นูนีนอย เป็นชื่อของทุ่งน้ำและไร่นาเกษตรอินทรีย์ขนาด 30 ไร่ ในอำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ที่ ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ หรือ คุณอ้อย และ คุณวันชัย ตันติวิทยาพิทักษ์ หรือ คุณจอบ นักนิเวศวิทยา นักเขียน และเกษตรกรมือใหม่ อดีตชาวเมืองใหญ่ที่เพิ่งย้ายไปลงหลักปักฐานในปี 2561 เริ่มลงมือไถพรวน ปลูกข้าวในวิถีเกษตรอินทรีย์ ซึ่งเริ่มต้นจากความสมบูรณ์ของดินโดยไม่ใช้สารเคมีที่มาจากการสังเคราะห์ หลังเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เป็นปีที่สาม คุณอ้อยเล่าให้เราฟังอย่างตื่นเต้นว่าเกี่ยวข้าวได้มากขึ้นทุกปีแบบก้าวกระโดด จนตอนนี้แซงนาเคมีไปแล้ว
ทั้งหมดเป็นผลจากความสมบูรณ์ของดินและน้ำ จากการ Re-Wilding
Wild ใน Re-Wilding หมายถึงป่า ในที่นี้ก็คือการฟื้นฟูนิเวศของความเป็นป่ากลับมาอีกครั้ง “พื้นที่บริเวณนี้เป็นท้องนาที่อยู่ในเขตชลประทาน เป็นที่ลุ่ม เป็นหุบระหว่างภูเขา ซึ่งโดยภูมิประเทศแล้วมีความเป็นป่าที่ลุ่ม และ Wetland หรือพื้นที่ชุ่มน้ำตามธรรมชาติ แต่เราอยากเรียกว่า ‘ทุ่งน้ำ’ เพื่อให้เห็นภาพว่าเป็นแหล่งน้ำที่ไม่ลึก แต่ละส่วนของพื้นที่เชื่อมต่อกันด้วยต้นไม้และพืชพงชายน้ำซึ่งจะเป็นทั้งบ้าน ที่หลบภัย และที่หากินทั้งของสัตว์บกและสัตว์น้ำ” คุณอ้อยบอกว่าการรีไวล์ดก็คือการฟื้นฟูการทำงานของระบบนิเวศโดยคืนบ้านตามธรรมชาติให้กับสิ่งมีชีวิตในนิเวศได้กลับมาทำหน้าที่ตามบทบาทของมัน เราหยุดการรบกวน ปล่อยให้ธรรมชาติทุกอย่างพัก แล้วรอให้เขาฟื้นฟูตัวเอง ซึ่งด้วยพลังของธรรมชาติแล้วไม่ต้องรอนานเป็นปีๆ แต่อย่างใด
สิ่งที่มนุษย์ช่วยได้คือการบำบัดน้ำ “น้ำที่มาตามลำเหมืองจะมีสารเคมีที่ใช้ในการเกษตรปนมาด้วย เราขุดบ่อให้น้ำไปพักในบ่อแรกที่มีความลึกเพื่อให้ตกตะกอนที่ปนเปื้อนมาก่อน แล้วน้ำก็จะไหลเรื่อยไปยังบ่อถัดไป เส้นทางที่น้ำไหลจะมีทั้งช่วงน้ำลึกและตื้น กับช่วงที่น้ำไหลคดเคี้ยว จึงเกิดการบำบัดตามธรรมชาติ หากเปรียบเทียบกัน น้ำในบ่อแรกๆ จะไม่ค่อยมีพืชน้ำขึ้น แต่เราจะได้เห็นพืชน้ำหลากหลายขึ้นในบ่อท้ายๆ จนมาถึงคูรอบแปลงกุหลาบซึ่งอยู่ท้ายน้ำ เราได้พบปลากัดธรรมชาติตรงนี้ ซึ่งไม่พบเจอแถวนี้มาร่วม 20 ปีแล้ว แสดงถึงการฟื้นตัวของธรรมชาติดั้งเดิม ไม่ใช่แค่น้ำสะอาดขึ้น แต่กายภาพบ้านสัตว์ก็กลับคืนมา”
ดินได้พักจากเคมี จุลินทรีย์และสิ่งมีชีวิตในดินเติบโต ทำงานได้ น้ำได้รับการบำบัด ทั้งต้นข้าว ถั่วเหลืองที่ปลูกสลับหลังเกี่ยวข้าว กุหลาบ และต้นไม้อื่นๆ ในทุ่งน้ำนูนีนอยจึงงอกงามดี
เดิมทีทั้งสองตั้งใจจะปลูกข้าวอินทรีย์ แต่เมื่อลงมือก็พบว่าดินบางส่วนมีสภาพอัดแน่นจากการใช้เครื่องจักรหนัก จึงแก้ปัญหาพื้นที่ส่วนนี้ด้วยการยกร่องเป็นแปลงกุหลาบพันธุ์ Bishop กับ Damask หรือกุหลาบมอญแบบอินทรีย์ “อ่านเจอในตำรายุคกลางของยุโรป พวกพระเขาปลูกกุหลาบเป็นยา และนิยมปลูกกับลาเวนเดอร์ มีบันทึกไว้ด้วยว่า ‘หรือกับพืชที่มีใบกลิ่นแรงๆ กลิ่นฉุน’ พอดีแถวบ้านเรามีต้นหูเสือเยอะ ใบหูเสือมีสรรพคุณเป็นยา คนเมืองนิยมนำมากินกับลาบ ปลูกก็ง่าย ก็เลยปลูกกุหลาบกับหูเสือ ปรากฏว่าไม่มีเพลี้ย ไม่แน่ใจว่าด้วยอะไร กลิ่นของใบหูเสือไล่แมลงไป หรือมันดึงดูดให้แมลงไปกินมันแทน เพราะหูเสือก็โดนกินไปบ้าง” นอกจากต้นหูเสือ กุหลาบแปลงนี้ยังมีแมงมุมต่างๆ ช่วยควบคุมจำนวนศัตรูพืชด้วย “ตอนนี้กุหลาบเรามีแค่ 400 ต้น แต่พบแมงมุมมากกว่า 50 ชนิดเลย”
ความตั้งใจเดิมคือการตัดดอกส่งขายโรงแรม แต่มาเจอพิษล็อกดาวน์ช่วงโรคระบาด ตลาดโรงแรมหายไป เมื่อดอกกุหลาบเริ่มบานสะพรั่ง มีผลผลิตมากมาย จึงทดลองแปรรูปกุหลาบอินทรีย์นูนีนอยเป็นผลิตภัณฑ์โฮมเมด ปราศจากสารปรุงแต่งและสารกันเสีย เริ่มต้นจำหน่ายกับเพื่อนฝูงและแฟนเพจที่ติดตามเพจ Nunienoi ก่อน
“เริ่มจาก กุหลาบอบแห้ง สำหรับชงเป็นชากุหลาบ กุหลาบแห้งนำไปทำอะไรต่อได้เยอะ สามารถบดเป็นผง เอามาผสมน้ำผึ้งโยเกิร์ตมาสก์หน้า ทำขนม อาหาร ทำสบู่ก็ได้ แล้วก็มี แยมกุหลาบ เราใช้เพกตินซึ่งช่วยให้แยมมีลักษณะเป็นเจลลีจากเมล็ดมะนาวกับส้ม ของที่อร่อยคือ กุหลาบเชื่อม หรือ Rose Syrup เป็นน้ำเชื่อมที่ใส่กลีบกุหลาบเยอะมาก พอเชื่อมแล้วกลีบกุหลาบจะอร่อยเหมือนผลไม้เลย เหมือนกินลิ้นจี่ นำไปชงเป็นเครื่องดื่มหวานมากน้อย จะให้เปรี้ยวหรือซ่าก็ได้ตามแต่จะสร้างสรรค์ แล้วก็มี กุหลาบดอง ซึ่งสีสดสวยมาก กินเป็นเครื่องเคียงได้เหมือนขิงดองเลย เพียงแต่เวลากินกุหลาบดองเราจะรู้สึกว่ากินแล้วจะสวย” หัวเราะ “เพราะมันดีกับผิวนะ”
“เรายังมี Gulkhan (กุลข่าน) เป็นยาตามตำรับอายุรเวทของอินเดีย จะเรียกว่า กุหลาบกวน ก็ได้ เกิดจากการคั่วกุหลาบกับน้ำตาลทราย แล้วก็สาดน้ำมะนาวลงไปเพิ่มรสชาติและความสวยงาม ใช้กินกับไอศกรีมได้ นอกจากนี้ยังมี น้ำกุหลาบ เป็นน้ำกลั่นกุหลาบหรือ Hydrosol ซึ่งเกิดจากการต้มกุหลาบสดให้ไอน้ำควบแน่นกลั่นลงมาเป็นน้ำกุหลาบ ส่วนของ Essential Oil หรือน้ำมันกุหลาบก็จะผสมอยู่ในนั้น มีกลิ่นหอม ใช้สเปรย์ใบหน้า หรือใช้เป็นน้ำตบให้สดชื่น มีสรรพคุณช่วยสมานผิว กรณีไปออกแดดเปรี้ยงๆ มา ฉีดแล้วหายแสบเลย จะรู้สึกว่าสบายขึ้น”
การแปรรูปกุหลาบดูจะเป็นงานที่สนุกและให้ความสุขไม่น้อย คุณอ้อยเผยโครงการล่าสุดที่กำลังทดลองอยู่คือ Rose Gin ที่เจ้าตัวเชื่อว่าน่าจะดองได้อร่อยไม่แพ้เหล้าบ๊วยญี่ปุ่น ที่สำคัญคือจะเป็นเหล้าที่หอมกุหลาบเอามากๆ
“กุหลาบมีความลับให้เราค้นหาอีกเยอะ ที่เราเพิ่งไขปริศนาได้คือพลังในการ Healing ทั้งสุขภาพกายและใจ อย่างตัวเราเป็นคนสุขภาพดี อาจจะท้องผูกบ้าง ดื่มชากุหลาบก็ช่วยปรับให้สบายท้องขึ้น แต่กับคนที่ไม่สบาย ไม่ได้หมายถึงแค่ร่างกาย หมายถึงใจด้วย ในแปลงกุหลาบเหมือนมีพลังงานดีที่ช่วยปรับ Chemical Balance ให้คนได้ มีคนขอเข้ามานั่งเฉยๆ ก็รู้สึกดีขึ้น...ทำแบบนี้ได้เพราะกุหลาบเราไม่ได้ใช้สารเคมีด้วยน่ะค่ะ”
ลูกค้าคือผู้ยืนยันในคุณค่าของงานปลูกและส่งต่อประโยชน์ของกุหลาบอินทรีย์สู่ผู้บริโภค “สิ่งที่ทำให้ชื่นใจ และเป็นกำลังใจมากๆ ต่อเราและทีมงานคือฟีดแบ็กจากลูกค้าซึ่งซื้อของกับเราโดยตรงผ่านเฟซบุ๊ก คนที่ชอบ บอกว่ากลิ่นหอมดีก็มีอยู่แล้ว ที่น่าสนใจคือคนที่ไม่สบาย คนที่แพ้ง่าย หรือมีลูกที่ป่วย ที่ต้องระวังเรื่องอาหาร ร่างกายของเขาจะเป็นเหมือนมอนิเตอร์ที่หลอกไม่ได้เลย ดังนั้นเสียงตอบกลับจากเขาเหล่านี้จึงมีความหมาย เพราะมันเปลี่ยนความรู้สึกของคนปลูก ทีมงานของเราเป็นเกษตรกรในระบบเคมีมาตลอดชีวิต ไม่เคยรู้จักกับคนบริโภคพืชผลที่ตัวเองปลูก ครั้งแรกที่ได้อ่านข้อความที่บอกว่าขอบคุณที่เราปลูกให้กิน เขานอนไม่หลับทั้งคืนด้วยความปลื้มใจ น้ำตาไหล เขารู้สึกภูมิใจ เห็นคุณค่าของตัวเอง สิ่งนี้เป็นทั้งรางวัล และกำลังใจให้เกษตรกรค่ะ”
กุหลาบอินทรีย์นูนีนอยให้ผลผลิตมากในฤดูหนาว แต่ตลอดทั้งปียังมีผลิตภัณฑ์อินทรีย์อื่นๆ อย่างข้าวกล้องและถั่วเหลืองอินทรีย์ให้เลือกซื้อ อ่านเรื่องราว ติดตามการทำงาน และเลือกซื้อผลิตภัณฑ์จากทุ่งน้ำนูนีนอย รวมทั้งสอบถามเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊กแฟนเพจ Nunienoi หรือโทร. 08-1371-2475
Tag:
Cover story, กุหลาบ, เชียงใหม่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น