Special Guest ฉบับนี้ขอต้อนรับแขกพิเศษ 5 เชฟรุ่นใหม่ไฟแรงจาก 3 ทีมที่คว้ารางวัลจากการแข่งขัน Gourmet & Cuisine Young Chef 2023 มาครองได้สำเร็จ คือ ทีมคาปีบาโจ้ วิทยาลัยดุสิตธานี ศูนย์การศึกษาเมืองพัทยา เจ้าของรางวัลชนะเลิศ ทีมฮาครื่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 และ ทีม Burnt มหาวิทยาลัยสวนดุสิต รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 นอกจากฝีไม้ลายมือจะชนะใจกรรมการ น้องๆ ยังมีเรื่องราวเบื้องหลังการแข่งขันและแรงบันดาลใจที่ทำให้หลงรักการทำอาหารที่น่าสนใจไม่แพ้กัน

ทีมคาปีบาโจ้ วิทยาลัยดุสิตธานี ศูนย์การศึกษาเมืองพัทยา รางวัลชนะเลิศ
ไม่ใช่แค่ทำอาหารอร่อยจนคว้าแชมป์มาครองเท่านั้น บุ๊ค-นิพัฐพนธ์ โมกสุวรรณ์ และ ต้า (Dexter)-แด็กต้า เอเบลซ์ สองหนุ่มจากคณะอุตสาหกรรมบริการ สาขาการจัดการครัวและศิลปะการประกอบอาหาร วิทยาลัยดุสิตธานี ศูนย์การศึกษาเมืองพัทยา ยังเต็มไปด้วยพลังแบบเชฟรุ่นใหม่

“คาปีบาโจ้” เป็นการรวมตัวกันของ 2 หนุ่ม 2 บุคลิก ต้า ลูกครึ่งไทย-เยอรมันที่ถนัดอาหารตะวันตก และ บุ๊ค ที่สนใจเรื่องวัตถุดิบท้องถิ่นและกลิ่นรสของอาหารไทย แม้แต่ชื่อทีมที่สะดุดหูก็ยังมาจากชื่อสัตว์สุดโปรดของทั้งคู่ “คาปิบาร่า” และ “จิงโจ้” บรรยากาศของทีมนี้จึงค่อนข้างสมดุลทีเดียว

ก่อนจะตัดสินใจเรียนด้านอาหารอย่างจริงจัง ต้าเล่าว่าได้แรงบันดาลใจมาจากคุณพ่อที่จะคอยปลุกให้ไปช่วยทำมื้อเช้าทุกวันเป็นเบรกฟาสต์ง่ายๆ สไตล์ฝรั่ง ส่วนบุ๊คซึมซับการทำอาหารจากคุณยาย คุณป้า และคุณแม่ที่เคยเปิดร้านอาหารมาก่อน การตัดสินใจเข้าร่วมแข่งขันและคว้ารางวัลชนะเลิศ Gourmet & Cuisine Young Chef 2023 จึงเป็นโอกาสสำคัญในการสานฝันด้านอาหารของทั้งคู่เลยทีเดียว

“ตอนแรกไม่ได้คาดหวังว่าจะได้แชมป์นะครับ ตอนซ้อมเหนื่อยและท้อมาก แต่พอถึงวันแข่งจริง พวกเราก็ทำทุกอย่างเต็มที่เหมือนที่ซ้อมมา พอรู้ว่าได้รางวัลชนะเลิศก็ภูมิใจมากครับ” ต้าเล่าอย่างอารมณ์ดี ส่วนบุ๊คเสริมว่าในช่วงซ้อมก่อนลงแข่งจริงนั้นไม่ง่ายเลย “ตอนคิดเมนูยากมากครับ แก้ไปแก้มาเป็นร้อยครั้งกว่าจะได้เมนูที่ลงตัว ตอนแรกเราช่วยกันคิดเมนูขึ้นมาก่อนว่าอยากได้แนวไหน ก็มาลงตัวที่อาหารฟิวชัน คอนเซ็ปต์ของเราคือ Fusion Borderless ครับ ทั้งแอปพิไทเซอร์ Lost Samurai ก็เป็นการผสมผสานระหว่างญี่ปุ่นและเม็กซิกัน เมนคอร์ส Salmon Brine, Baked, Basting with Prawn Fat Brown Rice เมนูไทยและยุโรปที่มีไฮไลต์เป็นแซลมอน ส่วนของหวาน THAÏLANDE (ไตลอง) เราใช้กะทิของไทยมาเจอมิลเฟยของฝรั่งเศส”

แม้ทั้งคู่จะเคยผ่านการแข่งขันทำอาหารมาบ้างแล้ว แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบรรยากาศการลงสนามจริงก็ยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นทุกวินาที เพราะแค่ย้อนถามถึงความรู้สึกในวันนั้น ทั้งคู่ก็ประสานเสียงพร้อมเพียงว่า “กดดันครับ!”

“อาจเพราะไม่คุ้นชินกับสถานที่ด้วย แล้วเราเป็นคนตัวใหญ่ก็เผลอยืนหั่นของแล้วไปชนอีกทีม (หัวเราะ) ปกติตอนซ้อมพวกผมคุยกันน้อยครับ อาจเพราะความกดดัน แต่พอตอนแข่งเราก็อยากทำให้ดีที่สุด เลยเปิดใจคุยกัน กำลังทำอะไร หรือขาดเหลืออะไรก็บอกกัน ให้กำลังใจกันเองครับ”

แม้บรรยากาศในวันแข่งจริง แต่ละทีมจะขับเคี่ยวกันอย่างเต็มที่ แต่ทั้งคู่ก็บอกกับเราว่าพอใจในจานของตัวเอง แม้จะมีจุดที่อยากปรับแก้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นก็ตาม นอกจากนี้ทั้งคู่ยังได้รู้จักเพื่อนใหม่ที่มีความสนใจด้านอาหารคล้ายกัน รวมถึงได้เรียนรู้เทคนิคการทำอาหารจากเชฟรุ่นพี่ในวงการที่ถ่ายทอดเคล็ดลับแบบไม่หวงวิชาอีกด้วย “ตอนได้เจอเชฟมืออาชีพอย่าง เชฟเมย์-พัทธนันท์ หรือ เชฟพิรุฬห์ รังสิตโยธิน แค่เห็นก็ตื่นเต้นแล้วครับ แต่พอได้คุยแล้วเชฟเป็นกันเองมาก เชฟแบ่งปันเคล็ดลับการทำและแนะนำเรื่องการวางแผนเวลาในการแข่งขันด้วย รวมถึงเรื่อง Cooking Method อย่างเรื่องกุ้ง ผมใช้ไฟกลางในการทำ เนื้อกุ้งจะไม่สดเด้ง เชฟก็แนะนำว่าควรใช้ไฟแรงแทนครับ”

ส่วนความตื่นเต้นตอนประกาศรางวัล ต้าและบุ๊คเล่าอย่างอารมณ์ดีว่าแม้จะไม่คาดหวังมากนักแต่ก็จ้องพิธีกรตาเขม็งลุ้นว่าจะประกาศชื่อทีมของตัวเองเมื่อไร

“ตอนแรกเริ่มจากประกาศรางวัลจากสปอนเซอร์ก่อน เราได้รางวัลพิเศษจากธรรมชาติซีฟู้ดและรางวัลพิเศษจาก Tecnogas ดีใจมากครับ จากนั้นพิธีกรก็เริ่มประกาศรางวัล ยอมรับว่าลุ้นเหมือนกันว่าจะมีชื่อเราไหม พอประกาศถึงอันดับหนึ่งเพื่อนๆ รอบข้างก็หันมาเชียร์แล้วครับ ตอนที่รู้ว่าได้รางวัลชนะเลิศเหมือนทุกอย่างที่เคยกดดันหายไปหมดเลย รู้สึกแฮปปี้และอยากไปต่อ”

ตอนนี้ทั้งคู่ขึ้นชั้นปีที่ 4 แล้ว และมีเส้นทางของตัวเองค่อนข้างชัดเจน บุ๊คบอกว่าอยากเรียนต่อด้านอาหารในต่างประเทศเพื่อนำมาปรับใช้กับอาหารไทยที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวในวันข้างหน้า ส่วนต้าก็อยากไปหาประสบการณ์และร่วมงานกับเชฟเก่งๆ แล้วเปิดร้านอาหารของตัวเองในสักวัน

นี่คือความลงตัวของทีมที่ได้รางวัลชนะเลิศ Gourmet & Cuisine Young Chef 2023 “คาปีบาโจ้”

ทีมฮาครื่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1
“วิทยาศาสตร์สำคัญกับการทำอาหารมากนะคะ ทั้งอุณหภูมิ เวลาในการทำ เลยรู้สึกว่าการทำอาหารน่าสนใจ” เอแน็ง-ตฤณญาดา แสงอ่อน นักศึกษาสาขานวัตกรรมอาหาร คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต แห่ง ทีมฮาครื่น เจ้าของรางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 Gourmet & Cuisine Young Chef 2023 เริ่มต้นบทสนทนากับเรา

แม้จะไม่ได้เรียนด้านเชฟมาโดยตรง แต่ความสนใจด้านอาหารของเอแน็งนั้นน่าประทับใจมาก “การที่เราเรียนสาขานวัตกรรมอาหารทำให้รู้ว่าอาหารมีปฏิกิริยากับอะไรบางอย่างค่ะ เช่น ถ้าเป็นเนื้อชนิดนี้ ถูกความร้อนอุณหภูมิเท่านี้จะกลายเป็นแบบนี้ หรือวัตถุดิบชนิดหนึ่งมาอยู่กับวัตถุดิบอีกชนิดในสภาวะแบบนี้จะกลายเป็นแบบไหน ก็เลยทำให้อยากรู้จักอาหารมากขึ้นไปอีก”

ในมุมมองของสาวเก่งคนนี้ การทำอาหารเป็นการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และศิลปะเข้าไว้ด้วยกัน อีกทั้งเจ้าตัวยังคลุกคลีกับเรื่องอาหารตั้งแต่เด็กเพราะคุณพ่อเป็นเชฟฝีมือดี การตัดสินใจเข้าแข่งขันในครั้งนี้จึงเป็นเรื่องท้าทายเรื่องหนึ่งของเธอ “การเข้าสู่การแข่งขันเหมือนเป็นแรงกระตุ้นบางอย่างให้เราพัฒนาตัวเองมากขึ้นค่ะ ต้องศึกษาเรื่องอาหารให้ลึกขึ้นและฝึกทำอาหารให้หนักขึ้น จริงๆ ได้แรงบันดาลใจจากคุณพ่อ เพราะนอกจากคุณพ่อจะเป็นเชฟแล้วยังชอบเข้าแข่งขันด้วย ซึ่งเราได้เห็นมาตลอดว่าคุณพ่อพัฒนาฝีมือตัวเองได้เร็วขึ้น”

เอแน็งเล่าอย่างถ่อมตัวว่าไม่ใช่คนที่เก่งเรื่องการทำอาหารขนาดนั้น แต่เป็นคนชอบใช้ความคิด วิธีการทำงานของเธอจึงเริ่มจากคิดเมนูขึ้นมาก่อนแล้วศึกษาวิธีทำ “การเตรียมตัวคือซ้อมให้หนักค่ะ รู้เลยว่าการซ้อมเท่านั้นคือทางออกของทุกอย่าง ไม่มีปาฏิหาริย์ นอกจากต้องซ้อมให้เยอะที่สุด”

เราอดถามไม่ได้ว่ากดดันไหมที่ต้องลงแข่งท่ามกลางเพื่อนๆ ที่เรียนด้านนี้มาโดยตรง เอแน็งตอบด้วยรอยยิ้มว่าไม่กดดันเลยเพราะโฟกัสอยู่กับตัวเองเป็นหลัก “เราสนใจแค่ว่าจะทำหน้าที่ตอนนี้ให้ดีที่สุด เพราะโตมากับที่บ้านที่อยู่ในวงการอาหาร เลยรู้ว่าอาชีพเชฟเป็นอาชีพที่ควรให้เกียรติมากๆ เพราะฉะนั้นทีมที่เรียนด้านนี้มาเราก็ให้เกียรติอย่างเต็มที่ เพราะคุณเก่งจริงๆ วันที่เจอกันวันแรกก็ได้เห็นรุ่นพี่ที่เขาเรียนด้านนี้มา เรารู้สึกถ่อมตัวกว่าเดิม การมาแข่งครั้งนี้ไม่ได้หวังเรื่องชนะเลยค่ะ แต่หวังว่าตัวเองจะเก่งขึ้น”

เมนูที่เป็นแรงบันดาลใจในการลงแข่งคือเวลลิงตันฝีมือคุณพ่อ “จริงๆ เมนูเมนคอร์สตอนแรกที่ส่งคลิปวิดีโอเข้าประกวดก็เป็นเวลลิงตัน เพราะมองว่ามันมีคุณค่าทางจิตใจของครอบครัวเราที่คุณพ่อจะทำตอนเทศกาลหรือวันเกิด พอวันแข่งจริงมีเรื่องติดขัดนิดหน่อยก็เลยตัดออก”

ในวันแข่งจริงเอแน็งบอกว่ามีหลายอย่างที่ไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด แต่ก็รู้สึกสนุก เพราะกรรมการได้ชิมแล้วบอกว่าอร่อย! “ตอนแข่งกดดันมากค่ะ ลืมทุกอย่างไปเลย ทำทุกอย่างด้วยระบบออโต้ ขยับตัวและมือไปอัตโนมัติตามที่ซ้อมมา เลยรู้ว่าการซ้อมสำคัญมาก ตอนนั้นก็คิดว่าทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ทำตามแผนค่ะ”

เมนูของเอแน็งในรอบชิงชนะเลิศมาในคอนเซ็ปต์ Cultural Borderless Cuisine จานเรียกน้ำย่อยเป็น Special Yamamori Cured Tuna, Yolks and Caviar เมนคอร์สเป็น Salmon Confit with Paella และของหวานเป็น Tom Kha Cream-O Truffle ที่ทำออกมาได้น่าจะประทับใจ

“พอได้เจอเชฟที่มีประสบการณ์จริงๆ แล้วรู้สึกว่าโลกนี้กว้างมาก เราตัวเล็กมากเลย เชฟให้คำแนะนำเยอะมากค่ะ โดยเฉพาะเทคนิคการทำอาหาร ก่อนหน้านี้เรารู้ว่ามันคือเรื่องฝีมือ เรื่องการซ้อม มันคือศิลปะ มันคือวิทยาศาสตร์ แต่การได้ฟังคอมเมนต์จากกรรมการ ทำให้รู้ว่าการทำอาหารลึกซึ้งกว่านั้น เชฟต้องรักวัตถุดิบและรักอุปกรณ์ของตัวเองให้มาก ความรู้ต้องเยอะ จนหนูรู้ว่าถ้าอยากเข้าวงการเชฟจริงๆ ต้องใช้เวลาหลายปี สะสมประสบการณ์ ปีหน้าก็เลยคิดว่าจะยังลงแข่งด้านอาหารต่อค่ะ เพราะเราอยากเรียนรู้เพิ่มอีก”

สำหรับจุดหมายในอนาคตเอแน็งบอกว่าอยากนำ 2 ศาสตร์ที่เจ้าตัวรักคือวิทยาศาสตร์และอาหารไปด้วยกันได้ “อยากสร้างนวัตกรรมอาหารให้ไปสู่สากล เพราะตัวเองศึกษาเรื่องการแปรรูปอาหารและรู้ว่าวัตถุดิบไทยมีหลายอย่างที่น่าสนใจซึ่งจะช่วยเรื่องเศรษฐกิจต่อได้

“จริงๆ ตอนที่รู้ว่าได้รางวัลไม่ได้ส่งผลกับความรู้สึกเท่าตอนที่แข่งเสร็จแล้วมานั่งคุยกับตัวเอง และได้ตกตะกอนว่าที่ผ่านมาเป็นอย่างไร รู้สึกสนุกกว่าและภูมิใจมากๆ ค่ะ

“ตอนนั้นต่อให้ไม่ได้รางวัลก็รู้สึกภูมิใจอยู่ดี”

ทีม Burnt มหาวิทยาลัยสวนดุสิต รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2
ผา-ภัทรธร เพชรวิชิต และ ใหม่-ศุภสิริ ดาบแก้ว สองหนุ่มจากรั้วสวนดุสิตนำ 3 เมนู ยำส้มโอแซลมอนลายหินอ่อน แซลมอนกงฟีพระรามลงสรง และ ไอศกรีมกะทิอบควันเทียน แตงโมครีมโอปลาแห้ง คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 พ่วงด้วยรางวัลพิเศษจากบริษัท พี อาร์ จี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จากการรังสรรค์เมนูสุดพิเศษจากข้าวมาบุญครอง

สำหรับ ทีม Burnt แล้วพวกเขาบอกว่าเวทีแข่งขันทำอาหารเปรียบดั่งบันไดที่นำไปสู่การเป็นเชฟมืออาชีพ คือโอกาสพิสูจน์ตัวเองในสนามจริงภายใต้ภารกิจสุดกดดัน ซึ่งปลายทางอันหอมหวานคือรางวัลการันตีฝีมือ “ผมมองว่าเดี๋ยวนี้คนรู้จักตัวตนของเชฟก่อนที่จะได้ชิมฝีมือของเชฟเสียอีก พอรู้จักก็อยากลอง จากนั้นก็เป็นเรื่องของรสชาติที่จะตัดสินว่าลูกค้าอยากจะกลับมารับประทานซ้ำ หรือรอคอยเมนูใหม่ๆ ของเชฟอีกหรือไม่”

ผา ยังเล่าถึงแรงบันดาลใจในการเข้าร่วมการแข่งขันต่างๆ ว่า ไม่ได้มุ่งเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพราะมองว่าการแข่งขันไม่ว่าแพ้หรือชนะล้วนเป็นประสบการณ์ที่ดี ถ้าตั้งเป้าหมายว่าจะแข่งเพื่อหาประสบการณ์ไปเรื่อยๆ เท่ากับบอกว่าตัวเองยังไม่พัฒนาและย่ำอยู่กับที่ สิ่งที่ต้องการมากกว่าคือการสร้างคอนเน็กชันซึ่งจะเป็นใบเบิกทาง และแต้มต่อสำหรับการทำงานในอนาคต ดังนั้นทุกโอกาสที่ผ่านเข้ามาจึงไม่เคยมองข้าม รวมถึงการได้ทำงานพิเศษกับเชฟมืออาชีพ ไม่ว่างานใหญ่หรือเล็กพวกเขาก็ยินดีเข้าร่วมเสมอ

ผาเล่าถึงความกดดันที่ต้องเผชิญในช่วงของการแข่งขันว่า “มีความกดดันอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือมีการเปลี่ยนเมนูในช่วงท้ายของการซ้อม (ก่อนแข่งขัน) ประกอบกับช่วงนั้นมีโปรแกรมการแข่งขันอื่นด้วย ทำให้พักผ่อนน้อย อีกเรื่องคือลืมคำนวณพื้นที่ ปกติเราจะซ้อมในสถานการณ์ที่มีข้อจำกัดเพราะหากไปเจอสถานที่จริงซึ่งกว้างขวาง และมีอุปกรณ์ที่ดีกว่าก็จะถือเป็นกำไรเพราะช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น แต่ครั้งนี้เราซ้อมในสถานที่กว้างขวาง พอมาเจอพื้นที่จำกัดและไฟเบากว่าตอนซ้อมทำให้ไม่คล่องตัว และหลายขั้นตอนทำได้ไม่ทันใจก็รู้สึกกดดัน เช่น ใหม่ต้องใช้เวลามากขึ้นในการอบแป้งทูวีน (Tuile) กับอบวูเลอวองท์ เลยไม่มีเวลาทำมูสกล้วยบวชชีกับผัดมะเขือเทศอาจาด ผาต้องเข้ามาช่วยในส่วนนี้ก่อนจัดจาน และยอมทำเกินเวลาไป 2 นาที แม้เราจะวางแผนการทำงานมาอย่างดีแล้ว แต่เมื่อเกิดปัญหาเฉพาะหน้าก็ต้องรีบปรับกระบวนการทำงานใหม่”

สำหรับ Gourmet & Cuisine Young Chef 2023 นี้นับเป็นการแข่งขันครั้งที่ 2 ของผา ซึ่งครั้งแรกทำได้เพียงผ่านเข้ารอบ 10 ทีมเท่านั้น “ปีที่แล้วผมทำแซลมอนกงฟี เชฟแดงคอมเมนต์ว่าแซลมอนดิบเกินไปและเชฟเลือกที่จะไม่กิน เป็นการบอกให้รู้ว่าเมื่อพรีเซนต์อย่างไร ก็ต้องทำให้ได้อย่างที่พูด ปีนี้ผมเลือกทำแซลมอนกงฟีอีกครั้งและได้นำสิ่งที่เชฟเคยคอมเมนต์ไว้มาปรับปรุง ครั้งนี้ผลตอบรับดีเพราะเชฟแดงบอก ‘เปอร์เฟ็ค’ (อมยิ้ม) คำชมของเชฟทำให้ใจฟู และเป็นสิ่งยืนยันว่าเราได้อะไรจากการแข่งขันนี้จริงๆ นอกจากนี้ยังมีกำลังใจจากเชฟเมย์ที่ชมเรื่องการติดลาเบลที่อุปกรณ์และวัตถุดิบซึ่งเป็นวิธีการทำงานแบบมืออาชีพ

“นอกจากคำชมก็มีคำติ เชฟเมย์ย้ำเรื่องไฮยีน ความรับผิดชอบต่อลูกค้าคือหัวใจสำคัญของการเป็นเชฟมืออาชีพ ทุกกระบวนการต้องพิถีพิถันถูกสุขอนามัยซึ่งทีมเราต้องปรับปรุง เพราะบางครั้งเผลอใช้ช้อนชิม บางครั้งใช้มือ ทำเศษอาหารตกหล่นบนสเตชัน หรือการไม่แยกขยะ เป็นต้น” ใหม่ เสริม

แม้การแข่งขัน Gourmet & Cuisine Young Chef 2023 จะผ่านไปแล้ว แต่ทั้งคู่ยังมีเป้าหมายร่วมกันคือการเดินทางไปศึกษาและฝึกงานในต่างประเทศหลังจบปริญญาตรี แต่ก่อนจะถึงวันนั้นแต่ละคนยังมีสิ่งที่อยากทำ ผาอยากติดทีมชาติไทยในขณะที่ใหม่ขอล่ารางวัลอีกสักหน่อย เมื่อขึ้นชั้นปีที่ 3 ทั้งคู่จึงจะหยุดกิจกรรมทุกอย่างแล้วโฟกัสกับการฝึกฝนภาษาอังกฤษ เพื่อเป้าหมายในการขอทุนไปเรียนและฝึกงานในต่างประเทศอย่างที่ตั้งใจ

“ผมคิดว่าถ้ามีเป้าหมายชัดเจน เราจะไม่สูญเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ปีหน้าถ้ามีโอกาสเราก็อยากกลับมาแข่งขัน Gourmet & Cuisine Young Chef อีกครั้ง เพื่อคว้ารางวัลชนะเลิศมาครองให้ได้” สองหนุ่มกล่าวทิ้งท้าย 

Tag: Gourmet & Cuisine Young Chef 2023, การแข่งขันทำอาหาร