กุหลาบ สื่อรักและแรงบันดาลใจในโลกของอาหาร

วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2567  823 Views
นิตยสาร Gourmet & Cuisine ฉบับที่ 283 เดือนกุมภาพันธ์ 2567

บรรยากาศอันคุ้นเคยของวันแห่งความรักในเดือนกุมภาพันธ์มักอบอวลหอมหวนไปด้วยกลิ่นหอมจากดอกกุหลาบสะพรั่งบาน สัญลักษณ์สากลของการบอกรัก

กุหลาบ สื่อรักและแรงบันดาลใจในโลกของอาหาร

แท้จริงแล้วกุหลาบยังมีคุณค่าลึกซึ้งเกินกว่าการเป็นแค่ดอกไม้สื่อรัก มีประโยชน์มากไปกว่าความงามและความหอม กุหลาบเป็นจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องดื่ม ยา อาหารเสริม ดอกไม้ชนิดนี้ยังมีบทบาทและปรากฏตัวเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรม สถาปัตยกรรม การแต่งกายและภาษา มีเรื่องราวบอกเล่าถึงความเป็นมาและความผูกพันระหว่างตัวของมันเองกับผู้คนในวัฒนธรรมนั้นๆ อย่างน่าประทับใจ

กุหลาบ สื่อรักและแรงบันดาลใจในโลกของอาหาร

กำเนิดของกุหลาบ
ฟอสซิล หรือซากดึกดำบรรพ์ที่พบหลายแห่งในโลกยืนยันว่ากุหลาบถือกำเนิดขึ้นก่อนมนุษย์ ตั้งแต่เมื่อ 30 ล้านปีก่อน โฉมหน้าที่แท้จริงของกุหลาบในยุคนั้นเป็นอย่างไรไม่มีใครบอกได้ แต่เชื่อกันว่ารูปลักษณ์ของกุหลาบเมื่อล้านๆ ปีก่อนยังปรากฏอยู่ในกุหลาบป่า หรือกุหลาบที่เกิดในธรรมชาติ เจริญเติบโตและผสมพันธุ์กันเอง ซึ่งหลายครั้งก็ข้ามสายพันธุ์กันจนกลายเป็นพันธุ์ใหม่ อย่างไรก็ตาม น่าสนใจว่ากุหลาบที่ขึ้นตามธรรมชาติพบได้เฉพาะซีกโลกเหนือ คือพื้นที่เหนือเส้นศูนย์สูตรเท่านั้น ไม่พบในทวีปออสเตรเลียและอเมริกาใต้

และกุหลาบพันธุ์งามๆ สีแปลก ก้านตรงยาว ไม่มีหนาม ราคาแพงสมความสวย แบบที่เราพบเห็นในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์เกิดจากการผสมพันธุ์ใหม่โดยมนุษย์ทั้งสิ้น

การให้คุณค่าความงามและความหอมของกุหลาบนั้นเป็นไปตามสายตา ประสบการณ์ และความชอบของคนมอง แต่โลกนี้ยังมีกุหลาบพันธุ์ที่มีมูลค่าแพงที่สุด ได้แก่ Juliet Rose กุหลาบสีพีชที่มีกลีบแน่น เรียงซ้อนเป็นทรงถ้วยแบบกุหลาบโบราณ ส่งกลิ่นหอมละมุนคล้ายใบชา นิยมใช้ในงานแต่งงาน ซึ่งเดวิด ออสติน นักเขียนและผู้เพาะพันธุ์กุหลาบในเมืองชาร์ปเชอร์ สหราชอาณาจักร ผู้ชื่นชอบการเพาะพันธุ์กุหลาบที่มีรูปลักษณ์และกลิ่นหอมของกุหลาบสมัยเก่า ใช้เวลาเพาะขึ้นนานถึง 15 ปี

เมื่อดอกกุหลาบจูเลียตเปิดตัวครั้งแรกในงานโชว์ดอกไม้ Chelsea Flower Show ในปี ค.ศ. 2006 ณ ตอนนั้นมีการประเมินมูลค่าเอาไว้ถึงดอกละ 15.8 ล้านเหรียญสหรัฐทีเดียว

ในเมืองไทยหากต้องการชมกุหลาบจูเลียต สวนกุหลาบรักมิตร ปากช่อง นครราชสีมา เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมดอกกุหลาบแพงที่สุดในโลกพันธุ์นี้ พร้อมด้วยกุหลาบพันธุ์อื่นๆ อีกร่วม 2,000 สายพันธุ์ที่ปลูกเรียงรายอยู่ในเนื้อที่ประมาณ 7 ไร่ 

กุหลาบ สื่อรักและแรงบันดาลใจในโลกของอาหาร

สื่อรักวันวาเลนไทน์
เทพปกรณัมเก่าแก่ของกรีกเล่าว่า ขณะที่อโฟรไดต์ หรือเทพีแห่งความรัก (ภาคโรมันคือวีนัส) ถือกำเนิดจากท้องทะเลก็ได้มีกุหลาบขาวงดงามมากมายเกิดขึ้นจากฟองคลื่นพร้อมกัน

เมื่อเจริญวัย อโฟรไดต์ตกหลุมรักมนุษย์นาม อาโดนิส หนุ่มพเนจรที่ล่าสัตว์อยู่ในป่า นางคลั่งรักจนไม่แทบไม่ผละห่างมนุษย์หนุ่มไปไหน แต่แล้ววันหนึ่งมีกิจจำเป็นทำให้ต้องทิ้งอาโดนิสเผชิญหน้ากับหมูป่าตัวใหญ่มากเพียงลำพัง มนุษย์หนุ่มพลาดพลั้งเสียท่า โดนหมูป่าทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส

อโฟรไดต์ได้ยินเสียงโหยหวนของคนรักก็รีบกลับมาช่วย ทำให้ถูกหนามกุหลาบเกี่ยวเลือดไหล แต่ก็ไม่ทันการ อาโนดิสสิ้นลมแล้ว อโฟรไดต์ร่ำไห้เสียใจ น้ำตาหล่นลงปนกับเลือดของอาโนดิส ตกลงพื้น เกิดเป็นต้นกุหลาบแดงราวสีเลือด

ตำนานรักนี้อาจเป็นต้นกำเนิดของการใช้กุหลาบแดงสื่อแทนความรัก ใน Valentine’s Day หรือวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นวันเฉลิมฉลองนักบุญของศาสนาคริสต์มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 496

ในสมัยจักรพรรดิคลอดิอัสที่ 2 เป็นช่วงเวลาที่กรุงโรมตกอยู่ในสงครามอย่างยาวนาน จักรพรรดิต้องการกำลังทหารไปออกรบ จึงสั่งให้ห้ามการหมั้นและแต่งงานในกรุงโรมให้หมด แต่วาเลนตินัส หรือที่รู้จักกันในเวลาต่อมาว่านักบุญวาเลนไทน์ไม่เห็นด้วย แอบทำการจัดพิธีแต่งงานให้คู่รัก จักรพรรดิไม่พอใจอย่างยิ่งจึงสั่งจับตัวมาขัง

วาเลนตินัสซึ่งขณะนั้นได้ตกหลุมรักบุตรสาวของผู้คุมซึ่งเป็นหญิงสาวตาบอดสนิท ก็ได้ส่งจดหมายถึงหญิงคนรักโดยลงท้ายข้อความว่า From your Valentine ก่อนจะถูกประหารในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ เรื่องราวของความรักอันแสนกินใจนี้ทำให้วันนักบุญวาเลนไทน์กลายเป็นวันแห่งความรักในที่สุด

สัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์คืออีรอส (ภาคโรมันคือคิวปิด) ซึ่งเทพปกรณัมกรีกเชื่อว่าเป็นบุตรชายของอโฟรไดต์ เป็นเด็กหนุ่ม มีปีก ถือคันศร เชื่อว่าสามารถบันดาลให้คนตกหลุมรักกันด้วยการแผลงศร จึงถูกยกย่องให้เป็นเทพแห่งความรักหรือกามเทพ และเป็นสัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์

กุหลาบ สื่อรักและแรงบันดาลใจในโลกของอาหาร

คุณค่าเหนือความงามของกุหลาบ
นอกจากเป็นดอกไม้สวยและหอมที่สื่อถึงความรู้สึก กุหลาบยังให้ประโยชน์มากมายทีเดียว

ตามตำรายาจีนกุหลาบมีรสหวาน ขมเล็กน้อย มีฤทธิ์อุ่น เข้าเส้นลมปราณตับ ม้าม มีสรรพคุณในการกระจายชี่ที่ติดขัด ทำให้รู้สึกสดชื่นผ่อนคลาย กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด สลายเลือดคั่ง ลดปวด เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องฝ้า กระ จุดด่างดำ ใบหน้าหมองคล้ำ ประจำเดือนมาไม่ปกติ ปวดท้องประจำเดือน ปวดตึงคัดเต้านมอันเกิดจากภาวะชี่อุดกลั้นและมีเลือดคั่ง รวมทั้งกรณีเจ็บปวดจากแผลฟกช้ำ

เว็บไซต์ของคลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียวมีบทความเล่าว่า ชาวจีนกินกุหลาบเป็นอาหารและยามาตั้งแต่สมัยโบราณ มีบันทึกครั้งแรกในปลายราชวงศ์หมิง เริ่มมีการใช้กุหลาบในการต้มไวน์ ทำซอส ชงชา ทำเค้กอย่างแพร่หลาย ต่อมาในราชวงศ์ชิงมีตำนานเล่าว่าจักรพรรดินีบูเช็กเทียนชอบดื่มน้ำค้างกุหลาบในตอนเช้า ใช้กลีบกุหลาบมาสก์หน้าในตอนกลางคืน ในวัย 60 ชันษา พระนางยังมีพระพักตร์อมชมพู ผิวพรรณงดงามประดุจหยก เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา จักรพรรดินีซูสีไทเฮาแห่งราชวงศ์ชิงซึ่งให้ความสำคัญกับผิวพรรณและความงามก็มักจะดื่มชากุหลาบเป็นประจำ เมื่อมีพระชนมายุ 60 พรรษา จิตรกรในวังหลวงยังเข้าใจว่าเป็นเพียง 40 ชันษา

แพทย์แผนไทยเองก็มีการนำคุณสมบัติทางยาของกุหลาบมาใช้ โดยน้ำมันดอกกุหลาบซึ่งสมัยโบราณเป็นของนำเข้าจากเปอร์เซียมาละลายกับน้ำต้มสุกทำเป็นน้ำกระสายยาในตำรับยาแก้ไข้ตัวร้อน อ่อนเพลีย แก้กระหาย และบำรุงกำลัง  

ตามหลักอายุรเวทซึ่งตามคำแปลในภาษาสันสกฤตหมายถึง “ศาสตร์แห่งชีวิต” หนึ่งในระบบการดูแลสุขภาพเก่าแก่ที่สุดในโลกจากวัฒนธรรมอินเดีย “โรค” เกิดจากความไม่สมดุลของร่างกาย จิตใจ สติ และสิ่งแวดล้อม การรักษาโรคตามหลักอายุรเวทจึงมุ่งเน้นการกำจัด ปรับ หรือลดสาเหตุของความไม่สมดุลนั้น วิธีการรักษาจึงขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลซึ่งมี “ธาตุ” แตกต่างกัน โดยผสมผสานวิธีการอันประกอบด้วยการทำความสะอาดภายในให้สะอาด ปรับโภชนาการ การใช้สมุนไพร การนวดบำบัด โยคะ และการทำสมาธิ

ตำรับอายุรเวทมีการใช้ชากุหลาบปรับธาตุ ช่วยระบายในผู้ที่ขับถ่ายยากก็จริง แต่หากเราย้อนไปที่หลักการปรับสมดุลของปัจเจกบุคคล การใช้น้ำมันกุหลาบซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นให้สัดส่วนของน้ำในลำไส้เพิ่มมากขึ้นจนเกิดการปวดถ่ายในคนคนหนึ่ง อาจจะไม่ได้ผลในบางคน หรือเกิดผลเกินคาดในอีกคนหนึ่งก็เป็นได้ การใช้สมุนไพรเพื่อปรับสมดุลจึงควรเป็นการใช้อย่างค่อยเป็นค่อยไป ภายใต้คำแนะนำของแพทย์แผนจีน ไทย หรืออายุรเวท และผู้ใช้ควรมีการสังเกตเสมอว่าร่างกายตอบสนองต่อการใช้สมุนไพรนั้นๆ อย่างไร

กุหลาบ สื่อรักและแรงบันดาลใจในโลกของอาหาร

ความหอมที่มีคุณประโยชน์
การศึกษาองค์ประกอบพบว่าน้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบมอญ (Rosa Damascena Mill.) วงศ์ Rosaceae ช่วยคลายความตึงเครียดของร่างกาย คลายกล้ามเนื้อเรียบ น้ำมันกุหลาบยังเป็นเหมือนเพื่อนที่ดีของผู้หญิงเพราะประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอย ช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิว คืนความชุ่มชื้นให้ผิวสามารถเก็บกักน้ำได้ดียิ่งขึ้น ลดการเกิดสิวและการอักเสบของผิว ช่วยกระชับรูขุมขน ลดรอยด่างดำ จึงช่วยให้สีผิวดูกระจ่างขึ้น นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณในการบรรเทาอาการระหว่างรอบเดือน หรืออาการวัยทอง

เนื่องจากกุหลาบมีคุณสมบัติต้านอักเสบ เหมือนฤทธิ์ของแอสไพริน ไอบูโพรเฟน และวิตามินที่ช่วยลดอาการตะคริว บวม ปวดท้อง และอารมณ์แปรปรวน เหวี่ยงขึ้นลงก่อนและระหว่างรอบเดือน กลิ่นหอมของกุหลาบช่วยผ่อนคลาย ช่วยบรรเทาความวิตกกังวลและทำให้รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นไปพร้อมกัน มีงานวิจัยพบว่าน้ำมันกุหลาบมีคุณสมบัติในการต้านโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวล ช่วยให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น ในทางการแพทย์ยังมีการนำไปใช้รักษาอาการเกี่ยวกับสมอง เช่น โรคสมองเสื่อมและอัลไซเมอร์ เนื่องจากช่วยยับยั้งการสร้างสารแอมีลอยด์ (Amyloid) ที่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของสมอง ทำลายเซลล์ และส่งผลกระทบต่อความทรงจำ

น้ำมันกุหลาบ นอกจากนำไปทำสุคนธบำบัด อันเป็นการบำบัดด้วยกลิ่น หรือ Aromatherapy ยังนำไปใช้อย่างอื่นได้อีกมากมาย ตั้งแต่ส่วนประกอบของยา เครื่องสำอาง และน้ำหอม ด้วยเหตุนี้การปลูกกุหลาบเพื่อสกัดน้ำมันจึงมีขึ้นอย่างแพร่หลาย

กุหลาบมีความหอมแตกต่างกันไปตามพันธุ์ มีผู้วิเคราะห์และจำแนกกลิ่นกุหลาบได้มากกว่า 25 กลิ่น และสรุปว่ากุหลาบไฮบริดหรือกุหลาบพันธุ์ใหม่ๆ ที่เกิดจากการผสมพันธุ์จะมีกลิ่นหอมหลัก 7 กลิ่น คือ กลิ่นกุหลาบ กลิ่นดอกแนสเตอร์ชัม (Nasturtium) กลิ่นดอกไวโอเล็ต กลิ่นแอปเปิล กลิ่นเลมอน กลิ่นกานพลู และกลิ่นใบชา ที่ว้าวคือบางพันธุ์จะให้กลิ่นมากกว่า 1 กลิ่น อย่างไรก็ตาม ไม่มีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับกลิ่นหอมของกุหลาบ ที่เคยเชื่อกันว่าลักษณะดอกสีนี้แบบนี้จะหอมมากก็อาจไม่เป็นเช่นนั้น นอกจากนี้ความไวของประสาทรับกลิ่นของคนเรายังแตกต่างกัน ที่คนอื่นบอกหอมอ่อนๆ เราอาจไม่ได้กลิ่นเลยก็เป็นได้

กุหลาบ สื่อรักและแรงบันดาลใจในโลกของอาหาร

พจนา นาควัชระ ผู้เขียนหนังสือ “กุหลาบ Roses” ของสำนักพิมพ์บ้านและสวน ซึ่งมีประสบการณ์ปลูกกุหลาบในสวนที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ นานกว่า 30 ปี เล่าไว้ในหนังสือว่า กุหลาบหอมมากที่สุดเมื่อแรกแย้ม ตอนที่กลีบเปิดออกราว 1-2 ใน 3 ส่วน เมื่อถูกแดดอ่อนๆ ตอนเช้าซึ่งยังมีความชื้นอยู่ แต่เมื่อแดดเริ่มจัดหรือมีลมแรง กลิ่นจะระเหยหรือถูกลมพาไปหมด

ด้วยเหตุนี้การเก็บเกี่ยวกุหลาบในฤดูเก็บเกี่ยวจึงทำกันตอนเช้ามืดและจบงานก่อนสาย เพราะเมื่อแดดจัดน้ำค้างบนกลีบและในอากาศแห้งไปจะสกัดน้ำหอมได้น้อย กุหลาบพันธุ์ที่นิยมนำมาสกัดน้ำหอมมากที่สุดคือกุหลาบดามัสก์ หรือกุหลาบมอญซึ่งปลูกกันมากในเมืองคาซานลิก ประเทศบัลแกเรีย

การกลั่นน้ำหอมจากกุหลาบมีหลายเทคนิควิธี ซึ่งต้องทำกันให้ทันกับปริมาณกุหลาบที่บานสะพรั่งในฤดูเก็บเกี่ยว วิธีคลาสสิกที่ใช้กันมานานและเก็บน้ำมันหอมได้มากกว่าแบบอื่นๆ ยังคงเป็นการกลั่นแบบใช้น้ำร้อนแบบดั้งเดิม การปลูกกุหลาบดามัสก์ในบัลแกเรียใช้กุหลาบสดทั้งดอกหนัก 4,000 กิโลกรัม สกัดได้น้ำมันกุหลาบ 1 กิโลกรัม แต่ถ้าเป็นกุหลาบพันธุ์เซนติโฟเลียที่ปลูกในเมืองกราซ ประเทศฝรั่งเศส ต้องใช้กุหลาบถึง 10,000 กิโลกรัม จึงจะได้น้ำมันกุหลาบ 1 กิโลกรัม ด้วยเหตุนี้น้ำมันกุหลาบแท้จึงเป็นของหายากและมีราคาสูง

กุหลาบ สื่อรักและแรงบันดาลใจในโลกของอาหาร

Rose Water
น้ำกุหลาบ หรือ Rose Water ที่ได้จากการกลั่นน้ำต้มกุหลาบ ซึ่งมีส่วนของน้ำมันกุหลาบผสมอยู่ด้วย ก็มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับน้ำมันกุหลาบ คือมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง เพียงแต่ไม่เข้มข้นเท่า มีฤทธิ์ละมุนกว่า นำมาใช้ได้ง่าย สัมผัสกับร่างกายได้โดยตรง ส่วนใหญ่นำมาใช้ทา เป็นน้ำตบ หรือสเปรย์ฉีดจะช่วยปกป้องเซลล์ผิวไม่ให้ถูกทำลายโดยแสงแดด สารเคมี และฝุ่นควัน ช่วยยับยั้งเอนไซม์ Elastase และ Collagenase ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิว ทำให้ผิวเรียบขึ้น ช่วยรักษาความสมดุลของค่า pH ของผิว ควบคุมความมันส่วนเกิน และช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นของผิว ทำให้ผิวดูเปล่งปลั่ง กลิ่นหอมของกุหลาบยังสามารถใช้เป็นน้ำหอมแบบธรรมชาติ ช่วยให้มีกลิ่นหอมของดอกกุหลาบติดผิวอยู่ตลอดเวลา

น้ำกุหลาบยังช่วยต้านการอักเสบ ลดการเกิดอาการระคายเคืองต่อผิว ลดผื่น ลดสิว และโรคผิวหนังต่างๆ เช่น ผิวหนังอักเสบ (Eczema) และโรคโรซาเชีย (Rosacea) นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรีย ป้องกันเชื้อโรค และช่วยให้แผลหายไวขึ้นอีกด้วย

กุหลาบ สื่อรักและแรงบันดาลใจในโลกของอาหาร

ศิลปะในการกินกุหลาบ
นอกจากการใช้ประโยชน์กุหลาบในรูปของน้ำมันหอมและน้ำกุหลาบ การบริโภคกุหลาบผ่านเมนูต่างๆ ยังนับเป็นความรื่นรมย์ต่อทุกประสาทสัมผัส หลายเมนูที่ถูกคิดค้นขึ้นยังสื่อถึงความผูกพันอันงดงามของกุหลาบกับผู้คนในแต่ละวัฒนธรรม

กุหลาบเป็นส่วนหนึ่งในวัฒนธรรมตะวันออกกลางอย่างปากีสถาน อิหร่าน ไล่เรื่อยไปจนตุรกีและอินเดียอย่างแน่นแฟ้น เช่นที่บ้านเรานำดอกมะลิมาใช้ประกอบอาหารและเครื่องดื่มจนกลายเป็นเครื่องหมายการค้า การเดินทางของกุหลาบเริ่มต้นที่เปอร์เซีย (หรืออิหร่านในปัจจุบัน) แพร่ไปยังจีนและยุโรปตามเส้นทางสายไหม และมาถึงเมืองไทยทางเรือ ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมัยอยุธยาตอนปลาย

ดร.กุสุมา รักษมณี ผู้เขียนหนังสือ “กุหลาบเปอร์เชียในแดนสยาม” ซึ่งเป็นผลงานการค้นคว้าเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับความสัมพันธ์ระหว่างเปอร์เซียกับไทย การรับวัฒนธรรมไม่ว่าจะเป็นภาษาและวรรณคดี เครื่องแต่งกาย อาหาร และเครื่องใช้จากเปอร์เซีย เล่าว่า ในบรรดาเครื่องปรุงรสปรุงสุคนธ์ที่ไทยได้แบบอย่างมาจากเปอร์เซีย มีน้ำกุหลาบ ซึ่งเป็น “ของเทศ” ที่ขึ้นชื่อและนิยมกันมากในหมู่ชนชั้นสูงชาวสยาม ซึ่ง จุฬิศพงศ์ จุฬารัตน์ อธิบายว่าไว้ในบทความ “ไขสุหร่ายกำจายกลิ่น: น้ำกุหลาบเปอร์เซียในวัฒนธรรมชนชั้นสูงสยาม” ในวารสารไทยศึกษา ปี 2554 ว่า น้ำกุหลาบเป็นผลิตภัณฑ์และสินค้าจากโลกมุสลิมที่คนไทยรู้จักใช้ประโยชน์มาตั้งแต่อยุธยาตอนต้น แหล่งผลิตสำคัญมาจากเปอร์เซียซึ่งเป็นสถานที่ผลิตน้ำกุหลาบตั้งแต่ก่อนสมัยอิสลาม น้ำกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความสะอาด ใช้ชำระล้างมลทิน ในราชสำนักสยามน้ำกุหลาบมีประโยชน์ 3 ประการคือ เป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะของชนชั้นสูง เป็นของใช้ในพระราชพิธีและพิธีกรรม และเป็นเครื่องบรรณาการหรือของกำนัล

แม้แต่คำว่า “กุหลาบ” ยังเป็นคำยืมจากภาษาเปอร์เซีย คือคำว่า คุล (gul) แปลว่าดอกกุหลาบหรือดอกไม้ และอาบ (ab) แปลว่าน้ำคุลาบ (gulab) ในภาษาเปอร์เซียจึงหมายถึงน้ำกุหลาบ แต่ไทยนำคำนี้มาเรียกเป็นชื่อดอกไม้

กุหลาบ สื่อรักและแรงบันดาลใจในโลกของอาหาร

เมนูกุหลาบซึ่งมาพร้อมชาวเปอร์เซียที่เข้ามาตั้งรกรากในกรุงศรี และตกทอดมาจนถึงปัจจุบันได้แก่ ขนมมัศกอด ซึ่งเราคุ้นชื่อจากกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ขนมมัศกอดของมุสลิมย่านคลองบางหลวง ลูกหลานชาวเปอร์เซียอยุธยา เป็นขนมกวนด้วยแป้งอย่างแป้งข้าวโพด หรือแป้งเท้ายายม่อม กวนกับน้ำตาลทรายและเนย ใส่น้ำหญ้าฝรั่นให้เป็นสีเหลือง และใส่น้ำดอกไม้เทศ (น้ำกุหลาบ) เพื่อให้มีกลิ่นหอม โรยหน้าด้วยอัลมอนด์และลูกเกด

ในวัฒนธรรมอินเดียมีขนมหวาน 2 อย่างที่กรุ่นกลิ่นน้ำกุหลาบที่เติมลงไปเพื่อให้หอม รับประทานแล้วหวานชื่นใจ คือ กุหลาบจามุน (Gulan Jamuns) กับราสมาลัย (Rasmalai)

กุหลาบจามุนนั้นว่ากันว่าถือกำเนิดในยุคที่ชาวเปอร์เซียรุกรานอินเดีย ทำจากน้ำนมควายผสมแป้ง ปั้นเป็นลูกกลมทอดในเนยกี ราดด้วยน้ำเชื่อมที่มีส่วนผสมของน้ำกุหลาบ ลูกกระวานและหญ้าฝรั่น ซึ่งจะอร่อยสดชื่นเป็นพิเศษถ้าได้แช่เย็นก่อนเสิร์ฟ อาจเป็นเพราะความหอมกรุ่นละมุนกุหลาบ ขนมตำรับนี้จึงมักใช้บูชาเทพผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนราสมาลัยเป็นขนมที่ทำจากชีสสดนำไปแช่ในน้ำนมเจือน้ำกุหลาบให้ชีสดูดนมจนนุ่ม แช่ให้เย็นก่อนเสิร์ฟ เมื่อละเลียดลิ้นกัดกินจะได้สัมผัสกับเนื้อเนียนนุ่มของชีสชุ่มนม หอมกลิ่นกุหลาบเจือเครื่องเทศแสนสดชื่น

ครัวตะวันตกมีวิธีบริโภคที่แตกต่างออกไป มีการทำแยมกุหลาบและน้ำเชื่อมกุหลาบกินเองกันอย่างแพร่หลาย กุหลาบยังถูกนำไปใช้ปรุงกลิ่นรสอาหารคาวหวาน และเครื่องดื่มสูตรต่างๆ ตามแต่ความสร้างสรรค์และฤดูกาล ที่น่าสนใจคือ Rose Hip อันเป็นผลของกุหลาบป่า มีสีแดง สีส้ม หรือสีน้ำตาล พบได้ในยุโรปและแถบเมดิเตอร์เรเนียน คนยุโรปนำมาใช้เป็นอาหารกึ่งยาเพราะมีวิตามินซีสูง ช่วยต้านหวัดและรักษาอาการท้องเสียท้องผูกได้

เมนูจากโรสฮิปมีตั้งแต่ไซรัป แยม ชา ซุป และน้ำส้มสายชูหมัก ที่น่าสนใจคือซุปสไตล์สวีเดนที่เสิร์ฟพร้อมวิปครีมและมาการอง และเช่นเดียวกับน้ำมันกุหลาบ ด้วยความอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่ดีที่ช่วยสร้าง ซ่อมและบำรุงผิวพรรณ รวมทั้งกระดูก โรสฮิปจึงถูกนำไปเป็นส่วนผสมสำคัญในอาหารเสริมและเครื่องสำอางบำรุงผิวพรรณมากมาย

สำหรับครัวไทยซึ่งเป็นดินแดนที่ปลูกกุหลาบดามัสก์หรือกุหลาบมอญ หรือ “ยี่สุ่น” ได้งามดี กุหลาบชนิดนี้ให้กลิ่นหอม สาวชาววังจึงนิยมนำกลีบมาต้มกลั่นเป็นน้ำกุหลาบ (เรียกว่าน้ำดอกไม้เทศ) ประพรมเนื้อตัว อบร่ำเสื้อผ้า และนำกลีบกุหลาบมาแต่งกลิ่นขนมและอาหาร ในน้ำลอยดอกไม้ เพิ่มความประณีตบรรจงในการกินการอยู่ หากเรือนใดมียี่สุ่นออกดอกดกใช้ไม่ทันก็นิยมตากแห้งเก็บกลีบไว้ชงเป็นชาบำรุงหัวใจ เป็นยาระบาย และให้ความสดชื่นได้

รูปลักษณ์และกลิ่นหอมของกุหลาบยังเป็นแรงบันดาลใจให้เชฟอาหารสัญชาติต่างๆ ใช้ความคิดสร้างสรรค์ นำกุหลาบและน้ำกุหลาบมาปรุงเมนูใหม่ๆ

กุหลาบ สื่อรักและแรงบันดาลใจในโลกของอาหาร

Pierre Hermé เชฟขนมหวานเจ้าของร้านมาการองชื่อดังของฝรั่งเศสผู้คิดค้น Ispahan Cheese Tart ตำนานของวงการขนมหวานฝรั่งเศสซึ่งผสมผสานขึ้นจากรสชาติของราสป์เบอร์รี ลิ้นจี่ และกุหลาบ รูปลักษณ์และรสชาตินี้เองที่เป็นแรงบันดาลใจให้เชฟมู่-จักรทอง อุบลสูตรวนิช แห่งร้าน Maison Bleue หลานตาของพจนา นาควัชระ เจ้าของสวนกุหลาบที่แม่แตง พลิกของหวานให้เป็นของคาว นำเสนออีกหนึ่งเมนูอีสปาออง- Ispahan Duck Brest อกเป็ดราดซอสราสป์เบอร์รี กินกับลิ้นจี่นาบกระทะ พรมน้ำกุหลาบ อีกหนึ่งความหลากหลายของกลิ่นรสที่ลงตัวของกุหลาบ Signature Dish ที่ทำให้ลูกค้ากลับไปเยือนร้านอาหารของเธอบ่อยๆ

ไม่เฉพาะเชฟดังแห่งวงการอาหารที่สามารถสร้างสรรค์รสชาติหอมหวานเหลือเชื่อเหล่านี้ คนธรรมดาที่มีไอเดียสนุกก็สามารถปรุงอาหารและเครื่องดื่มจากกุหลาบในสูตรที่พัฒนาขึ้นเองได้เช่นกัน ลองสังเกตในตลาดอาหาร เครื่องดื่ม เบเกอรี่ แม้กระทั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศที่พร้อมใจกันออกเมนูพิเศษในธีมดอกกุหลาบสะพรั่งรักวันวาเลนไทน์ของเดือนกุมภาพันธ์ ก็จะเห็นความคึกคักและหลากหลาย หอมกรุ่น ชวนชิมสะพรั่งตามไปด้วย

จะปลูกกุหลาบให้ได้ดอกงามไม่ใช่งานง่าย เพราะต้องปลูกอย่างเข้าใจ ใช้เวลาในการทะนุถนอม พรวนดิน ใส่ปุ๋ย และจัดการกับอุปสรรคศัตรูพืชต่างๆ เช่นเดียวกับรักแท้ที่ต้องการการพิสูจน์ด้วยความพยายาม ความใส่ใจดูแลและบำรุงความรู้สึก แต่ก็นั่นแหละ แม้จะถูกปลิดหนามแหลมคมไปแล้วก่อนถึงมือเรา แต่โปรดอย่าลืมไปว่า กุหลาบนั้นมีโรคและแมลงมาก จะปลูกให้ได้ดอกดก ดอกงาม อาจต้องใช้ทั้งฮอร์โมน สารเคมี และยาฆ่าแมลง

คนรักดอกไม้ รับประทานอาหาร ตลอดจนผู้บริโภคผลิตภัณฑ์จากกุหลาบจึงควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้อย่างระมัดระวัง


Tag: Cover story, กุหลาบ, วาเลนไทน์

เรื่องโดย

ความคิดเห็น

Editor’s Pick

Recent

Most Viewed