บทความโดย : Indy Traveler, ภาพประกอบ : Ari & Bally
เสียงหึ่งๆ ของเครื่องยนต์ใบพัดเครื่องบินที่หมุนอย่างต่อเนื่องดังมาต้องโสตประสาทของฉัน พลังของมันทำให้ฉันกำลังเหินฟ้าอยู่ในอากาศสูงหลายพันหรืออาจจะหลายหมื่นฟุต มองลงไปเบื้องล่างคือผืนน้ำสีฟ้าครามกว้างสุดลูกหูลูกตาของมหาสมุทรอินเดียอันกว้างใหญ่ไพศาล บางครั้งแลดูว่างเปล่า ทว่าบางครั้งกลับมีหมู่เกาะปะการัง เนินทราย หลุมยุบสีฟ้ากลางทะเล และรีสอร์ตเล็กๆ เรียงรายกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เพราะเบื้องล่างฉันตอนนี้คือ "หมู่เกาะมัลดีฟส์" (Maldives) โลกสีครามที่ใครหลายคนฝันหา อยากมาสัมผัสสักครั้งในชีวิต
บางคนรู้จักมัลดีฟส์จากภาพของรีสอร์ตที่ผุดขึ้นเหนือน้ำทะเลใสแจ๋ว บางคนรู้จักมัลดีฟส์ในฐานะหมู่เกาะแห่งการฮันนีมูนสุดแสนโรแมนติก บางคนรู้จักมัลดีฟส์เพราะชอบดำน้ำตื้นดำน้ำลึก ดูปะการัง ฉลามวาฬ และฝูงปลาแปลกๆ ในน่านน้ำลึก และบางคนก็อยากค้นหาธรรมชาติสงบๆ เป็นส่วนตัว หลีกหนีออกจากโลกแห่งความเป็นจริงอันวุ่นวายสักระยะหนึ่ง ด้วยความต้องการที่ต่างกัน ทว่ามัลดีฟส์คือคำตอบเดียวที่สามารถตอบสนองนักเดินทางแนว Slow Life ได้อย่างสมบูรณ์ เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว มัลดีฟส์ในวันนี้คือผลผลิตของความลงตัว ทั้งเรื่องของการเดินทาง ที่พักอันแสนสบาย อาหารก็อร่อย และที่สำคัญคือเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลระดับโลก ซึ่งราคาสามารถจับต้องได้ ไม่จำเป็นว่าเราต้องเป็นมหาเศรษฐี แต่แค่เก็บเงินสักก้อนหนึ่ง (ก้อนโตๆ หน่อย) ก็ไปเที่ยวมัลดีฟส์ได้แล้วล่ะ
เครื่องบินน้ำแบบสองใบพัดค่อยๆ ร่อนลงบนผิวน้ำทะเลของมหาสมุทรอินเดียสีครามอย่างนุ่มนวล เหมือนรถสปอร์ตที่กำลังแล่นอยู่บนถนนซูเปอร์ไฮเวย์ชั้นเลิศ ในที่สุดมันก็จอดสนิทเทียบอยู่หน้าสะพานไม้ เป็นเส้นนำสายตาเข้าสู่รีสอร์ตห่างไกลผู้คนบนเกาะปะการังเล็กๆ แห่งหนึ่งราวกับอาณาจักรส่วนตัวที่มีฉันและผองเพื่อนเป็นเสมือนราชา คอยให้คนที่นี่มาบริการยกกระเป๋า เสิร์ฟ Welcome Drink แล้วนำเข้าสู่ห้องพักบังกะโลสุดเก๋เรียงรายเป็นหลังๆ ยกเสาสูงขึ้นจากพื้นทะเลน้ำใสแจ๋วราวกับแก้วเจียระไน แม้ว่าภายในห้องจะไม่ได้ใหญ่โต แต่ก็แลอบอุ่น และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ สำหรับตัวฉันแค่ได้มานอนอยู่บนทะเลจริงๆ ได้ฟังเสียงคลื่นเห่กล่อม ได้มองเห็นฟองคลื่น และได้หายใจสูดกลิ่นทะเลบ้าง ก็ถือว่ามาถึงสวรรค์น้อยๆ แล้ว
เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่ามัลดีฟส์เป็นแค่เกาะเกาะหนึ่งหรือแค่สองสามเกาะ แต่พออ่านหนังสือนำเที่ยว ศึกษาข้อมูลจริงๆ ก็ต้องตาโต เพราะความจริงมัลดีฟส์คือประเทศๆ หนึ่งเลยทีเดียว เพียงแต่ว่าเป็นประเทศหมู่เกาะที่ประกอบด้วยเกาะกว่า 1,190 เกาะ กระจายตัวอยู่บนหมู่เกาะปะการัง (ภาษาอังกฤษเรียกว่า อะทอลล์ : Atoll) โดยหมู่เกาะทั้งหมดนี้อยู่ห่างจากชายฝั่งทะเลตะวันตกของอินเดียและศรีลังกาประมาณ 700 กิโลเมตร และได้รับการพัฒนาเป็นโรงแรมเพื่อการท่องเที่ยวจริงแค่ 74 เกาะเท่านั้น ความมหัศจรรย์อีกอย่างคือมัลดีฟส์เป็นประเทศเล็กที่สุดประเทศหนึ่งในทวีปเอเชีย มีเมืองหลวงชื่อมาเล (Malé) ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่างในประเทศนี้ ที่น่ารักคือมาเลก็ตั้งอยู่บนเกาะปะการังเช่นกัน มัลดีฟส์จึงเป็นประเทศเกาะอย่างแท้จริง ทริปนี้ฉันจึงกลายเป็น ‘คนติดเกาะ’ เข้าแล้ว แต่ไม่ได้ลำบากลำบนเหมือนพระเอกหนังเรื่อง Castaway หรอกนะ เพราะตอนนี้ฉันมา ‘ติดเกาะสวรรค์’ ที่สะดวกสบายไปทุกสิ่งอย่างจนแอบอิจฉาตัวเองอยู่ตลอดเวลา...ฮ่าๆ
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่ฉันกังวลและแอบเสียใจอยู่นิดๆ คือมีข่าวว่าถ้าโลกเรายังคงประสบปัญหา ภาวะโลกร้อน หรือ Global Warming อยู่แบบนี้ ไม่เกินปี ค.ศ. 2100 น้ำทะเลที่เพิ่มระดับสูงขึ้นจะทำให้มัลดีฟส์จมหายไปจากแผนที่โลก เพราะเชื่อหรือไม่ว่ามัลดีฟส์อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลแค่ 2 เมตรกว่าๆ เท่านั้นเอง ชาวมัลดีฟส์จะไม่ติดเกาะอีกต่อไป (เพราะไม่มีแผ่นดินให้อยู่) แต่อาจจะต้องไปใช้ชีวิตอยู่บนเรือหรือแพแทน รัฐบาลมัลดีฟส์จึงประกาศนโยบาย Low Carbon พยายามปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้น้อยที่สุด อ่านมาถึงตรงนี้หลายคนเริ่มจะนั่งไม่ติด คิดว่าคงรอช้าไม่ได้แล้ว ต้องรีบไปเที่ยวมัลดีฟส์ก่อน ค.ศ. 2100
รีสอร์ตที่ฉันเลือกพักมีทั้งแบบบังกะโลลอยน้ำกลางทะเลและบังกะโลริมหาดบนเกาะเล็กๆ บ้านทุกหลังเชื่อมต่อกันด้วยสะพานไม้ยกเสาสูง บนเกาะใช้ไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์และเครื่องปั่นไฟ ตอนดึกจึงมักจะปิดไฟเพื่อประหยัดพลังงาน การคมนาคมกับเมืองหลวง (เมืองมาเล) ก็ต้องใช้เครื่องบินน้ำ หรือเรือสปีดโบ้ตเท่านั้น วิทยุสื่อสารและจานดาวเทียมจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับที่นี่ ดังนั้นสัญญาณ WiFi ที่อาจจะอ่อนไปสักหน่อยก็อย่าไปว่าเขาเลย เพราะหนีจากเมืองใหญ่มาพักผ่อนกลางทะเลทั้งทีก็อย่ามัวแต่ Social Online อยู่เลย ทิ้งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บ้าง แล้วเปิดตาเปิดใจมองวิวทะเลสวยๆ ตรงหน้า เปลื้องผ้าโดดน้ำทะเลเล่นให้เย็นใจ หรือให้ทางรีสอร์ตพานั่งเรือออกไปดำน้ำดูปะการังจะดีกว่า
ฉันเป็นคนรักทะเลมาตั้งแต่เกิด เพราะชอบว่ายน้ำ ชอบความคลาสสิกของทะเล ชอบนั่งเหม่อมองท้องฟ้าตอนพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ประเทศเกาะอย่างมัลดีฟส์ที่มีแต่เกาะจึงไม่ได้ทำให้เบื่อเลยแม้แต่น้อย กิจกรรมที่ฉันทำระหว่างอยู่มัลดีฟส์ไม่ใช่การตะลอนๆ ออกทัวร์ไปให้ได้จำนวนสถานที่เยอะสุดเพื่อให้คุ้มกับเงินที่เสียไป แต่ฉันมา ‘ใช้ชีวิต’ หรือมา Get Some Good Experiences (เก็บเกี่ยวประสบการณ์ดีๆ) อย่างแท้จริง ฉันมักจะตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ เปิดประตูบังกะโลลอยน้ำออกไปสูดโอโซนแสนสดชื่น ฟังเสียงคลื่นที่ยังสงบอยู่ พร้อมกับเฝ้ามองแสงสีของท้องฟ้ายามเช้า ค่อยๆ เผยตัวเองออกจากความงัวเงียง่วงนอน บางวันก่อนอาหารเช้า ฉันจะชวนเพื่อนๆ ออกไปว่ายน้ำหรือพายเรือคายักเล่น แล้วค่อยมากินอาหารเช้าให้อิ่มแปล้ เพื่อเตรียมออกไปดำน้ำตามแพ็กเกจทัวร์ที่ฉันซื้อไว้ ส่วนวันไหนถ้าไม่ได้ออกไปดำน้ำ ก็คือวันว่างที่ฉันจะใช้เวลาเป็นส่วนตัวกับทะเลตรงหน้า นอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ยาวหน้าห้องพัก รับลมทะเล อ่านหนังสือปรัชญาที่เตรียมไปจากบ้าน ซึ่งจริงๆ อ่านแค่ไม่กี่หน้าก็จะหลับผล็อยคาหนังสือไป พลางหูก็ยังได้ยินเสียงคลื่นเสียงทะเลเห่กล่อมอยู่ตลอดเวลา ส่วนตอนเย็นๆ ถ้าไม่ว่ายน้ำเล่นอีกรอบก็จะเดินข้ามสะพานไม้ขึ้นไปบนเกาะปะการัง เดินเล่นเท้าเปล่าย่ำหาดทรายสีขาวเนียนนุ่มที่ฉ่ำไปด้วยน้ำทะเลจากมหาสมุทรอินเดีย นี่มันสวรรค์ชัดๆ
อาหารของมัลดีฟส์ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของผู้คนและดินแดนนี้ เพราะสะท้อนถึงความเป็นเอเชียที่เคยเป็นประเทศพุทธในอดีต แต่เปลี่ยนมานับถืออิสลามในปัจจุบัน แถมยังเคยตกอยู่ในอารักขาของอังกฤษอีกด้วย อาหารมัลดีฟส์จึงมีหลากหลายทั้งตะวันตกและตะวันออกให้ชิมอย่างจุใจ เมนูท้องถิ่นจะประกอบด้วยวัตถุดิบ 3 อย่างเสมอ คือ ปลา มะพร้าว และแป้ง เนื่องจากมัลดีฟส์เป็นแหล่งจับปลาทูน่าชั้นเลิศของโลก จึงนำมาทำอาหารหลายแบบ เช่น มาส ฮูนี (Mas Huni) ที่นิยมกินเป็นอาหารเช้าก็จะประกอบด้วยเนื้อปลาทูน่า หอมหัวใหญ่ มะพร้าว และพริก กินกับแผ่นแป้งโรตีหรือจาปาตี ส่วนคนที่ชื่นชอบซีฟู้ดสดๆ จากทะเล มัลดีฟส์ก็คือสวรรค์ของคุณเลยล่ะ ส่วนตัวฉันที่มาติดอยู่บนเกาะส่วนตัว อาหารส่วนใหญ่จะเป็นแบบตะวันตก แต่ก็พอมีแบบท้องถิ่นแซมๆ บ้าง
ความน่าประทับใจของประเทศเกาะแห่งนี้ก็คือหาดทรายตามเกาะที่ขาวจั๊วะ ขาวมากจริงๆ ขาวมากจนเมื่อสะท้อนแดดตอนกลางวันอาจทำให้แสบตาได้เลย เพราะทรายสีขาวเหล่านี้เกิดจากการสลายตัวของแนวปะการังนั่นเอง เพราะมัลดีฟส์ทั้งประเทศตั้งอยู่บน ‘เกาะปะการัง’ หรืออะทอลล์ (Atoll) คือแนวปะการังรูปวงแหวนที่ล้อมรอบลากูนอยู่ตรงกลาง มีทั้งเป็นวงแหวนสมบูรณ์และล้อมบางส่วน ในโลกพบที่มหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย อะทอลล์เกิดจากเกาะกลางทะเลยุบตัวลง เหลือทิ้งไว้เพียงสันขอบแนวปะการังชายฝั่ง และกระบวนการนี้กินเวลาราวๆ 30 ล้านปี ว้าว! Amazing สุดๆ
กิจกรรมยอดฮิตอย่างหนึ่งในช่วงกลางวันสำหรับฉันก็คือการออกไปดำน้ำดูปลาและปะการังซึ่งต้องบอกเลยว่าน่านน้ำมหาสมุทรอินเดียแถบนี้ล้วนเป็นน้ำลึก จึงมีปลาแปลกๆ ตัวใหญ่ๆ ที่หายากในบ้านเราให้ชมนับร้อยชนิด บางครั้งเราอาจจะพบฝูงปลานกแก้วหัวโหนก ตัวสีเขียวๆ ว่ายมาใกล้ๆ แต่อย่าตกใจ เพราะแต่ละตัวมีขนาดใหญ่กว่าคนเสียอีก หรือบางจุดดำน้ำก็กลายเป็นแหล่งรวมพลของฉลามหัวค้อนบ้าง กระเบนราหูยักษ์บ้าง ฉลามวาฬบ้าง การมาดำน้ำที่มัลดีฟส์จึงน่าจะเป็นสุดยอดประสบการณ์ครั้งหนึ่งเลยล่ะ อย่างเช่น ที่อะริ อะทอลล์ (Ari Atoll) เป็นจุดที่พบได้ทั้งฉลามหัวค้อน ฉลามวาฬ ปลาค้างคาว ปลานกแก้วหัวโหนก ปลาสากหางดำ ฉลามครีบขาว ฯลฯ ส่วนที่นอร์ท เมล อะทอลล์ (North Male Atoll) ก็เป็นจุดดำน้ำชั้นเลิศที่เราจะตื่นตากับหน้าผาและถ้ำใต้น้ำอันงดงามอลังการ รวมถึงมีฝูงปลากะพงดำ ปลาเก๋ายักษ์ ปลาโนรีครีบยาว ปลาไหลมอเรย์ยักษ์ ปลาข้าวเม่าน้ำลึก และปลามัลดีฟส์ กรุ๊ปฟิช เป็นต้น
ฉันไม่แปลกใจเลยที่เวลากว่า 5 วันในมัลดีฟส์ผ่านไปรวดเร็วราวกะพริบตาแวบเดียว เพราะช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ มัลดีฟส์สอนให้ฉันรู้ซึ้งถึงนิยามของคำว่า ‘ความสุข’ และ ‘ท้องทะเลแสนบริสุทธิ์’ เช่นเดียวกับรอยยิ้มจริงใจของคนมัลดีฟส์ ที่แม้จะตัวดำแต่ก็ใจดีและมีฟันขาวจั๊วะ
คงไม่ต้องเดาเลยว่านี่คืออีกหนึ่งประเทศที่ฉันจะต้องกลับ ไปซ้ำอีกหลายๆ ครั้งอย่างแน่นอน
Tag:
, ทะเล, ท่องเที่ยว, มัลดีฟส์,
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น