เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 (2016) U.S. Food and Drug Administration (USFDA) หรือองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่ในความดูแลของ Food Safety and Inspection Service (FSIS) ภายใต้กระทรวงเกษตรสหรัฐ (USDA) ได้ประกาศอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับการบังคับใช้ฉลากแสดงข้อมูลโภชนาการแบบใหม่ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559 และมีระยะเวลาปรับใช้จนถึง 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561
★ เหตุผลที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฉลากโภชนาการในรูปแบบใหม่ ★
- ฉลากแบบเดิมมีการใช้มากว่า 25 ปี ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990
- ปัญหาทางด้านโภชนาการและสาธารณสุขเพิ่มขึ้น
- การศึกษาทางด้านอาหารและโภชนาการมีองค์ความรู้ใหม่เพิ่มเติมงานวิจัยทางด้านอาหารและโภชนาการใหม่ๆ (ทั้งทางด้าน Community, Experimental and Clinical Nutrition)
- งานวิจัยทางด้านอาหารและโภชนาการใหม่ๆ (ทั้งทางด้าน Community, Experimental and Clinical Nutrition)
- รูปแบบฉลากโภชนาการแบบเดิมเข้าใจยาก (ต้องการรูปแบบที่เข้าใจง่ายขึ้น)
- ขนาดตัวอักษรเล็กมองได้ไม่ชัดเจนในบรรจุภัณฑ์ที่มีขนาดเล็ก
- สัดส่วนของหน่วยบริโภค (Serving Size) ที่ไม่ตรงกันกับการบริโภคจริงของผู้บริโภค
- อาหารบางกลุ่มมีขนาดแตกต่างกัน จึงควรมีฉลากโภชนาการแตกต่างกันตามหน่วยบริโภคจริง
★ ส่วนที่ 1 คือเปลี่ยนแปลงหน่วยบริโภค (Serving Size)
ให้มีตัวอักษรทึบชัดเจน บอกปริมาณกี่หน่วยต่อบรรจุภัณฑ์
★ ส่วนที่ 2 คือพลังงาน
ให้ใช้ตัวอักษรทึบและมีขนาดใหญ่ เพื่อให้เห็นพลังงานต่อหน่วยชัดเจนและอ่านได้ง่าย
★ ส่วนที่ 3 คือไขมัน
เนื่องจากการศึกษาพบว่าพลังงานจากไขมันไม่สำคัญเท่ากับชนิดของไขมัน และจากข้อมูลของสถาบันการแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (Institute of Medicine : IOM) พบว่าไขมันมีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงปรับเปลี่ยนให้ได้พลังงานจากไขมันเพิ่มเติมจากเดิมคือ 65 กรัมต่อวันเป็น 78 กรัมต่อวันสำหรับผู้ที่ต้องการพลังงาน 2,000 แคลอรี ดังนั้นจึงตัดพลังงานจากไขมัน (Calories from Fat) ออก แต่ยังคงไว้ในปริมาณของ Total Fat, Saturated Fat และ Trans Fat
★ ส่วนที่ 4 คือปริมาณน้ำตาลที่เติมลงไป (Added Sugar)
จากเดิมที่มีแต่ปริมาณน้ำตาลรวม ฉลากโภชนาการรูปแบบใหม่จะเพิ่มส่วนของน้ำตาลที่เติมลงไปที่ไม่ใช่น้ำตาลที่มาจากอาหาร ดังนั้นการเติมสารให้ความหวานทุกชนิดที่เป็นน้ำตาลจะต้องระบุลงไป เช่น น้ำผึ้ง น้ำหวาน น้ำตาลข้าวโพด น้ำตาลทรายแดง ยกเว้นน้ำตาลแอลกอฮอล์และสารให้ความหวานที่ไม่ให้พลังงาน และมีการปรับลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตรวมจากเดิมที่ให้ 300 กรัมต่อวันมาเป็น 275 กรัมต่อวัน เนื่องจากอาหารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตจะส่งผลต่อกลุ่มโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCD) นอกจากนี้ปริมาณของใยอาหารก็เพิ่มขึ้นจากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 25 กรัมต่อวันเป็น 28 กรัมต่อวันเพื่อสุขภาพที่ดี
★ ส่วนที่ 5 คือสารอาหาร (Nutrients)
จากเดิมที่กำหนดไว้คือ 4 ชนิด คือ วิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม และเหล็ก แต่ได้เอาวิตามินเอและวิตามินซีออกเนื่องจากคนส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่ค่อยขาดวิตามิน 2 ชนิดนี้ แล้วเพิ่มวิตามินดีและโพแทสเซียมเข้าไปแทน เนื่องจากวิตามินดีจะเกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของกระดูกและภาวะสุขภาพ ส่วนโพแทสเซียมมีส่วนช่วยในการลดความดันโลหิตกับป้องกันความดันโลหิตสูง และต้องใส่ปริมาณจริงของวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้ด้วย
★ ส่วนที่ 6 คือหมายเหตุ (Footnote)
จากฉลากแบบเดิมที่กำหนดข้อมูลมากมาย ฉลากโภชนาการแบบใหม่จะทำให้เข้าใจง่าย ระบุปริมาณที่ควรได้รับใน 1 วัน [% Daily Value (DV)]
ข้อมูลอ้างอิง : www.fda.gov
Tag:
, Food for life, ฉลากโภชนาการ, USFDA,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น