนึ่งในป่าเปลี่ยนสีสวยที่สุด 1 ใน 10 ของเกาหลี คือ “ภูเขาฮัลลาซาน” (Mt. Hallasan) ภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วสูงกว่า 1,950 เมตร ยืนตระหง่านเงื้อม และถือเป็นภูเขาสูงที่สุดบนเกาะเชจูด้วย โดยบริเวณเชิงเขามีผืนป่าเมเปิลหลากสีที่งามราวสวรรค์ จนนักเดินป่าทั่วเกาหลีพากันหลั่งไหลมาชมในฤดูนี้
ยอดเขาซอรัคยืนตระหง่านเงื้อมภายในอุทยานแห่งชาติซอรัคซาน
แต่ก่อนขึ้นภูเขาเรามาทำความเข้าใจกันสักนิดดีไหมว่าทำไมอยู่ดีๆ ใบไม้สีเขียวต้องผลัดใบเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้มแดงม่วงด้วยล่ะ คำตอบง่ายๆ คือ เมื่อใกล้ฤดูหนาวต้นไม้จะต้องพักตัว เพื่อเอาชีวิตรอด โดยสลัดใบทิ้งให้หมด มันจะดึงสารคลอโรฟิลล์ (สีเขียว) จากใบกลับเข้าสู่ลำต้น ทิ้งไว้เพียงสารแคโรทีนอยด์ ซึ่งก็คือสีเหลือง ส้ม แดง ม่วง (แล้วแต่ชนิดของต้นไม้) เป็นอยู่อย่างนั้นราวๆ 1-2 สัปดาห์ ก่อนใบจะแห้งเหี่ยวร่วงโรยไปหมดเหลือแต่กิ่งก้าน เพื่อต่อสู้กับหิมะในฤดูหนาวอันโหดร้าย
การเดินป่าชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ฮัลลาซานจะมีป้ายบอกทางชัดเจน
เส้นทางเดินป่าสัมผัสธรรมชาติพิสุทธิ์ที่ภูเขาฮัลลาซานมีหลายเส้นทาง แต่ฉันเลือกทางโหดสุด ระยะทางไป-กลับ 20 กิโลเมตรใน 1 วัน ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะจะได้ชมทั้งป่าเปลี่ยนสีบริเวณเชิงเขา รวมถึงปล่องภูเขาไฟบนส่วนยอดสุดด้วยน่ะสิ จริงๆ ก็ฝืนสังขารอยู่ เพราะไม่ได้ฟิตมา ทว่าหัวใจมันเรียกร้อง
นักเดินป่าปีนเขานับหมื่นคนหลั่งไหลเข้าสู่ซอรัคซานตลอดเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน
ด้วยระยะทางที่ไกลขนาดนี้เลยต้องเริ่มต้นเดินป่าตั้งแต่ 08.00 น. โดยใส่รองเท้าหุ้มข้ออย่างดี มีน้ำ ขนม อาหาร และไม้เท้าเดินป่าไปพร้อม เพราะแม้ว่าหนทางช่วงแรกจะเป็นป่าละเมาะโปร่งๆ ที่เดินสบาย แต่พอใกล้ถึงยอดเขา สภาพนิเวศจะเปลี่ยนไปกลายเป็นป่าอัลไพน์ (Alpine Forest) หรือป่าที่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ มีแต่ไม้พุ่มเล็กๆ รวมถึงพื้นทางเดินก็เป็นหินภูเขาไฟขรุขระ วันนี้ป่าเชิงเขาฮัลลาซานคึกคักเป็นพิเศษ มีนักเดินป่านับพันคน ฉันเดินไม่รีบเพราะตื่นตาตื่นใจกับป่าเมเปิล ที่บัดนี้กำลังเผยความงามแบบสุดขั้วให้ชม เมเปิลบางต้นเป็นสีแดงเพลิง บางต้นก็เป็นสีเหลืองจี๊ดจ๊าด บางต้นมีหลายเฉดสีไล่กันไปบนกิ่งเดียวกัน เช่นเดียวกับต้นกิงโกะ (ต้นแปะก๊วย) ที่ผลัดใบเป็นสีเหลืองสดทั้งต้นตัดกับสีฟ้าครามของวันอันสดใส ยิ่งยามเช้าอย่างนี้แสงแดดอ่อนๆ จะส่องทะลุใบเมเปิลลงมา ยิ่งทำให้สีสันกระจ่างตาขึ้นเป็นทวีคูณ ฉันเดินไปแค่ไม่กี่ก้าวก็หยุดถ่ายภาพซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนลืมเวลาเลย
ต้นกิงโกะในอุทยานแห่งชาติซอรัคซานผลัดใบเป็นสีเหลืองร้อนรับลมหนาว
เส้นทางเดินขึ้นยอดเขาฮัลลาซานจะชันขึ้นทีละน้อยๆ และมีป้ายบอกทาง รวมถึงระยะทางที่เหลือไว้ตลอด ทำดีมาก แต่มีกฎอยู่ว่าทุกคนต้องเดินให้ถึงยอดเขาไม่เกิน 13.00 น. เพราะเวลาที่เหลือคือการเดินลงเขาล้วนๆ ถึงตีนเขาอีกทีก็น่าจะเย็นย่ำโพล้เพล้เลยทีเดียว ซึ่งในช่วงเย็นแบบนั้นสัตว์ป่าพวกกวาง เก้ง และหมีจะเริ่มออกหากิน นึกแล้วเสียว เลยต้องรีบทำเวลา เดินไป พักไป ถ่ายภาพไป และแวะกินข้าวเที่ยงที่ศาลาพักข้างทางแบบง่ายๆ ซึ่งเขาเตรียมไว้ให้ โดยมื้อเที่ยงของฉันวันนี้เป็นไข่ต้ม ขนมปัง ส้ม ช็อกโกแลต และน้ำเกลือแร่ที่ให้พลังงานสูง เพราะหนทาง 20 กิโลเมตรไป-กลับโหดกว่าที่คิดเยอะ
ใบเมเปิลสุกปลั่งผลัดใบในยามเช้าตรู่เคียงคู่สายลมที่พัดพลิ้วไปมา
ในที่สุดก็ถึงยอดเขาที่มีปล่องภูเขาไฟกว่า 400 เมตร ทอดตัวอยู่อย่างนิ่งสงบ เสียดายยังไม่มีทะเลสาบในปากปล่องภูเขาไฟ ซึ่งมีน้ำแข็งละลายลงไปเติมเต็มเหมือนในช่วงฤดูร้อน
ปล่องภูเขาไฟฮัลลาซานกว่าจะถึงก็ต้องเดินขึ้นเขากว่า 10 กิโลเมตร
ฉันพกพาภาพความประทับใจของผืนป่าเมเปิลนับแสนไร่ที่ผลัดใบพร้อมกันบนเกาะเชจู นั่งเครื่องบินกลับมายังโซลอีกครั้งเพื่อพักผ่อน แล้วเดินทางต่อไปยังหมุดหมายที่สองที่เขาตั้งฉายาเก๋ไก๋ให้ว่า “สวิตเซอร์แลนด์แห่งเกาหลี” คือ “อุทยานแห่งชาติซอรัคซาน” (Seoraksan National Park) เมืองซกโช (Sokcho) จังหวัดคังวอน อยู่ทางภาคเหนือของเกาหลีใต้ ทำไมต้องมาที่นี่ ก็เพราะมีป่าผลัดใบสวยงามราวกับอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์หรืออเมริกาเหนือเลยน่ะสิ คงเพราะเกาหลีใต้ตั้งอยู่บนเส้นละติจูดใกล้เคียงกับประเทศเหล่านี้ จึงมีใบไม้เปลี่ยนสีงามไม่แพ้กัน
ภายในอุทยานแห่งชาติซอรัคซาน มีวัดโบราณให้แวะสักการะกันด้วย
ป่าเมเปิลสีเพลิงเชิงภูเขาไฟฮัลลาซานงามเหมือนภาพวาดสีน้ำ
อุทยานแห่งชาติซอรัคซานมีเทือกเขาซอรัคเป็นเทือกเขาสวยงามที่สุดในเกาหลี งามทั้งป่าสน ภูเขาหิน ลำธาร บ่อน้ำแร่ร้อนเพื่อสุขภาพ น้ำตก จนเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเพลงอารีรังอันไพเราะแห่งเกาหลีขึ้นด้วย ผืนป่านี้สวยอลังการสุดๆ ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน เพราะราวไพรจะพากันเปลี่ยนสีละลานตา ราวกับป่าแห่งเปลวเพลิง ทั้งสีแดง เหลือง ส้ม ชมพู อากาศก็เย็นสบาย ชวนกันไปเดินเที่ยวท่องชมธรรมชาติ เดินป่า ปีนเขา หรือถ่ายภาพใบไม้เปลี่ยนสีไว้ชม ความอุดมของธรรมชาติในซอรัคซาน ทำให้องค์การ UNESCO ประกาศให้ผืนป่านี้เป็น “เขตอนุรักษ์ชีวมณฑลของโลก” (Biosphere Preservation) ตั้งแต่ ค.ศ. 1982 แล้วนี่คือคุณค่าที่เราต้องช่วยกันปกปักรักษาให้คงอยู่ตลอดไป
ใบไม้หลากสีสันเย้ายวนให้ผู้คนนับหมื่นเข้าสัมผัสซอรัคซาน
อีกเรื่องที่ควรรู้เมื่อมาถึงซอรัคซานคือสัญลักษณ์ของอุทยานฯ นี้คือ “หมีสีดำ” (Black Bear) เพราะมีตำนานเล่าว่าเทพเจ้าฮวานอุง (Hwan-ung) เคยเสด็จลงมายังโลกมนุษย์ ขณะนั้นมีเสือและหมีต้องการจะเป็นมนุษย์จึงมาขอพร เทพเจ้าบอกว่าถ้าสัตว์ทั้งสองอดทนจำศีลอยู่ในถ้ำได้ 100 วันก็จะสำเร็จ แต่เสือทนไม่ได้ หมีจำศีลอยู่ในถ้ำ 21 วันก็กลายร่างเป็นหญิงงามชื่ออุง-นยอ (Ung-nyeo) และได้เป็นมเหสีของเทพเจ้าฮวานอุงในที่สุด ที่อุทยานฯ นี้จึงมีรูปปั้นของหมีดำและนางอุง-นยออยู่ด้วย
พระใหญ่แห่งซอรัคซานคือหนึ่งจุดท่องเที่ยวยอดฮิตที่ต้องไปชม
เที่ยวทริปนี้ถ่ายภาพใบไม้เปลี่ยนสีจนเมมโมรี่การ์ดในกล้องหมดไปไม่รู้กี่ใบต่อกี่ใบ (ก็ไม่เคยพอ) เพราะฉันอยากนำภาพสวยๆ กลับมาให้เพื่อนที่เมืองไทยดูด้วย แต่อย่างไรก็คงไม่เท่ากับไปชื่นชมด้วยตาตัวเองจะงามกว่านะ
เทพเจ้าแกะสลักด้วยไม้ในวัดโบราณ ภายในอุทยานแห่งชาติซอรัคซาน
ได้เวลาแล้วรีบไปกันเถอะพวกเรา
Traveler’s Guide |
Best Season : เดือนตุลาคม-พฤศจิกายนเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีสวยที่สุดทั่วเกาหลี |
ไปเกาะเชจู แบ่งการเดินทางเป็น 2 ช่วง
- ไทย-เกาะเชจูมีบินตรงของ Jeju Air (www.jejuair-bkk.com/web/) ใช้เวลาบิน 4.50 ชั่วโมง ส่วนการเดินทางบนเกาะเชจูมีรถบัสประจำทาง และรถแท็กซี่บริการมากมาย
- เดินขึ้นยอดเขาฮัลลาซาน อันดับแรกต้องนั่งรถบัสจากเมืองที่พักไปยังจุดเริ่มเดินขึ้นภูเขา มี 2 เส้นทางให้เลือก คือ Seongpanak Trail เดินขึ้นเขา 9.6 กิโลเมตร และ Gwaneumsa Trail เดินขึ้นเขา 8.7 กิโลเมตร ส่วนอีก 3 เส้นทางจะไม่ถึงยอดภูเขาไฟ คือ Yeongsil Trail 3.7 กิโลเมตร, Donnaeko Trail 9.1 กิโลเมตร และ Eorimok Trail 4.7 กิโลเมตร
|
ไปอุทยานแห่งชาติซอรัคซาน
- เริ่มต้นที่โซล นั่งรถบัสจากโซล-เมืองซกโช ขึ้นรถบัสที่ Gangnam Express Bus Terminal รถออกทุก 30 นาที ใช้เวลาเดินทาง 2.30-3 ชั่วโมง มีจอดพักเข้าห้องน้ำ 1 ครั้ง จากนั้นเมื่อถึงเมืองซกโชแล้วไปอุทยทานฯ นั่งรถ Sokcho City Bus สาย 7 และ 7-1 ลงที่ป้าย Park Village (Seorak-Dong) เข้าอุทยานฯ รถบัสใช้เวลา 20-30 นาที หรือถ้านั่งรถแท็กซี่จากเมืองซกโชใช้เวลา 15-20 นาที (Sokcho Bus Terminal โทร. 1330 และ +82-33-1330 และ Seoraksan National Park โทร. +82-33-636-7700, 7702-3)
|
Tag:
, travel, เกาหลีใต้, เกาะเชจู,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น