บทความนี้ไม่ได้จะมาชวนดื่ม กลับกันเราอยากให้ผู้อ่านระมัดระวังและมีความรับผิดชอบในการดื่มด้วยซ้ำ ทั้งการดื่มแต่พอดีไม่เมามาย และดื่มไม่ขับโดยเด็ดขาด เพียงแต่ครั้งนี้สบโอกาสดีที่จะให้ผู้อ่านได้สนุกกับเรื่องราวของเครื่องดื่มต่างวัฒนธรรมอย่าง “วอดก้า” กันบ้าง ซึ่งบอกตามตรงว่าเราไม่เคยศึกษาอย่างจริงจังมาก่อน จน Belvedere Vodka แบรนด์วอดก้าสัญชาติโปลิช ได้เชิญแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ Marek Vojcarcik ผู้ดูแลโปรแกรมเครื่องดื่มให้กับร้านอาหารและบาร์ชั้นนำหลายแห่ง มาแชร์เรื่องราวของวอดก้าแบบลึกซึ้งท่ามกลางบรรยากาศสวยๆ ที่ Highball Asoke
ในบรรดาเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ชื่อดังของโลก เครื่องดื่มใสๆ ไร้กลิ่นไร้สีอย่างวอดก้ามีความเป็นมาน่าสนใจไม่เบา แม้เทียบกับเบียร์และไวน์แล้วอาจเก่าแก่ไม่เท่า แต่ถ้าพูดถึงความแพร่หลาย ก็ถึงกับมีการแบ่งกลุ่มประเทศในยุโรป (แบบไม่เป็นทางการ) ออกเป็น Beer Belt, Wine Belt และ Vodka Belt เลยทีเดียว กลุ่ม Vodka Belt หรือประเทศที่มีวอดก้าเป็นเครื่องดื่มดั้งเดิม ได้แก่ รัสเซีย เบลลารุส ยูเครน โปแลนด์ กลุ่มประเทศบอลติค (เอสโทเนีย ลัตเวีย ลิทัวเนีย) และกลุ่มประเทศนอร์ดิค (สวีเดน ฟินแลนด์นอร์เวย์ และไอซ์แลนด์)
วอดก้านั้นประกอบด้วยน้ำบริสุทธิ์กับเอธานอลเพียงสองอย่าง โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการผลิตยา โรงกลั่นเองก็เป็นส่วนหนึ่งของโรงพยาบาล ผลลัพธ์ที่ได้ตอนนั้นต่างจากวอดก้าที่เรารู้จักไปคนละเรื่อง สีก็จะเข้มๆ หน่อย แอลกอฮอลล์ก็จะน้อยๆ หน่อย คุณมาเร็กเล่าว่าวอดก้านั้นผลิตจากวัตถุดิบอะไรก็ได้ที่เป็นแป้งหรือน้ำตาล ไม่ว่าจะเป็นมันฝรั่ง ข้าวสาลี ไปจนถึงหัวหอม บีทรูท นม เบคอน ฯลฯ แต่เชื่อว่าทำจากข้าวสาลีและข้าวไรย์จะดีที่สุด
เริ่มด้วยการนำวัตถุดิบมาหมักแล้วกลั่นด้วยเครื่องกลั่นเพื่อให้ได้แอลกอฮอลล์เข้มข้น วอดก้าโดยทั่วไปจะผ่านการกลั่น4 ครั้ง (ยิ่งมากครั้งยิ่งมีปริมาณแอลกอฮอลล์สูง สูงสุดคือ 96.5%) นำมากรองผ่านตัวกรอง (filter) ซึ่งขั้นตอนนี้จะมีผลในการดึงรสหรือเพิ่มรสเข้าไปได้จึงมีผลกับกลิ่นและรสของวอดก้าอย่างมาก ตัวกรองยอดนิยมเราก็รู้จักกันดี มันคือถ่านที่ทั้งใช้ดีและหาง่ายนั่นเอง จากนั้นจึงนำผลที่ได้มาผสมกับน้ำบริสุทธิ์และบรรจุขวดแก้วเพื่อไม่ให้แร่ธาตุอื่นมาเจือปน กลิ่นและรสรวมทั้งความหนักและเบาที่ต่างกันนี้ก็ต่างกันไปตามแต่ละแบรนด์ด้วย หากลองชิมเปรียบเทียบกันก็จะสังเกตได้
จุดเริ่มต้นของวอดก้ามาจากไหน? คำว่า Vodka ปรากฏในดิคชันนารีของรัสเซียช่วงกลางศตวรรษที่ 19 และมีปรากฏในวรรณคดีอังกฤษช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ในโปแลนด์มีหลักฐานการผลิตวอดก้าเก่าแก่กว่านั้น คือตั้งแต่ยุคกลาง (ศตวรรษที่ 5 – 15) เริ่มมีเบลนด์ที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 16 จนกระทั่งการผลิตวอดก้าถูกผูกขาดโดยขุนนางและเริ่มมีการส่งออกไปทั่วยุโรป
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การเข้ามาของรัฐบาลมาร์กซิสต์ – เลนนินนิสต์ ทำให้มีการปันส่วนการขายวอดก้า ส่งผลให้ผู้ผลิตย้ายถิ่นฐานไปยังฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกา เมื่อยุค Prohibition Era (1920 – 1933) มาเยือนสหรัฐฯ วอดก้ากลับได้รับความนิยมมากขึ้นด้วยความที่มีสีใส (ซ่อนง่าย) และมีปริมาณแอลกอฮอลล์สูง ประกอบกับผู้คนที่ต้องอดเหล้าเริ่มเปิดรับรสชาติใหม่ๆ จึงมีการทำตลาดวอดก้าในสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกโดย Smirnoff ในปี 1954 และ Absolute ที่จับตลาดคนคูลในปี 1979
กลับมาที่โปแลนด์ การปฏิวัติในปี 1989 ทำให้ลัทธิคอมมิวนิสต์ล่มสลาย เป็นจุดกำเนิดของวอดก้าแบรนด์ใหม่ๆ จุดจบของสหภาพโซเวียตที่ตามมาทำให้การเดินทางไปยังโปแลนด์ ยูเครน และรัสเซียอิสระยิ่งขึ้น ชายผู้หนึ่งเดินทางไปยังเมืองจูราดอฟ (Zyradov) ในโปแลนด์แล้วเกิดติดใจเครื่องดื่มท้องถิ่นเข้าจนนำกลับมานิวยอร์ก เป็นจุดกำเนิดของเบลเวเดียร์วอดก้า ที่จับตลาด “ซูเปอร์พรีเมี่ยม วอดก้า” เป็นแบรนด์แรก
ซูเปอร์ พรีเมี่ยมยังไง? อย่างที่บอกว่าวอดก้าของเบลเวเดียร์ทำจากวัตถุดิบ 2 อย่างเท่านั้นอย่างแรกคือข้าวไรย์ Dankowskie Rye จากเมืองจูราดอฟ เมืองเล็กๆ ห่างจากกรุงวอร์ซอว์ 45 กิโลเมตร ที่ตั้งของที่ราบ Mazovian Plains แหล่งผลิตแห่งเดียวในโลกของข้าวไรย์สายพันธุ์นี้
อย่างที่ 2 คือน้ำ ซึ่งมีสัดส่วนถึง 60% ของวอดก้า 1 ขวด เบลเวเดียร์มีแหล่งน้ำใต้ดินบริสุทธิ์เป็นของตัวเองเพราะต้องควบคุมให้ไร้สิ่งเจือปน และเพราะวัตถุดิบทุกอย่างผลิตในประเทศจึงเรียกได้ว่าเบลเวเดียร์เป็นโปลิช วอดก้า 100% ตามสรรพคุณข้างขวดว่า PolskaWódka
แล้ววอดก้าที่มีรสชาติล่ะ เขาใส่อะไรลงไป? คุณมาเร็กบอกถึงวิธีเพิ่มรสชาติต่างๆ ให้วอดก้ามากมาย ผู้ผลิตอาจใส่น้ำตาล เครื่องเทศ ผลไม้ หรือดอกไม้ลงไป แต่ทุกอย่างเป็นกระบวนการที่ทำหลังการกลั่นแล้ว อย่างไรก็ตาม เขาไม่แนะนำให้ดื่มวอดก้าแบบแช่แข็ง เพราะอุณหภูมิเยือกแข็งของแอลกอฮอลล์นั้นต่างกับอุณหภูมิร่างกายของคนเรามาก อาจทำให้กระเพาะเป็นแผลหรือเกิดอาการขาดน้ำและอ่อนเพลียได้ ทางที่ดีดื่มในอุณหภูมิปกติดีที่สุด หรือถ้าอากาศอบอุ่นอย่างบ้านเรา แช่เย็นสัก 16 – 18 องศาหรือดื่มแบบ On The Rock ที่คุณมาเร็กคิดว่าเป็นวิธีดื่มที่เซ็กซี่ที่สุดก็เก๋ดี
ก่อนจบบทเรียนวอดก้าวันนี้ นอกจากความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ท่วมท้นแล้ว เรายังได้สูตรค็อกเทล Belvedere Spritz ที่ทำให้การดื่มว็อดก้าดูสวยๆ เบาๆ ได้ สูตรนี้เหมาะสำหรับหนุ่มสาวที่ต้องการเครื่องดื่มเฉลิมฉลองแบบสดชื่น ดื่มชิลๆ ยาวๆ แถมยัง Low Sugar ตามเทรนด์อีกด้วย!
Spritzer!
- เบลเวเดียร์ วอดก้า 30 มล.
- สปาร์คลิง วอเตอร์ หรือ โทนิค หรือ จิงเจอร์ เอล 30 มล.
- เกรปฟรุต ผ่าซีก 2 ชิ้น
- ใบไทม์ 1 ก้าน
วิธีทำ
- รินเบลเวเดียร์ ว็อดก้า ใส่แก้วทรงสูง พร้อมน้ำแข็ง ตามด้วยสปาร์คลิง วอเตอร์/โทนิค/จิงเจอร์ เอล
- ตกแต่งด้วยเกรปฟรุต และใบไทม์ เพื่อให้ได้กลิ่นและรสเวลาดื่ม
Adam & Eve
- เบลเวเดียร์ วอดก้า 30 มล.
- น้ำแอปเปิ้ล 30 มล.
- สปาร์คลิง วอเตอร์ หรือ โทนิค 15 มล.
- แอปเปิลเขียว หั่นแว่น 1 ชิ้น
- เลมอน ผ่าซีก 1 ชิ้น
วิธีทำ
- รินเบลเวเดียร์ ว็อดก้า ใส่แก้วทรงสูง พร้อมน้ำแข็ง ตามด้วยน้ำแอปเปิล
- เติมสปาร์คลิง วอเตอร์/โทนิค ลงไปตกแต่งด้วยแอปเปิลและเลมอน
Shades of Berries
- เบลเวเดียร์ วอดก้า 30 มล.
- จิงเจอร์ เอล 30 มล.
- น้ำมะนาว 5 มล.
- เบอร์รี ชนิดต่างๆ ตามชอบ
- ใบไทม์ 1 ก้าน
วิธีทำ
- รินเบลเวเดียร์ ว็อดก้า ใส่แก้วทรงสูง พร้อมน้ำแข็ง ตามด้วยจิงเจอร์เอล
- ตกแต่งด้วยเบอร์รีและใบไทม์
Tag:
, วอดก้า, เครื่องดื่ม,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น