บทความและภาพประกอบโดย : ธิดาสะมะพล (tidasamapol@yahoo.com)
คุณจะทำอะไรถ้ามีเวลาเพียงแค่ 1 คืนในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส?
ชาวโซเชียลคงไปยืนโพสต์ท่าเก๋ๆ กับหอไอเฟล นักรักศิลปะต้องขอไปชมภาพโมนาลิซายิ้มในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ส่วนนักชอปคงเข้าเฝ้าพระเจ้าหลุยส์ (วิตตอง) บนถนนช็องเซลีเซ (Champs Élysées) ส่วนนักชิมอย่างดิฉันขอตระเวนชิมอาหารฝรั่งเศสซึ่งเป็นอาหารที่ได้รับความนิยมที่สุดในโลก จนองค์การยูเนสโกให้ศาสตร์แห่งการทำอาหารและการกินของฝรั่งเศสเป็นมรดกทางวัฒนธรรม โดยเป็นครั้งแรกที่อาหารได้รับการพิจารณาขึ้นทะเบียน
Café Constant ซึ่งมีหน้าตาแบบภัตตาคาร Bistro ดั้งเดิมของปารีสอย่างในโปสการ์ด
ไปปารีสครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนๆ ที่ต้องค้นหาภัตตาคารชั้นเลิศโดยอ่านรีวิวทางอินเทอร์เน็ตอย่างน้อยจาก 3 เว็บไซต์ จนปักหมุดตำแหน่งของภัตตาคารว่าต้องไปชิม แต่เนื่องจากเวลาที่จำกัดทั้งการเตรียมตัวและการเยี่ยมเยือน ทริปนี้เลยกลายเป็นแบบไม่ (ทัน) วางแผน แค่เพื่อนร่วมทางช่างภาพมือสมัครเล่นขอพักใกล้หอไอเฟล เพราะต้องการเก็บภาพหอไอเฟลในฤดูคิมหันต์ แล้วตกลงกันว่าจะเดินสุ่มหาภัตตาคารใกล้ที่พักที่สุดสำหรับมื้อค่ำ เพื่อจะได้เดินทางกลับที่พักได้ง่ายหลังจากกินอาหารคู่กับการดื่มไวน์ฝรั่งเศส
ป้ายโลโก้มิชลินไกด์ติดอยู่บนกระจกหน้าร้าน
เมื่อรถไฟยูโรสตาร์จากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ จอดเทียบชานชาลาสถานีรถไฟ Gare du Nord ณ กรุงปารีสตอนเกือบ 5 โมงเย็น แต่ตะวันยังยิ้มแฉ่ง เพราะเป็นฤดูร้อนที่พระอาทิตย์ตอกบัตรกลับบ้านเกือบ 3 ทุ่ม เอาใจช่างภาพมือสมัครเล่นให้บรรจงเก็บภาพโครงเหล็กทุกเส้นของหอไอเฟล จนเมื่อแสงอัสดงลับขอบฟ้า บอกเวลาให้ค้างคาวนักชิมอย่างพวกเราออกหาอาหารเพื่อยืดหนังท้อง จนเจอภัตตาคารใกล้ที่พักชื่อ Café Constant ซึ่งมีหน้าตาแบบภัตตาคาร Bistro ดั้งเดิมของปารีสอย่างในโปสต์การ์ด ลูกค้าแน่นเอาการซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดี
บรรยากาศคึกคักและอบอุ่นของภัตตาคาร Café Constant แบบไม่เป็นทางการของฝรั่งเศส
พวกเรารีบปรี่เข้าไปถามพนักงานที่ดูเป็นกันเองและพูดภาษาอังกฤษได้คล่องปรื๋อ ได้ความว่าภัตตาคารแห่งนี้ไม่มีระบบการจองโต๊ะ จากนั้นจึงเชิญพวกเราไปนั่งดื่มรอในส่วนของบาร์ใกล้ทางเข้าที่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลากหลายชนิดให้เลือกดื่มเพื่อเรียกน้ำย่อย นั่งรอไปพลาง ดูเมนูอาหารไปพลาง คุยกับพนักงานประจำบาร์ไปพลาง พูดคุยกับลูกค้าที่นั่งอยู่ด้วยกันข้างๆ ไปพลาง สัมผัสได้ถึงบรรยากาศคึกคักและอบอุ่นของภัตตาคารแบบไม่เป็นทางการของฝรั่งเศส เมนูเป็นอาหารแบบ Brasseries ดั้งเดิม ซึ่งเจ้าของร้านได้แรงบันดาลใจจากอาหารที่เคยกินเมื่อครั้งเยาว์วัย เน้นความสดของวัตถุดิบจากท้องถิ่นในแต่ละวันและฤดูกาล ซึ่งหมายความว่าอาหารจานโปรดของลูกค้าจะไม่ได้มีไว้บริการทุกครั้ง รายการอาหารมีทั้งเมนูแนะนำโดยเชฟและเมนูที่ให้ลูกค้าเลือกอาหารแต่ละอย่างจากเมนูเรียกน้ำย่อย เมนูจานหลัก และเมนูของหวาน รวมเป็นอาหารชุดในราคาที่ประหยัดลง
ป้ายร้านCafé Constant โดยนาย Christian Constant
ไม่นานนักพวกเราถูกเชิญไปนั่งที่โต๊ะขนาดพอประมาณ ให้พูดคุยกับเพื่อนร่วมโต๊ะจนถึงเพื่อนข้างโต๊ะโดยไม่ต้องตะโกน เมื่อสั่งอาหารและไวน์แล้ว ตะกร้าขนมปังถูกเสิร์ฟให้กินพร้อมจิบไวน์ ตะกร้าขนมปังมีขนมปังฝรั่งเศสหั่นท่อนและขนมปัง Sourdough หอมกลิ่นขนมปังสดใหม่ เนื้อหยาบ เหนียวแต่นุ่ม บอกถึงวิธีทำแบบการรอให้ขนมปังขึ้นตัวอย่างธรรมชาติ ขนมปังอร่อยแบบนี้หาได้ทั่วไปในฝรั่งเศส ด้วยความรักต่ออาหารของพวกเขา ขนมปังจึงต้องสดใหม่ทุกวัน จนการใส่สารกันบูดในขนมปังเป็นเรื่องผิดกฎหมายในฝรั่งเศส
ซุปหัวหอม French onion soup
จากนั้นเมนูเรียกน้ำย่อยก็ถูกวางตรงหน้า มีเมนูคลาสสิกของฝรั่งเศสอย่างซุปหัวหอม French Onion Soup เมนูแสนธรรมดาแต่เป็นหนึ่งในเมนูแนะนำของเชฟ เมื่อน้ำซุปคำแรกผ่านลิ้นก็สัมผัสได้ถึงรสชาติเข้มข้นหอมหวานของน้ำสต๊อกที่ทำจากเนื้ออย่างดี พร้อมหัวหอมและชีส น้ำซุปค่อยๆ ถูกลำเลียงลงไปตามลำคอจนถึงกระเพาะ สร้างความอิ่มเอมตามแบบฉบับเมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
Tartare of oysters, seabass and salmon seasoned with ginger and lemon
เมนูเรียกน้ำย่อยอีกเมนู Tartare of Oysters, Sea Bass and Salmon seasoned with Ginger and Lemon เอาใจคนรักของดิบด้วยหอยนางรม ปลาซีบาส และปลาแซลมอนสดหั่นชิ้นเล็ก ราดน้ำซอสทำจากขิงและมะนาว ตกแต่งด้วยไข่คาเวียร์ เสิร์ฟมาในเปลือกหอยนางรม หน้าตาที่เย้ายวนทำให้เหลือเพียงเปลือกหอยในชั่วพริบตา ไวน์ก็เช่นกัน อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว บนโต๊ะเหลือเพียงขวดเปล่า
Grilled fillet of Sea bream Royale with pesto niçoise ratatouille ปลา Sea bream ย่าง กินคู่กับ Ratatouille
ระหว่างรออาหารจานหลักลองมองไปรอบๆ ภัตตาคาร นอกจากลูกค้าชาวปารีเซียนแล้วยังมีลูกค้านักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ รวมถึงชาวเอเชียหัวดำอย่างเรา จากนั้นเมนูจานหลักก็ถูกเสิร์ฟ เมนูแรก Grilled Fillet of Sea Bream Royale with Pesto Niçoise Ratatouille ปลาซีบรีมย่างกินกับเมนูชื่อเดียวกับหนังอนิเมชันที่โด่งดังเมื่อหลายปีก่อนเรื่อง Ratatouille ที่มีเจ้าหนูเป็นสุดยอดเชฟขั้นเทพ ราตาตุยเป็นสตูผักมีต้นกำเนิดจากแคว้นโพรวองซ์ ปรุงจากผักหลายชนิดอย่างซุกกินี มะเขือม่วง พริกใหญ่ หัวหอม และมะเขือเทศทำเป็นซอส ปรุงรสด้วยกระเทียมและสมุนไพรอย่างใบไทม์ ใบกระวาน ใบโหระพา หรือแบบราดด้วยซอสเพสโตที่ทำจากใบโหระพาและชีส อย่างจานที่เราสั่งรสชาติอร่อยไปอีกแบบ
Blonde Aquitaine steak with shallots and homemade mashed potatoes
เมนูหลักอีกจากเป็น Blonde Aquitaine Steak with Shallots and Homemade Mashed Potatoes สเต๊กเนื้อวัวสายพันธุ์ Blonde d’Aquitaine ซึ่งเป็นพันธุ์พื้นเมืองดั้งเดิมของฝรั่งเศส ลำตัวมีสีบลอนด์สมกับชื่อ เป็นหนึ่งในเนื้อวัวที่ได้รับความนิยมในฝรั่งเศส ไขมันที่แทรกอยู่ในเนื้อเหมือนลายหินอ่อนทำให้เนื้อนุ่มแต่มีไขมันต่ำ เป็นลักษณะเฉพาะของเจ้าวัวสีบลอนด์นี้ หั่นสเต๊กเป็นชิ้นวางเรียงคู่กับมันบดเนื้อเหนียวหนุบ ราดด้วยซอสหัวหอมเล็ก อีกหนึ่งเมนูธรรมดาแต่อร่อยล้ำด้วยส่วนผสมอาหารชั้นดี เรียกได้ว่า 'น้อยแต่มาก’ (Less is More)
Homemade profiteroles แป้งชูอ้วนกลมสอดไส้ด้วยไอศกรีมวนิลาแบบโฮมเมด ราดด้วยซอสช็อกโกเลต
ราตรีนี้สิ้นสุดลงไม่ได้ถ้าไม่ได้ลิ้มลองเมนูของหวานปิดท้าย ถึงแม้เจ้าท้องจะบอกว่ากำลังอิ่มแบบพอดีๆ แต่ด้วยความสุดยอดของอาหาร 2 คอร์สแรก สมองเลยสั่งปากให้เรียกพนักงานเพื่อสั่งของหวานอย่างไม่รีรอ แล้วก็ไม่แคล้วการสั่งเมนูคลาสสิกอีก ด้วยความเชื่อที่ว่าสุดยอดภัตตาคารต้องปรุงอาหารพื้นๆ ได้อร่อย จากนั้น Old Fashioned Crème Caramel และ Homemade Profiteroles จึงถูกวางอยู่ตรงหน้า Crème Caramel เสิร์ฟเป็นก้อนรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า เข้มข้นหวานมัน เสริมทัพด้วยกลิ่นหอมของน้ำตาลคาราเมลที่เตะจมูกทุกคำที่ลิ้นสัมผัสจนอยากสั่งอีกจาน แต่ต้องหยุดชะงักลงเมื่อพนักงานเสิร์ฟถือเหยือกขนาดจิ๋วที่อุดมด้วยซอสช็อกโกเลตสีเข้มเงางามบรรจงราดซอสลงไปบนแป้งชูซ์อ้วนกลม สอดไส้ไอศกรีมวานิลลาโฮมเมด สายตาพวกเรามองตามซอสที่ราดเป็นสายจากปากเหยือกจนกระทบแป้งชูซ์แล้วไหลย้อยลงไปจนท่วมจาน นับเป็นการเสิร์ฟ Profiteroles ที่โก้ที่สุดตั้งแต่กินมา
มื้อค่ำคืนนั้นจบด้วยเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ย่อยอาหารที่มีให้เลือกหลายชนิดตามสไตล์ภัตตาคารแบบ บราสเซอรีในฝรั่งเศส ก่อนบอกลาภัตตาคารเราแวะเข้าห้องน้ำที่อยู่บนชั้น 2 ซึ่งเป็นส่วนของภัตตาคารเช่นกัน ระหว่างทางมีภาพถ่ายแขวนประดับใส่กรอบของชายวัยกลางคน (เดาว่าเป็นเจ้าของร้าน) ถ่ายรูปกับคนมีชื่อเสียงมากหน้าหลายตา เช่น เดวิด เบคแคม และวิกทอเรีย เบคแคม เลยทำให้คิดว่า Café Constant แห่งนี้ต้องเป็นภัตตาคารที่ไม่ธรรมดา ค่ำนั้นพวกเราเดินกลับโรงแรมด้วยความสำราญท้องและสบายกระเป๋ากับภัตตาคารที่ไม่ได้ตั้งใจมากิน เมื่อหัวถึงหมอนก็ยังคงคิดถึง Café Constant ด้วยความประทับใจ จนอยากกลับไปกินอีกในวันรุ่งขึ้น เพราะร้านมีบริการตั้งแต่อาหารเช้า มื้อกลางวัน จนถึงค่ำ
Old fashioned crème caramel เสิร์ฟเป็นก้อนรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า คาราเมลเข้มข้นหวานมัน
สายวันรุ่งขึ้น สายเกินกว่าจะลองอาหารเช้าที่ Café Constant โชคดีที่มีมื้อกลางวันเป็นความหวังสุดท้ายก่อนกลับกรุงลอนดอนในตอนบ่าย พวกเรารีบตรงดิ่งไปที่ร้าน พนักงานต้อนรับคนเดิมยิ้มแฉ่งด้วยความดีใจที่ได้เจอกันอีก พร้อมบอกให้เรารอที่โต๊ะประมาณ 10 นาที โล่งใจ เพราะทำให้มีเวลากินอาหารแบบละเมียดละไม ระหว่างนั้นมีโอกาสสำรวจหน้าร้าน (ใต้แสงอาทิตย์แทนแสงจันทร์ในคืนก่อนหน้า) บนฟุตบาทจะมีโต๊ะและเก้าอี้ทำจากหวายให้บริการลูกค้าได้นั่งจิบกาแฟและเครื่องดื่มตามสไตล์ชาวปารีเซียน แล้วสายตาต้องปะทะกับโลโก้มิชลินไกด์ติดอยู่บนกระจกหน้าร้าน ป้ายรับประกันความอร่อยนี้เป็นเหมือนคำตอบของการรอคอย (อีกครั้ง) เพื่อลิ้มลองอาหารชั้นดี
Old style devilled eggs เมนูไข่ต้มที่นำไข่แดงออกมาผสมกับมายองเนสและมัสตาร์ด แล้วใส่กลับเข้าไป
มื้อกลางวันมีเมนูเป็นชุดเพิ่มเติมจากเมนูกลางคืน เมนูเรียกน้ำย่อย ได้แก่ Old Style Devilled Eggs เมนูไข่ต้มที่นำไข่แดงผสมกับมายองเนสและมัสตาร์ดแล้วใส่กลับเข้าไป เสิร์ฟบนสลัดผัก โรยขนมปังกรอบกรูตอง อีกเมนูเป็น Gazpacho de Melon with Chips de Jamon ซุปเมลอนแบบเย็น โรยหน้าด้วยเบคอนกรอบ 2 เมนูเรียกน้ำย่อยเย็นๆ กินแล้วสดชื่นคลายอากาศร้อนระอุกว่า 30 องศาของกรุงปารีส
Gazpacho de melon with chips de jamon ซุปเมลอนแบบเย็น โรยหน้าด้วยเบคอนกรอบ
ส่วนจานหลักเราเลือกสเต๊กเนื้ออีกครั้ง แต่กินกับหัวมันที่ฝานเป็นแผ่นบางเรียงซ้อนเป็นชั้น ใส่ Crème Fraiche แล้วอบ เรียกว่า Gratin Dauphinois ปิดท้ายด้วยของหวาน Rum Baba ที่มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส เป็นเค้กนุ่มชุ่มด้วยน้ำเชื่อมและเหล้ารัม กินกับวิปครีม หวานพอดีและชื่นใจน่าดู เมนูมื้อกลางวันในวันนั้นถูกออกแบบให้เหมาะกับอากาศร้อนเสียจริง เสียดายที่ไม่มีเวลาเอ้อระเหยหรือพูดคุยกับพนักงานเสิร์ฟมากนัก ได้แต่กล่าวลาและขอบคุณสำหรับอาหารอร่อยแสนประทับใจทั้ง 2 มื้อ
สเต็กเนื้อกินคู่กับหัวมันที่ฝานเป็นแผ่นบาง แล้วเรียงซ้อนเป็นชั้นใส่ Crème fraiche แล้วอบ เรียกว่า Gratin dauphinois
Café Constant เป็นบทสนทนาหลักของพวกเราบนรถไฟยูโรสตาร์ระหว่างเดินทางกลับลอนดอนด้วยความประทับใจ ทำให้เราย้อนไปหาข้อมูลและรีวิวของร้าน พบว่าคะแนนรีวิวเกือบ 5 ดาว และเป็นหนึ่งในภัตตาคารที่นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกต้องไปเยือน ภัตตาคารตั้งอยู่บนถนน Saint-Dominique แต่ถนนสายนี้กลับถูกเรียกว่าถนน Constant เพราะมีภัตตาคารของเชฟ Christian Constant ถึง 3 ร้าน รวมทั้ง Café Constant ด้วย เชฟมีความใฝ่ฝันตั้งแต่อายุ 14 ปีว่าอยากมีภัตตาคารเป็นของตัวเองหลังจากเก็บเกี่ยวสะสมประสบการณ์ เพราะเคยร่วมงานกับภัตตาคารชื่อดังหลายแห่ง รวมทั้งโรงแรม The Ritz จน 30 ปีต่อมาเขาและภรรยาชาวอังกฤษจึงได้เปิดร้านแรกชื่อ Le Violon d’Ingres บนถนน Saint-Dominique และอีก 2 ภัตตาคาร รวมทั้ง Café Constant บนถนนเดียวกันนี้ แถมยังมีภัตตาคารอีก 2 แห่งและโรงเรียนสอนทำอาหารทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย
Rum baba ของหวานที่มีต้นกำเนิดที่ฝรั่งเศส เป็นเค้กนุ่มชุ่มด้วยน้ำเชื่อมและเหล้ารัม กินคู่กับวิปปิ้งครีม
ไม่น่าเชื่อว่าความไม่ตั้งใจ (กิน) ของการเดินทางครั้งนี้จะกลายเป็นความโชคดีค้นพบสุดยอดภัตตาคารอีกแห่งหนึ่งที่ต้องเขียนรีวิวแบบรัวๆ ในทุกเว็บไซต์ และต้องปักหมุดไว้สำหรับการเดินครั้งต่อไป (โดยเฉพาะภัตตาคารอีก 2 แห่งบนถนนเดียวกันที่พลาดไป) เป็นการตอกย้ำความเชื่อเรื่อง Food for Love ที่อยู่ในสายเลือดของชาวฝรั่งเศสที่รักการปรุงและกินอาหารชั้นดี
ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นภัตตาคารหรือร้านคาเฟ่ตามหัวถนนหรือตรอกซอกซอยใดจะมีสุดยอดภัตตาคารที่ตั้งใจปรุงอาหารรสเลิศให้เราได้ลิ้มลองเสมอ
ข้อมูลเพิ่มเติม
- ภัตตาคาร Café Constant ที่อยู่ 139 Rue Saint-Dominique-75007 Paris
- เว็ปไซต์ : www.maisonconstant.com
- เอื้อเฟื้อภาพบางส่วนจาก Amy Paitoon
Tag:
, World Food, ปารีส, อาหารฝรั่งเศส,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น