นับเป็นเวลากว่า 6 ชั่วโมงเต็มกับการเดินทางโดยรถบัสจากใจกลางเมืองฮานอย มาสู่เมืองกลางหุบเขาสูงทางตอนเหนือของเวียดนาม ถนนสายเล็กคดเคี้ยวไปตามไหล่เขา ท้องฟ้านอกกระจกเริ่มเปลี่ยนจากสีฟ้าสดใสเป็นม่วงอมชมพูทอประกาย และมืดมิดในที่สุดเมื่อเรามาหยุดที่ซาปา (Sa Pa)
ถึงท้องฟ้าจะมืดสนิทแล้ว แต่เมื่อก้าวเข้าสู่ใจกลางของซาปา ภาพของเมืองเล็กๆ กลางหุบเขาในจินตนาการก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ซาปาในวันนี้เต็มไปด้วยแสงสีและเสียงสมกับเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ของประเทศเวียดนาม บรรดาร้านรวงเปิดต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างครึกครื้น เสียงดนตรีดังกระหึ่มสลับไปกับเสียงร้องเรียกลูกค้าของพนักงานที่ยืนเรียงรายหน้าร้านอาหาร ชาวเขาแต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองยังออกมาเร่ขายของให้กับนักท่องเที่ยว หากใครต้องการวันหยุดพักผ่อนที่เงียบสงบในซาปาแล้วละก็ คำแนะนำอย่างจริงใจก็คงบอกให้หลีกเลี่ยงย่านใจกลางเมืองแล้วมองหาที่พักที่อยู่ไกลออกไปสักหน่อยจะดีกว่า
Tuong Mai Hotel เป็นที่พักของเราตลอดการมาเยือนซาปาในครั้งนี้ ธุรกิจครอบครัวขนาดเล็กที่เปิดบ้านในห้องแถวใกล้ๆ กับโบสถ์ประจำเมืองเป็นเกสต์เฮาส์ในราคาที่จับต้องได้ ซึ่งถือว่าคุ้มค่าในทุกบาทที่จ่ายไป เพราะเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างกระจกบานใหญ่ เราจะมองเห็นตั้งแต่บ้านเรือนหลากสีสันที่ลดหลั่นตามความสูงของภูเขา ไปจรดกับสถาปัตยกรรมสุดอลังการของอาคาร Sun Plaza โดยมีฉากหลังเป็นวิวภูเขาตระหง่านตัดกับสายหมอกขาวลอยละลิ่ว ส่วนตอนกลางคืนก็จะเห็นไฟสีส้มระยิบระยับจากอาคารบ้านเรือนที่งดงามไปอีกแบบ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยแม้แต่น้อย
สำหรับอาหารมื้อแรกที่ซาปา เนื่องจากมาถึงก็ค่ำมืด อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่าหม้อไฟร้อนๆ คลายหนาว บริเวณรอบทะเลสาบนั้นมีร้านอาหารให้เลือกมากมายนับไม่ถ้วน ถ้าอยากจะลิ้มลองหม้อไฟเวียดนาม แค่มองหาคำว่า “Lẩu” ก็พอจะบอกได้เลยว่าร้านนั้นมีหม้อไฟอย่างแน่นอน
ว่ากันว่าอาหารที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนซาปาคือแซลมอน ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี ในแหล่งน้ำธรรมชาติรอบๆ ซาปาจึงเหมาะเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของแซลมอน เพราะฉะนั้นเมนูอาหารที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนที่ซาปาก็คือหม้อไฟแซลมอนนี่เอง แต่ว่านี่เป็นเรื่องที่เราไม่รู้มาก่อนหน้าเลยสั่งหม้อไฟเนื้อถาดใหญ่มาแทน! แต่ยังนับว่าโชคดีที่เราสั่งซาปาสปริงโรล ซึ่งเป็นเปาะเปี๊ยะทอดกรอบสอดไส้แซลมอนมาด้วย ก็นับว่าได้ลิ้มลองแซลมอนของซาปาแล้วเรียบร้อย
ในวันต่อมาเราตั้งใจจะใช้เวลาทั้งวันเพื่อเดินทางไปเยือนยอดเขาฟานซีปัน (Fansipan Mountain) เจ้าของฉายา “หลังคาแห่งอินโดจีน” ด้วยความสูงกว่า 3,143 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ปัจจุบันนี้สามารถเดินทางขึ้นไปได้อย่างง่ายดายด้วยเคเบิลคาร์ แต่ก่อนที่จะไปถึงจุดนั้นเราเดินมองหาร้านอาหารแถวทะเลสาบเพื่อเติมกระเพาะอาหารให้เต็มกับมื้อเช้า และที่ชวนสะดุดตานั้นก็ไม่ใช่ร้านหรูหราหรือดูทันสมัยอะไร แต่เป็นร้านอาหารเล็กๆ ดูธรรมดากำลังทำปากหม้อเวียดนามและย่างหมูกันควันโขมงส่งกลิ่นหอมจนต้องหยุด
เมนูเด็ดของร้านนี้คือบุ๋นจ๋า ซึ่งเป็นอาหารสตรีทฟู้ดขึ้นชื่อ ประกอบไปด้วยหมูย่างในน้ำซุปร้อนๆ รสชาติเค็ม หวาน อมเปรี้ยวนิดๆ ใส่แครอตดองและมะละกอดิบดองฝานเป็นชิ้นบางๆ เสิร์ฟพร้อมเส้นขนมจีน วิธีกินก็เพียงแค่จุ่มทั้งเส้นและหมูลงไปในน้ำซุป ได้รสชาติกลมกล่อมของน้ำซุปกับรสชาติหมูย่างที่หมักจนเข้าเนื้อพร้อมกลิ่นย่างหอมกรุ่น สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่านี่คือหมูย่างที่ถูกจริตที่สุดเท่าที่เคยกินมา
การขึ้นไปสู่ยอดเขาฟานซีปันนั้นเริ่มต้นที่อาคาร Sun Plaza ซึ่งเป็นทั้งสถานที่ซื้อบัตรโมโนเรลและเคเบิลคาร์ และเป็นสถานีแรกของการเดินทาง จากตรงนี้จะเป็นระยะทางราวๆ 6 กิโลเมตรเพื่อมุ่งหน้าไปสู่พื้นที่อุทยานแห่งชาติ ซึ่งหากเป็นก่อนหน้านี้เราอาจจะต้องใช้เวลา 2-3 วันเลยทีเดียวกว่าจะเดินทางไปถึงยอดเขา แต่ในวันนี้เราใช้เวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมงในการเดินทาง แถมยังได้ดื่มด่ำกับทัศนียภาพจากกระเช้าที่มองลงไปเห็นบ้านเรือนอยู่ไกลลิบ ท้องนาช่วงต้นฤดูกาลปักดำ และผืนป่าสีเขียวชอุ่มที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเทือกเขา ภาพชวนตื่นตาตื่นใจนี้เองทำให้เรามองเห็นว่าความงดงามไม่ได้รออยู่แค่จุดหมายปลายทางเท่านั้น
แต่คำพูดที่ใครๆ ก็ว่ากันว่ามาฟานซีปันคือการเสี่ยงดวงว่าจะเจอกับท้องฟ้าปลอดโปร่งหรือทะเลหมอก ซึ่งในช่วงเข้าสู่ฤดูฝนนั้นมีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นอย่างหลัง และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเรายิ่งไปสูงขึ้นเท่าไร หมอกยิ่งลงจัดมากขึ้นเท่านั้น วิสัยทัศน์มองเห็นได้ไม่เกิน 20 เมตร บวกกับมีเม็ดฝนเล็กๆ โปรยปราย และลมพัดแรงพอสมควร การมาเยือนหลังคาแห่งอินโดจีนในครั้งนี้จึงมองเห็นเพียงหมุดที่ปักไว้ว่าเราได้มาพิชิตยอดเขาฟานซีปันแล้วเท่านั้น แม้แต่วัด เจดีย์ กระทั่งพระพุทธรูปสูงเสียดฟ้าก็ยังถูกสายหมอกซ่อนเร้นไว้อย่างมิดชิด
หากไม่ได้ใช้เวลาอ้อยอิ่งไปกับการเดินชมวิวหรือถ่ายรูป ในวันที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจเช่นนี้การเดินทางสู่ยอดเขาฟานซีปันแห่งเมืองซาปากินเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมงเราก็กลับมาสู่ตัวเมืองซาปาอีกครั้งหนึ่ง และด้วยสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี หนึ่งในสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่น่าไปเดินเล่นทอดน่องในยามบ่ายคล้อยนั้นอยู่บริเวณรอบๆ ทะเลสาบ จากมุมนั้นจะมองเห็นบ้านเรือนและเทือกเขาเป็นฉากหลัง เบื้องหน้าคือผืนน้ำสะท้อนแสงแดดเป็นประกายระยิบระยับ ดูราวกับเป็นเมืองริมทะเลสาบในยุโรป
ถ้าหากมีเวลาเหลือเฟือ ลองออกนอกตัวเมืองซาปาไปอีกนิดหน่อย ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติและวัฒนธรรมที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะในช่วงปลายฝนต้นหนาวซึ่งเป็นฤดูที่รวงข้าวบนนาขั้นบันไดกำลังเจริญเติบโตเต็มที่ก่อนเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยว การทัวร์เที่ยวชมนาขั้นบันไดจึงเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด เพราะนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสทั้งความงดงามของทุ่งนาไปพร้อมๆ กับการเรียนรู้วัฒนธรรมการทำเกษตรกรรมของผู้คนท้องถิ่นที่สืบทอดมารุ่นต่อรุ่น
Tag:
travel, เวียดนาม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น