ในบรรดา 10 ประเทศอาเซียน บรูไน (Brunei) น่าจะเป็นประเทศเดียวที่คนไทยรู้จักน้อยที่สุด และนึกไม่ค่อยออกว่าหน้าตาการกินอยู่ของเขาเป็นอย่างไร เคยแต่ได้ยินว่าประเทศนี้เป็นเศรษฐีน้ำมัน ประชากรในประเทศมีรายได้เฉลี่ยปีละ 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ แถมยังมีอัตราการว่างงานต่ำมาก สิ่งเหล่านี้ทำให้ประเทศเล็กๆ อย่างบรูไนก้าวขึ้นมายืดอกบนเวทีโลกอย่างภาคภูมิ
แสงทองยามอัสดงสาดส่องมาอาบไล้มัสยิดทองคำยิ่งทำให้สีสุกใสขึ้นไปอีก
ผมใช้เวลาบินลัดฟ้าเกือบ 3 ชั่วโมง จากเมืองไทยสู่เกาะบอร์เนียว (Borneo) ที่ตั้งของบันดาร์เสรีเบกาวัน (Bandar Seri Begawan) เมืองใหญ่ทันสมัยศูนย์กลางการปกครองของประเทศนี้ อาจกล่าวได้ว่าบันดาร์เสรีเบกาวันคือเมืองที่แท้จริงเพียงเมืองเดียวของบรูไน เพราะเมืองในส่วนอื่นของประเทศล้วนมีขนาดเล็กมาก อยู่กระจัดกระจายกันในป่าเขาห่างไกล การทำความรู้จักกับบันดาร์เสรีเบกาวันจึงเปรียบได้กับการสัมผัสบรูไนไปมากกว่าครึ่งแล้ว
สุลต่านองค์ที่ 29 แห่งบรูไน ผู้ทรงนำพาประเทศเข้าสู่บรูไนยุคใหม่อย่างแท้จริง
ชื่อ “บันดาร์เสรีเบกาวัน” มีที่มาจากส่วนแรกคือ Bandar ในภาษาเปอร์เซียبندر แปลว่า “ท่าเรือ” หรือ“ที่หลบภัย” ส่วน Seri Begawan มาจากคำว่า “ศรีภควาน” (Sri Bhagwan) ในภาษาสันสกฤตหมายถึง “ผู้ศักดิ์สิทธิ์” ตัวเมืองที่เห็นในวันนี้มีรถราน้อย โล่งสบายตา ยังไม่ค่อยมีตึกสูง สุลต่านองค์ปัจจุบันคือสมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ (สุลต่านองค์ที่ 29) ทรงมีพระราชประสงค์ให้บันดาร์เสรีเบกาวันเป็น City in the Garden ทุกหนแห่งในเมืองจึงมีต้นไม้และสวนสาธารณะสีเขียวสดชื่นเย็นตา และด้วยประชากรที่ยังมีไม่มาก ทำให้เราแทบไม่เห็นรถจักรยานกับรถมอเตอร์ไซค์เลย เช่นเดียวกับรถบัสสาธารณะก็มีน้อยมาก เพราะประชากรทุก 2.5 คนในบรูไนต่างก็มีรถยนต์เป็นของตัวเองเนื่องจากราคาน้ำมันรถถูกมาก (ลิตรละ 12 บาท) และราคารถยนต์ก็ถูกสุดๆ เช่นกัน สมกับเป็นเมืองเศรษฐีจริงๆ
โดมของมัสยิดจาเมีย ฮัสซานัล โบลเกียห์ ทำด้วยทองคำแท้ๆ
แต่เมื่อพูดถึงเรื่องท่องเที่ยว กล่าวกันว่าสำหรับบันดาร์เสรีเบกาวันนั้นเที่ยวแค่วันเดียวก็ทั่วแล้ว ทีแรกนึกว่าเป็นคำพูดเล่นๆ แต่พอได้ไปสัมผัสจริงกับตัวเองจึงเชื่อ ไฮไลต์ของเขามีอยู่ไม่กี่แห่ง อย่างเช่น หมู่บ้านลอยน้ำกำปงเอเยอร์ พิพิธภัณฑ์สุลต่าน มัสยิดทองคำ ตลาดกลางวัน ฯลฯ หรือถ้าจะให้ผจญภัยอีกนิดก็มีล่องเรือไปดูลิงจมูกยาว รวมถึงการเดินทางไปที่อุทยานแห่งชาติอูลู เทมบูรงโน่นเลย ทริปเที่ยวบรูไนจึงใช้เวลา 2 วัน 1 คืน หรือ 3 วัน 2 คืน ก็เพียงพอแล้ว
พิพิธภัณฑ์แห่งกษัตริย์บรูไนจัดแสดงเครื่องราชกกุธภัณฑ์ล้ำค่านานาชนิด
บรรพบุรุษของคนบรูไนอาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งตอนเหนือของเกาะบอร์เนียว โดยสร้างบ้านยกเสาสูงเป็นชุมชนลอยน้ำ เนื่องจากบนบกมีแต่ป่าดิบรกทึบ มีสิงสาราสัตว์และไข้ป่าชุกชุม กระทั่งยุคหลังเพิ่งมีการอพยพขึ้นบกสร้างเมืองบันดาร์เสรีเบกาวันขึ้น เด่นที่สุดคือ “หมู่บ้านลอยน้ำกำปงเอเยอร์” (Kampong Ayer หรือ Water Village) ถือเป็นชุมชนลอยน้ำขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีประชากรอาศัยอยู่กว่า 39,000 คน ในชุมชนย่อยๆ กว่า 42 หมู่บ้าน จนกลายเป็นเมืองลอยน้ำที่ได้ฉายาว่า “Venice of the East” ทุกวันนี้ยังมีบ้านเรือนยกเสาสูงปลูกติดกันเป็นกลุ่มใหญ่ เว้นช่องเป็นทางให้เรือหางยาวแล่นรับส่งคนเข้าออก คนที่นี่ยังใช้เรือเป็นพาหนะในชีวิตประจำวัน ส่วนในบ้านลอยน้ำก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพียงแต่รัฐบาลออกกฎว่าห้ามสร้างบ้านลอยน้ำเพิ่ม ต้องเป็นเจ้าบ้านที่มีบรรพบุรุษเดิมอยู่ในน้ำเท่านั้น ทุกวันนี้เราสามารถนั่งเรือเข้าไปชมหรือแวะขึ้นไปบนบ้านที่เปิดรับนักท่องเที่ยว นั่งจิบชากาแฟ กินขนม พูดคุยกับเจ้าบ้านใจดี หรือบางหลังเปิดเป็นโฮมสเตย์แบบง่ายๆ ให้เราสัมผัสวิถีแห่งบรูไนในยุคแรก แต่ถ้าอยากศึกษาวิถีชีวิตให้ลึกซึ้งก็ต้องไปที่ “Malay Technology Museum” เข้าไปดูแกลเลอรีต่างๆ สร้างเป็นโมเดลจำลองบ้านลอยน้ำ จำลองวิธีการจับปลา ตีเหล็ก ทอผ้า ทำเครื่องเงินเครื่องทอง ฯลฯ แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของคนที่ค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับสภาวะแวดล้อม
หมู่บ้านลอยน้ำกำปงเอเยอร์มีมัสยิดลอยน้ำที่สวยงามอยู่หลายแห่ง
ปืนใหญ่ทองคำที่ใช้ในพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ของสุลต่านองค์ที่ 29
ต่อเนื่องจากหมู่บ้านลอยน้ำ ถ้าล่องเรือไปตามแม่น้ำบรูไน (Brunei River) จะได้ชมบรรยากาศธรรมชาติแสนบริสุทธิ์สองฝั่ง ที่ยังคงมีแนวต้นโกงกางและป่าต้นจากเขียวครึ้ม เป็นที่อยู่ของนกน้ำนานาชนิด ทั้งนกยาง นกแขวก นกกระเต็น นกกินเปี้ยว ฯลฯ ไฮไลต์ของบริเวณนี้คือการล่องเรือชม “ลิงจมูกยาว” (Proboscis Monkey) พระเอกของแม่น้ำสายนี้ ถ้าเราล่องเรือเข้าไปเงียบๆ ช้าๆ ลัดเลาะเข้าไปตามแนวต้นโกงกางแน่นทึบ ในที่สุดก็จะได้เห็นลิงจมูกยาวฝูงเล็กๆ หากินใบไม้ผลไม้อยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ พวกมันเป็นลิงญาติใกล้ชิดกับค่าง มีรูปร่างอ้วนลงพุง ขนสีน้ำตาลแดง หางยาว จุดเด่นคือตัวผู้โตเต็มวัยจะมีจมูกยาวคล้ายงวงช้างและลิงตัวเมียจะเลือกผสมพันธุ์กับตัวผู้ที่มีจมูกยาวที่สุดเท่านั้น นัยว่าเป็นการคัดเลือกสายพันธุ์ตามธรรมชาติ การล่องเรือดูลิงจมูกยาวใช้เวลา 1-2 ชั่วโมง แล้วแต่ว่าจะพบตัวเร็วหรือช้าและใช้เวลาถ่ายรูปนานแค่ไหน
จากย่านเมืองหลวงอันจอแจเราสามารถนั่งเรือออกมาชมป่าโกงกางในแม่น้ำบรูไนได้
ลิงจมูกยาวตัวผู้ลักษณะเด่นคือท้องป่องและจมูกยาวคล้ายงวงช้าง
สถานที่สำคัญอันเป็นเหมือนแลนด์มาร์กจริงๆ ของบันดาร์เสรีเบกาวันคือ มัสยิดทองคำโอมาร์ อาลี ไซฟัดดิน (Omar Ali Saifuddien Mosque) และมัสยิดทองคำจาเมีย ฮัสซานัล โบลเกียห์ (Jame'Asr Hassanil Bolkiah Mosque) แห่งแรกสร้างขึ้นโดยสุลต่านองค์ที่ 28 พระราชบิดาของสุลต่านองค์ที่ 29 ซึ่งสร้างมัสยิดแห่งที่สอง เพื่อใช้เป็นที่พระกอบศาสนกิจส่วนพระองค์ และเปิดให้ประชาชนเข้ามาใช้ได้ จุดเด่นอยู่ที่โดมหัวหอมสีทองอร่ามบนหลังคาและหอสูงที่อยู่รายรอบ ภายในตกแต่งอลังการงานสร้าง มีทองคำแท้ประดับประดา พร้อมด้วยลายกระเบื้องและกระจกสีจากสุดยอดช่างฝีมือทั่วโลก วันศุกร์ของบางสัปดาห์สุลต่านจะเสด็จมาประกอบศาสนากิจด้วย เราจึงอาจได้ชมพระบารมีอย่างใกล้ชิด หรือถ้าอยากศึกษาเรื่องราวของราชวงศ์บรูไนที่สืบทอดกันมากว่า 600 ปี ก็ต้องไปเที่ยวที่ “Royal Regalia Museum” เป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ พร้อมประวัติความเป็นของมาราชวงศ์บรูไนอย่างละเอียด ไฮไลต์คือราชรถทองคำ บัลลังก์ทอง กริชทองคำ มงกุฎทองคำ ซึ่งเคยใช้ในพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ของสุลต่านองค์ที่ 29 เมื่อปี ค.ศ. 1967 แต่น่าเสียดายที่ห้ามถ่ายภาพอาคารส่วนใน
ราชรถในวันพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ของสุลต่านองค์ที่ 29 จัดแสดงไว้พิพิธภัณฑ์แห่งกษัตริย์
มัสยิดทองคำโอมาร์ อาลี ไซฟัดดิน ของสุลต่านองค์ที่ 28 แห่งบรูไน
แหล่งท่องเที่ยวสุดท้ายที่ไม่ควรพลาดคือ “อุทยานแห่งชาติอูลู เทมบูรง” (Ulu Temburong National Park) ซึ่งต้องนั่งเรือและต่อรถยนต์รวม 4 ทอดเข้าไปในป่าลึก ใช้เวลาเดินทางเข้าไปอย่างเดียวเกือบ 3 ชั่วโมง ถามว่าเดินทางไกลขนาดนี้จะมีอะไรให้ดู คำตอบคือเป็นแหล่งรวมพืชและสัตว์ป่าน่าสนใจนับพันชนิด จนได้ฉายาว่า “มงกุฎสีเขียวแห่งบรูไน” ที่นี่มีทางเดินบนยอดไม้ (Canopy Walkway) ยาวนับร้อยเมตร ทอดอยู่บนหอเหล็กสูงจากพื้นกว่า 42 เมตร เวลาขึ้นไปเดินอยู่บนนั้นจึงทำให้รู้สึกว่าตัวเราเหมือนนกที่บินอยู่เหนือผืนพรมสีเขียวและสายหมอกขาวของป่าฝนอันชุ่มชื้น เราจะได้ยินเสียงนกและแมลงร้องเซ็งแซ่ เห็นกล้วยไม้ป่าและเฟิร์นเกาะเกี่ยวอยู่กับไม้ใหญ่ในมุมมองที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเดินป่า ล่องเรือชมสายน้ำกลางป่าดงดิบ และล่องแก่งด้วยเรือยางน่าตื่นเต้น
อุทยานแห่งชาติอูลู เทมบูรง เป็นผืนป่าขนาดใหญ่ทางตะวันออกของประเทศบรูไน
ผืนป่าดิบชื้นของอูลู เทมบูรง ทำหน้าที่ก่อกำเนิดฝนและความชุ่มฉ่ำแก่โลก
ทริปนี้ได้เปิดมุมมองใหม่ในดินแดนอาเซียน จึงทำให้เราเข้าใจว่าเพื่อนบ้านอย่างบรูไนเขาก็มีดี และเจริญรุดหน้าไม่น้อยหน้าชาติใดๆ แล้วเมืองไทยเราล่ะ ตอนนี้พัฒนาไปถึงแล้วเอ่ย
Brunei Guide
Best Season : อากาศดีที่สุด ฟ้าใส ฝนน้อย ช่วงเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ส่วนเดือนกันยายน-มกราคม เป็นฤดูฝน อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี 23-35 องศาเซลเซียส ควรเตรียมร่มคันเล็กๆ และเสื้อกันฝนบางๆ ไปด้วย
Getting There : บินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิ-บันดาร์เสรีเบกาวัน กับสายการบิน Royal Brunei Airlines ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 45 นาที สำรองที่นั่ง โทร. 0-2638-3050 (www.flyroyalbrunei.com)
Overnight : ในบันดาร์เสรีเบกาวันแนะนำThe Empire Hotel & Country Club (www.theempirehotel.com)
Cuisine : อาหารบรูไนคล้ายของมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และได้รับอิทธิพลจากอินเดีย จีน ไทย ญี่ปุ่น นิยมกินปลาและข้าวเป็นหลัก เนื้อวัวมีราคาแพง เพราะศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติหลีกเลี่ยงเนื้อหมูและห้ามดื่มแอลกอฮอล์เด็ดขาด แนะนำให้ลองชิม “อัมบูยัต” (Ambuyat) ทำจากแป้งสาคูเหนียวหนืดสีขาว ไม่มีรส กินคู่กับซอสเปรี้ยว โดยใช้ตะเกียบม้วนแป้งขึ้นมา จุ่มซอสจาจะห์หรือซอสเจินจาจู่ กินคู่กับเครื่องเคียง
More Info : www.bruneitourism.com, www.bruneitourism.travel
Tag:
, Far Away, ท่องเที่ยวต่างประเทศ,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น