"น้ำมันพืชองุ่น" ไอเทมคู่ครัวภายใต้การบริหารของ พาชัย จันทร์พิทักษ์

วันที่ 17 พฤษภาคม 2566  2,138 Views
นิตยสาร Gourmet & Cuisine ฉบับที่ 274 เดือนพฤษภาคม 2566

หากถามถึงไอเทมคู่ครัวของคุณแม่บ้าน “น้ำมันพืช” คงยืนหนึ่งในใจมาโดยตลอด โดยเฉพาะแบรนด์ “องุ่น” ที่มีสโลแกนคุ้นหู “องุ่น ไม่เป็นไข ใสสะอาด” ที่ชวนให้เรานึกถึงอาหารของแม่ที่แม้หน้าตาธรรมดาแค่ไหนก็อิ่มอุ่นหัวใจทุกครั้งที่ได้กิน

G&C มีโอกาสสัมภาษณ์ คุณพาชัย จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TVO ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันพืชตราองุ่นถึงจุดเด่นครองใจผู้บริโภคจนติดอันดับไอเทมคู่ใจคุณแม่บ้านมายาวนาน คุณพาชัยเริ่มต้นเล่าถึงภารกิจหลักว่า “ผมดูภาพรวมทั้งโรงงานและสำนักงานใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยความท้าทายภายใต้ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด เงินเฟ้อ การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศฉับพลันซึ่งกระทบกับธุรกิจได้ทั้งสิ้น การบริหารจัดการความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้บริษัทมีความยั่งยืน ป้องกันแรงเสียดทานต่างๆ ได้ โดยแบ่งออกเป็น 3 มิติ ได้แก่

มิติเศรษฐกิจ คือ ทำอย่างไรให้ผู้บริโภคคิดถึงแบรนด์ของเราเป็นอันดับแรกเมื่อต้องการซื้อน้ำมันถั่วเหลืองที่มีคุณภาพ เมื่อบริษัทขายสินค้าได้จึงจะมีกำไรและอยู่ได้อย่างยั่งยืน มิติสังคม คือ การดูแลคนในองค์กร คู่ค้า และชุมชน สุดท้ายคือมิติสิ่งแวดล้อม สร้างโลกให้น่าอยู่โดยรบกวนโลกให้น้อยที่สุด ลดการใช้พลังงาน ลดการใช้น้ำ ลดขยะ ซึ่งเราได้ออกแคมเปญ ต่างๆ มาสนับสนุนแนวความคิดดังกล่าวอย่างสม่ำเสมอ”

“สำหรับที่มาของน้ำมันถั่วเหลืองตราองุ่น ภายใต้สโลแกน ‘องุ่น ไม่เป็นไข ใสสะอาด’ เกิดจากการกลั่นด้วยระบบนาโนเทคโนโลยีทำให้ได้น้ำมันถั่วเหลืองบริสุทธิ์ ปราศจากไขมันทรานส์ มีโอเมก้า 3, 6, 9 และวิตามินอี ไม่ว่าจะเมนูผัดหรือทอดก็ดีต่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัว ทำให้ผู้บริโภคไว้วางใจในคุณภาพและเป็นแบรนด์น้ำมันถั่วเหลืองที่มียอดขายอันดับ 1 อยู่คู่ครัวคนไทยมามากกว่า 50 ปี”

“นอกจากน้ำมันถั่วเหลืองที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักของแบรนด์ “องุ่น” บริษัท ยังมีผลิตภัณฑ์น้ำมันพืชสำหรับผู้บริโภคที่รักสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็น “น้ำมันคาโนลา” มีโอเมก้า 3, 6, 9 สูง ช่วยลดโอกาสที่จะทำให้เกิดหลอดเลือดอุดตัน เหมาะสำหรับเมนูผัด ทอด หรือใช้ทำเบเกอรี่ “น้ำมันข้าวโพด” มีโอเมก้า 6 และ 9 สูง และมีไฟโตสเตอรอล ช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกาย เหมาะสำหรับเมนูผัด ทอด ช่วยให้อาหารมีกลิ่นหอมตามแบบฉบับของน้ำมันข้าวโพด หรือ “น้ำมันทานตะวัน” มีกรดลิโนเลอิกและวิตามินอีที่ป้องกันความสึกหรอของเซลล์ และช่วยต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย”

คุณพาชัยกล่าวย้ำว่า “หัวใจของแบรนด์องุ่น คือ เราไม่เคยหยุดพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตโดยคำนึงถึงผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง หรือ Customer Centric นำความต้องการของผู้บริโภคมาเป็นแกนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยความเข้าใจ ห่วงใย และใส่ใจถึงความต้องการของผู้บริโภคในทุกมิติ ทั้งด้านคุณภาพที่เริ่มจากการคัดสรรเมล็ดถั่วเหลืองคุณภาพตั้งแต่ต้นทางนำมาผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ส่วนกลยุทธ์การทำการตลาดในประเทศและต่างประเทศ มองว่า “Culture และ Lifestyle ที่ต่างกันบ่งบอกถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่แตกต่างกัน จำเป็นต้องปรับกลยุทธ์ให้เข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ รวมถึงการกระจายสินค้าภายใต้สภาพแวดล้อมที่แตกต่าง ทำอย่างไรที่จะควบคุมคุณภาพสินค้าให้ได้มาตรฐานคงเดิมเมื่อเดินทางไปถึงที่หมาย โดยยึดหลัก ‘คุณภาพสำหรับลูกค้ามาก่อนเสมอ’

ด้านความสะดวกในการใช้ บริษัท ได้พัฒนาบรรจุภัณฑ์โดยออกแบบขวดโฉมใหม่ที่ฝาเปิดสะดวก ห่วงดึงง่าย รินน้ำมันเป็นสายไม่ไหลเลอะขวด นอกจากนี้ยังคำนึงถึงเทรนด์การบริโภคสีเขียว (Eco-Friendly Consumption) และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมด้วยการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ยกเลิกการใช้พลาสติกหุ้มฝาขวด (Cap Seal) และปรับโฉมขวดน้ำมันพืชเป็นขวดโฉมใหม่ใช้เม็ดพลาสติกน้อยลง แต่มาตรฐานความแข็งแรงยังคงเดิม ช่วยลดปริมาณการใช้เม็ดพลาสติกได้ถึง 350,000 กิโลกรัมต่อปี รวมถึงยังพัฒนากล่องลูกฟูกสำหรับบรรจุน้ำมันพืชเป็นกระดาษรีไซเคิลด้วย”

บริษัทได้จัดทำ Carbon Footprint ทั้งในระดับองค์กรและระดับผลิตภัณฑ์ โดยตั้งเป้าหมายบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี ค.ศ. 2045 และมุ่งสู่การเป็นองค์กรปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายในปี ค.ศ. 2060 เพื่อสะท้อนความเป็นแบรนด์ที่ใส่ใจผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ กัน”

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคำตอบได้อย่างดีว่าทำไม “องุ่น” ถึงครองใจผู้บริโภคมายาวนาน


Tag: น้ำมันพืช, บริษัท น้ำมันพืชไทย จำกัด (มหาชน)

เรื่องโดย

ความคิดเห็น

Editor’s Pick

Recent

Most Viewed