ต้องยอมรับว่าถ้าให้คนกรุงเทพฯ นึกถึงขนมกุยช่าย ที่แรกๆ ซึ่งจะถูกเอ่ยถึงคงเป็นกุยช่ายตลาดพลู เพราะเป็นย่านเก่าแก่มีขนมกุยช่ายร้านอร่อยอยู่มานานกว่า 70 ปี และมีร้านหนึ่งที่ส่งต่อมาถึงรุ่นหลานอย่าง คุณที-กิตติคุณ กชกรจารุพงศ์ ผู้ดัดแปลงขนมกุยช่ายให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่มากขึ้นจนกลายเป็นแบรนด์สุดเก๋ไก๋ Sooo Guichai เปลี่ยนจากขนมกุยช่ายแป้งหนาที่เราคุ้นเคยเป็นแป้งเปลือย หรือการผสมแป้งให้เหลือน้อยที่สุดจนมองผ่านๆ จะเหมือนการปั้นไส้อัดแน่นเป็นทรงกลม

แท้จริงแล้วความฝันของคุณทีคือการเป็นเชฟ ทำให้เขาเลือกเรียนที่ Le Cordon Bleu Adelaide Australia และใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเกือบ 12 ปี หลังจากเรียนจบมีโอกาสทำงานในร้านอาหารจนเติบโตในหน้าที่การงานขึ้นเรื่อยๆ แต่ช่วงเวลานั้นเองคุณทีได้รับสายจากคุณพ่อซึ่งได้ชักชวนให้ลูกชายคนนี้กลับมาสานต่อกิจการขนมกุยช่ายซึ่งสืบทอดมาจากคุณยาย แต่ด้วยความที่ยังสนุกอยู่กับการใช้ชีวิตจึงทำงานที่ออสเตรเลียต่ออีก 4 ปี จนรู้สึกอยากกลับมาสืบทอดมรดกของครอบครัว

แต่แล้วใครจะรู้ว่าการที่เชฟจากออสเตรเลียบินมาประเทศไทยครั้งนี้ จะแปลงโฉมขนมกุยช่ายดั้งเดิมที่อยู่กับคนไทยมาหลายสิบปีไปได้ขนาดนี้

สิ่งที่เขาทำหลังกลับมาช่วงแรกคือการขายขนมกุยช่ายตามครรลองของที่บ้าน เพราะส่วนตัวเคยคลุกคลีกับขนมกุยช่ายมาตั้งแต่เด็ก และได้เป็นคนคอมเมนต์เรื่องรสชาติเสมอ แต่ด้วยอุปนิสัยที่เป็นคนชอบเรียนรู้ทดลองสิ่งใหม่ๆ และมีหัวการค้ามาตั้งแต่เด็กจากการนำขนมและของเล่นไปขายเพื่อนๆ ที่โรงเรียน ทำให้เริ่มศึกษาตลาดการบริโภคของคนไทยแล้วพบว่าเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมาก และจับทางอะไรใหม่ๆ ได้จนกลายเป็น Sooo Guichai

หัวใจของ Sooo Guichai คือการลดปริมาณแป้งเพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนสมัยใหม่ซึ่งใส่ใจสุขภาพ หรือแม้กระทั่งคนที่ยังชอบกินขนมกุยช่ายแต่อยากลดแป้งให้รู้สึกผิดต่อร่างกายน้อยลงหน่อย คุณทีเริ่มทำขนมกุยช่ายแป้งเปลือยจาก 4 ไส้มาตรฐานที่คนเข้าถึงง่าย ได้แก่ ไส้กุยช่าย ไส้เผือก ไส้มันแกวกุ้งแห้ง ไส้หน่อไม้กุ้งแห้ง ก่อนจะทำเพิ่มอีก 3 ไส้คือ ไส้เห็ดรวม ไส้มันม่วง (ออกมาในช่วงที่มันม่วงกำลังมา) และไส้ที่ได้แรงบันดาลใจจากเมนูสมัยเด็กอย่างไส้กะหล่ำเห็ดหอม คุณทีเล่าว่าที่บ้านชอบทำ “คะหน่าลุ้ย” (ภาษาจีนแต้จิ๋ว) กินกัน หน้าตาจะคล้ายกะหล่ำปลีต้ม ซึ่งถือเป็นเมนูประจำครอบครัวและติดอยู่ในความทรงจำของเขา เมื่อมีโอกาสก็อยากจะนำความอร่อยนี้กลับมาอีกครั้ง

แม้ปัจจุบันคนจะหันมารักสุขภาพมากขึ้น แต่ Sooo Guichai ยังมีพื้นที่ให้กุยช่ายทอดอยู่บ้าง แต่เป็นรูปแบบเกี๊ยวทอดกรอบไส้กุยช่ายซึ่งเป็นเมนูตามฤดูกาล นอกจากนี้ยังมีอั่งถ่อก้วยที่คนไทยเชื้อสายจีนน่าจะเคยเห็นหรือเคยกิน ส่วนน้ำจิ้มก็ไม่ได้มีแค่น้ำจิ้มกุยช่ายสูตรดั้งเดิมของที่บ้าน แต่เพิ่มน้ำจิ้มบ๊วยส้ม และน้ำจิ้มหมาล่าตามสมัยนิยม

สิ่งที่คุณทีตั้งใจคือไม่อยากให้ Sooo Guichai ทับไลน์กับกุยช่ายตลาดพลู แต่ต้องการต่อยอดขนมกุยช่ายให้หลากหลาย และเพิ่มทางเลือกให้คนชอบกุยช่าย “ผมมาเพราะผมอยากขยายตลาดมากกว่าที่จะไปเปลี่ยนเขา” เป็นเรื่องดีที่ฟีดแบ็กกุยช่ายแป้งเปลือยดีขึ้นเรื่อยๆ จากช่วงแรกที่คนยังไม่เข้าใจและรู้สึกว่าเป็นการทำให้อัตลักษณ์ของขนมกุยช่ายหายไป แต่เมื่อเปิดใจแล้วจึงยอมรับได้ว่าขนมกุยช่ายแป้งเปลือยก็รสชาติอร่อยและสร้างสรรค์เหมือนกัน

แม้เส้นทางเจ้าของแบรนด์ Sooo Guichai กำลังไปได้สวย แต่คุณทียอมรับว่าในใจลึกๆ ยังคิดถึงการเป็นเชฟและอยากเปิดร้านอาหารตามความฝันที่มีมาตลอด เพียงแต่คิดว่าต้องโฟกัสทีละอย่าง และทำให้เต็มที่ด้วยการผลักดันแบรนด์ Sooo Guichai ในฐานะอีกหนึ่งกิจการที่สืบสานมรดกของครอบครัวให้ไปได้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้

Tag: Special Guest, กุยช่าย