เชื่อเลยว่าคนที่หลงรักความฉ่ำเย็นของน้ำแข็งไสน่าจะเคยได้ยินคำว่า "คากิโกริ" บ้างล่ะ "บิงซู" บ้างล่ะ ว่าแต่ว่าทั้งสองอย่างคืออะไร? และมีความต่างอย่างไรกันแน่? ขยับเท้าเข้ามาเราจะเล่าให้ฟัง
★ Kiss the Kakigori : หวานเย็นสไตล์ญี่ปุ่น ★
อย่างแรกที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ "คากิโกริ" เป็นน้ำแข็งไสสัญชาติ "ญี่ปุ่น"
กล่าวกันว่าประเพณีการกินน้ำแข็งไสมีมาตั้งแต่สมัยเฮอัน (Heian Period) หรือราวๆ คริสต์ศตวรรษที่ 11 โน่นเลย โดยในสมัยนั้นจะเอาน้ำแข็งก้อนที่ได้จากธรรมชาติมาฝนด้วยมีดและเหล็กจนกลายเป็นเกล็ด แล้วนำมากินคู่กับน้ำหวานจากผลไม้และดอกไม้ตามที่ปรากฏหลักฐานอยู่ในหนังสือบันทึกความทรงจำที่ชื่อ The Pillow Book ของกวีหญิงคนเก่งนาม เซ โชนะงง (Sei Shonagon ค.ศ. 966-1025)
จริงๆ แล้วน้ำแข็งไสนับเป็นอาหารชั้นสูงและมีราคาแพงมาก เพราะน้ำแข็งจะมีเฉพาะช่วงฤดูหนาวเท่านั้น นวัตกรรมสุดเก๋จึงอยู่ที่การสร้างโรงน้ำแข็งเพื่อเก็บรักษาน้ำแข็งเอาไว้ให้อยู่ตลอดรอดฝั่ง ซึ่งนั่นก็ยิ่งทำให้คากิโกริกลายเป็นของสุดวิเศษที่คนธรรมดาทั่วไปไม่มีโอกาสใฝ่ฝันถึง จนกระทั่งในศตวรรษที่ 19 น้ำแข็งไสก็เริ่มเป็นที่แพร่หลายขึ้น เมื่อชาวญี่ปุ่นเริ่มมีโอกาสได้สัมผัสกับ "น้ำแข็งบอสตัน" (Boston Ice) จากดินแดนอเมริกาที่ใช้เวลาการเดินทางยาวนานกว่าครึ่งปี ก่อนที่จะมีพ่อค้าหัวใส คาเฮ นะคะงะวะ (Kahe Nakagawa) คิดค้นวิธีขนส่ง "น้ำแข็งฮาโกดาเตะ" จากจังหวัดฮอกไกโดได้เป็นผลสำเร็จ
ส่วนร้านน้ำแข็งไสแห่งแรกของญี่ปุ่นเปิดขึ้นในปี 1872 บริเวณบาชามิจิ ในจังหวัดคะนะงะวะ ก่อนที่จะมีการคิดค้นเครื่องไสน้ำแข็งได้ในทศวรรษ 1930 และนั่นก็ทำให้น้ำแข็งไสกลายเป็นของหวานสามัญที่ชาวญี่ปุ่นนิยมกินกันในช่วงฤดูร้อน
★ Bingsu is the Best : บิงซูครบเครื่องเรื่องความหวาน ★
แม้จะมีรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาน้อยนิด แต่บิงซูหรือน้ำแข็งไสสไตล์เกาหลีกลับมีที่มาจากของหวานประจำชาติอย่าง "พัตบิงซู" (Patbingsu) ของหวานเก่าแก่ที่มีตั้งแต่สมัยโชซอน (Joseon Dynasty ค.ศ. 1392-1910)
พูดง่ายๆ พัตบิงซูก็คือน้ำแข็งไสนี่เอง แต่ลักษณะเด่นๆ คือต้องมี 3 ประสานเป็นส่วนผสมหลัก ได้แก่ ถั่วแดง แป้งต๊อก (เค้กข้าวเกาหลีสีขาวเหนียวๆ เคี้ยวสู้ฟันมาก) และผงแป้งที่ทำจากถั่วและธัญพืช นับเป็นขนมหวานเย็นเพื่อสุขภาพของชาวเกาหลี และแน่นอนว่าเป็นหนึ่งในของหวานที่มีราคาแพงระยับ
จากนั้นหน้าตาของพัตบิงซูก็ถูกทำให้ทันสมัยมากขึ้นจากวัฒนธรรมการกินของชาวญี่ปุ่นที่เข้ามาตอนที่ญี่ปุ่นเข้ายึดครองเกาหลีในช่วง ค.ศ. 1910-1945 ที่พัฒนาการกินถั่วแดงให้กลายเป็นถั่วแดงบดเคี่ยวรสหวานนิดๆ ก่อนที่จะพัฒนาอย่างเต็มขั้นในช่วงสงครามเกาหลี (Korean War ค.ศ. 1950-1953) ทหารต่างชาติเข้ามาอาศัยอยู่ในเกาหลีมากมาย ทำให้อาหารมีการพัฒนารูปแบบเช่นเดียวกับบิงซูที่มีการเพิ่มผลไม้สด ถั่วต่างๆ ซีเรียล ไอศกรีม วิปปิงครีม ชีส น้ำเชื่อมรสต่างๆ น้ำผลไม้ เรื่อยไปจนถึงค็อกเทล
ส่วนรสชาติที่ฮิตๆ ก็ไม่ใช่ถั่วแดงอีกต่อไป แต่เป็นกาแฟ ชาเขียว และโยเกิร์ต
★ Kakigori vs Bingsu : เทียบกันหมัดต่อหมัด ★
อย่างแรกเลยถ้านับเอาความเก่าแก่เราคงต้องบอกว่าคากิโกริแอบภาษีดีกว่าแน่นอน เพราะแรงบันดาลใจบางส่วนของบิงซูก็มาจากคากิโกรินั่นเอง และด้วยความเป็นต้นตำรับก็เลยทำให้คากิโกริดูเรียบง่ายคล้ายกับภูเขาขนาดย่อมที่ซ่อนความอร่อยหอมหวาน ขณะที่บิงซูจะมีความวาไรตี้และไร้แบบแผนทางด้านรูปทรง
เริ่มต้นกันด้วยคากิโกริ เกล็ดน้ำแข็งของคากิโกริจะมีความละเอียดนุ่ม (ล้มง่ายมาก) ส่วนใหญ่จะไม่มีรสชาติ แต่จะเน้นการเติมนมหรือไซรัปรสชาติต่างๆ เพื่อให้มีความหวานหอมจัดจนทั่ว ด้านบนนิยมเป็นครีมรสชาติต่างๆ ตกแต่งด้วยผลไม้สด (บ้างก็เป็นเผือกกวน ถั่วกวน) ส่วนข้างในก็จะมีไส้ความอร่อยซุกซ่อนอยู่ตามแต่จะครีเอต พร้อมด้วยซอสรสต่างๆ มาเพิ่มรสชาติ
ขณะที่บิงซูเกล็ดน้ำแข็งจะนุ่มคล้ายปุยหิมะขาวโพลนไม่ต่างกัน (อาจจะมีการทำน้ำแข็งให้เป็นรสชาติต่างๆ) แต่เป็นเพราะนิยมทำให้เป็นหลายๆ ชั้น เลยทำให้มีความแข็งแรงมั่นคง (กอดกันแน่น) ส่วนรสชาติน้ำแข็งจะมีรสหวานนมอ่อนกว่า เพราะต้องกินกับท็อปปิงนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นซอสนมข้น ผลไม้สด ผงแป้ง ไอศกรีม ชีส ครีมสด ผงแป้งหลากรสชาติ และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ "แป้งต๊อก" ที่ต้องซ่อนอยู่ ร่วมด้วย ส่วนซอสก็มีนมให้ราดด้วยเหมือนกัน
จะว่าไปทั้งสองอย่างก็คล้ายกันสุดๆ ดังนั้นจะกินแต่ละครั้งคงต้องตั้งสติ!
แหล่งข้อมูล
- บทความ Japan's Kakigori or a Shaved Ice Dessert สืบค้นที่ http://www.inhamamatsu.com
- บทความ What is Asia's Best Shaved Ice Dessert? สืบค้นที่ https://backpackerlee.wordpress.com
- https://en.wikipedia.org
Tag:
, Nice To Know, ของหวาน, คากิโกริ, บิงซู,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น