จากเมืองที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของเมืองอุตสาหกรรมในโลกสมัยใหม่อย่างชตุทการ์ท (Stuttgart) ห่างไปไม่ถึง 20 กิโลเมตร ณ ริมแม่น้ำเนคคาร์ (Neckar) ทางตอนใต้ของประเทศเยอรมนีที่เมืองเอสลิงเกน อัม เนคคาร์ (Esslingen am Neckar) นั้นเหมือนหลุดออกมาสู่โลกอันเงียบสงบ เนิบช้า และรายล้อมไปด้วยอาคารบ้านเรือนเก่าแก่ราวกับโลกแห่งเทพนิยายนั้นได้เกิดขึ้นจริง

แม้แต่ในช่วงฤดูร้อนซึ่งร้อนที่สุดของปี ช่วงเวลายามเช้าในเอสลิงเกนก็ยังเย็นสบายคล้ายเชิญชวนให้เรารีบออกไปเดินสำรวจเมืองเร็วๆ ราวกับจะบอกเป็นนัยว่าเมืองเล็กๆ ที่ไม่ใช่จุดหมายปลายทางเบอร์ต้นๆ ของเยอรมนีแห่งนี้คือสวรรค์ที่แท้จริง สำหรับใครก็ตามที่อยากจะซึมซับบรรยากาศของวันวาน ท่ามกลางภาพอาคารครึ่งไม้แบบทิมเบอร์ฉบับเยอรมันขนานแท้ ในเวอร์ชันที่ไม่ต้องสู้รบปรบมือกับนักท่องเที่ยวนับร้อยนับพันชีวิต และด้วยตำแหน่งที่ตั้งซึ่งอยู่ริมแม่น้ำพร้อมด้วยเนินเขาสูง มองขึ้นไปก็จะเห็นไร่องุ่นเรียงรายเป็นทิวแถวอยู่ลิบๆ

ที่นี่เป็นเมืองที่สามารถแวะมาเยี่ยมเยือนได้ตลอดทั้งปี แต่หากมาในช่วงที่อากาศอบอุ่นก็จะได้เห็นอีกมุมที่สดใสกว่าช่วงไหนๆ อย่างเช่นตอนเราเดินมาจนถึง Agnesbrücke สะพานข้ามคลองเจ้าของมุมมหาชน ที่แต่งแต้มไปด้วยสีสันของดอกไม้บานสะพรั่งตัดกับใบไม้สีเขียวสดค่อยๆ โบกสะบัดพลิ้วไหวไปตามสายลมเอื่อยๆ ชวนให้อารมณ์ดีไปทั้งวัน

ไม่ไกลกันนั้นเป็นที่ตั้งของ Schelztorturm หอคอยสูงที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของประตูและกำแพงเมืองในช่วงศตวรรษที่ 13 ปัจจุบันส่วนของประตูและกำแพงได้ถูกทำลายลงไปเพราะการขยายตัวของเมือง ทำให้ทุกวันนี้เรามองเห็นเพียงหอคอยที่ยังคงตั้งสูงตระหง่าน โดยชั้นล่างกลายเป็นร้านไอศกรีมเจลาโต ส่วนชั้นบนมีงานประติมากรรมคนเดินบนคานเหล็กที่มีชื่อว่า “...arrived” ซึ่งเคยเป็นที่ถกเถียงอยู่พักหนึ่งว่าเป็นงานศิลปะที่สวยหรือขวางตา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่างานศิลปะชิ้นนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเอสลิงเกนไปแล้ว

ถนนปูหินสายเล็กๆ สองข้างทางขนาบข้างไปด้วยอาคารไม้หลังใหญ่ตระการตาทอดยาวพาเราไปสู่ Marktplatz Esslingen จัตุรัสกลางเมืองที่ไม่ว่าจะมีงานหรือเทศกาลอะไร ชาวเมืองก็จะใช้พื้นที่ตรงนี้จัดเป็นตลาดนัด ซึ่งรวมไปถึงตลาดคริสต์มาสที่ถือเป็นไฮไลต์ประจำฤดูหนาวของทุกปี และเพียงแค่เดินไปอีกนิดก็จะพบกับ Rathausplatz Esslingen เป็นอีกจัตุรัสที่เล็กกว่านิดหน่อย แต่ทุกคนจะต้องสะดุดตากับอาคารสีแดงสูงสง่าและโดดเด่นกว่าใครในย่านนี้อย่างแน่นอน เพราะนี่คือ Altes Rathaus ศาลาว่าการหลังเก่าที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15 ถึงจะเก่าแต่ก็ยังสมบูรณ์งดงามมีเอกลักษณ์ ที่หน้าปัดนาฬิกาสีทองคลาสสิกจะมีนกอินทรีออกมากระพือปีกทักทายทุกๆ ต้นชั่วโมง ดูไปดูมาแล้วก็คล้ายกับนาฬิกากุ๊กกูเรือนยักษ์

หากจะถามว่ามีอะไรที่พอจะบ่งบอกความเก่าแก่ของเอสลิงเกนได้บ้าง เพียงแค่มองไปทางซ้ายมือของอาคารศาลาว่าการหลังเก่าก็จะเห็นอาคารครึ่งปูนครึ่งไม้ (Half-Timbered House) ที่ดูคล้ายๆ กับอาคารส่วนใหญ่ในบริเวณนี้ แต่ความพิเศษคือสร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 1266 และรอดพ้นจากระเบิดสงครามโลกครั้งที่ 2 มาได้อย่างสมบูรณ์แบบ จึงมีบันทึกว่าอาคารดังกล่าวมีอายุกว่า 600 ปี จนได้ชื่อว่าเป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดอันดับ 2 ของทั้งเยอรมนีเลยทีเดียว

จุดหมายถัดมาจากถนนที่เชื่อมต่อกันมีชื่อว่า Innere Brücke ซึ่งหมายถึงสะพานชั้นใน เป็นสะพานหินเก่าแก่ทอดข้ามผ่านคลอง 2 สาย หากดูจากมุมสูงจะเห็นว่าตั้งขนานไปกับ Agnesbrücke สะพานที่เราไปเยือนแห่งแรกสุด แต่หากเดินผ่านและมองเผินๆ แล้วแทบจะไม่เห็นด้วยซ้ำว่าเป็นสะพาน เพราะแน่นไปด้วยอาคารโบราณทั้งสองข้างทาง ซึ่งทุกวันนี้กลายเป็นแหล่งชอปปิง มีร้านอาหารและคาเฟ่สมัยใหม่มาเปิดกันมากมาย จุดที่สามารถชมความงดงามของสะพานหินกับสถาปัตยกรรมซุ้มโค้งทั้ง 9 สามารถเดินลงบันไดไปชมได้ที่ Maille Park สวนสีเขียวบนเกาะเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่างลำคลอง 2 สาย

สำหรับร้านในแหล่งชอปปิงย่านเมืองเก่าที่โดดเด่นที่สุด Haaga Schokoladen ร้านช็อกโกแลตโลคอลที่ให้บรรยากาศไม่เหมือนร้านช็อกโกแลตทั่วไป เริ่มต้นตั้งแต่ป้ายสีแดงสดหน้าร้าน และดิสเพลย์หน้าร้านสไตล์วินเทจที่เรียงรายไปด้วยช็อกโกแลตมากหน้าหลายตาจนนับแทบไม่ถ้วน และเมื่อยิ่งเข้าไปภายในร้านก็จะยิ่งชัดเจนในแนวคิดของร้าน ที่ตั้งใจรังสรรค์เป็นร้านช็อกโกแลตและขนมหวานล้อเลียนร้านขายยาในสมัยก่อน ทั้งการขายแบบชั่งน้ำหนัก ไปจนถึงซองกระดาษใส่ช็อกโกแลต อดคิดไม่ได้ว่าหากเราเป็นคนเยอรมันโดยกำเนิด มาเยือนร้านนี้ก็คงเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในวัยคุณปู่คุณย่ายังสาวอยู่อย่างแน่นอน

ที่พลาดไม่ได้อีกจุดหนึ่งคือถนน Mittlere Beutau ซึ่งอยู่ด้านนอกของย่านเมืองเก่ามาไม่ไกล ใกล้กับเนินเขาไร่องุ่น ถนนหินที่แสนแคบและคดเคี้ยวนี้เรียงรายไปด้วยบ้านเรือนคล้ายอาคารห้องแถวหลากสีสัน ไม่ว่าจะเขียว เหลือง แดง หรือฟ้า ในแบบฉบับงานสถาปัตยกรรมสมัยก่อน ตลอดทั้งเส้นทางจึงเต็มไปด้วยประตู หน้าต่าง และฝาผนังที่แปลกตา น่ารัก และยิ่งไปกว่านั้นคือยังคงมีชีวิตชีวา เพราะทุกวันนี้ยังคงมีคนอาศัยและใช้งานอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็นร้านเสื้อผ้ามือสอง งานคราฟต์ บาร์ ไปจนถึงสถานสงเคราะห์เลยทีเดียว

จากชตุทการ์ทซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่ใกล้ที่สุด มาเทียบท่าชานชาลาสถานีรถไฟเมืองเอสลิงเกนนั้นใช้เวลาราว 20 นาทีเท่านั้น เอสลิงเกนจึงเป็นเมืองใกล้เคียงที่สามารถมาเยือนแบบ One Day Trip ได้สบายๆ เพียงแค่เดินเล่นชื่นชมบรรยากาศในย่านเมืองเก่าก็เกินคุ้มแล้ว

Tag: ท่องเที่ยว, เยอรมนี, Travel