เที่ยวไปชิมไปสไตล์ Akita

วันที่ 1 มิถุนายน 2560  2,758 Views
นิตยสาร Gourmet & Cuisine ฉบับที่ 203 เดือนมิถุนายน 2560

หิมะขาวอันหนาวเย็นยังคงโปรยปรายลงมาอย่างหนัก ขณะที่รถไฟหัวจรวดชินคันเซนที่ผมโดยสารอยู่ กำลังแล่นด้วยความเร็วไม่น้อยกว่า 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จากโตเกียวขึ้นสู่ภาคเหนือของญี่ปุ่นบนเกาะฮอนชู โลกภายนอกหน้าต่างรถไฟนั้นคือโลกของหิมะ ที่ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของทัศนียภาพให้ดูแปลกตาน่าชม จนชวนให้นึกไปว่า นี่เรากำลังอยู่บนดาวเคราะห์ดวงใดในระบบสุริยะจักรวาลกันแน่

เที่ยวไปชิมไปสไตล์ Akita

ระยะทาง 700 กิโลเมตรกับเวลา 4 ชั่วโมงบนรถไฟหัวจรวด จากโตเกียวถึงจังหวัดอะคิตะ (Akita Prefecture) ช่างเร็วเหมือนโกหก ผมลากกระเป๋าเดินเข้าสู่สถานีรถไฟ Akita City เมืองเอกของอะคิตะซึ่งเป็นเสมือนประตูสู่ประสบการณ์แปลกใหม่ในทริปนี้ เพราะไม่บ่อยนักที่ผมจะได้มาสัมผัสดินแดนภาคเหนือ หรือภูมิภาคโทโฮขุ (Tohoku) ของญี่ปุ่น และการเลือกเดินทางมาในปลายฤดูหนาวแบบนี้ก็ยังทำให้ได้สัมผัสหิมะอยู่บ้าง ช่างเหมาะกับคนขี้ร้อนอย่างผมซะจริงๆ

อะคิตะอาจเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูสำหรับคนไทยสักเท่าไร และก็เพิ่งจะปรากฏชื่อขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยนักแรมทางที่ชอบแสวงหาจุดหมายใหม่ สำหรับคนที่เที่ยวเมืองใหญ่อย่างโตเกียว เกียวโต และอื่นๆ จนทั่วแล้ว การได้มาสัมผัสอะคิตะอาจจะทำให้คุณหลงรักเสน่ห์ญี่ปุ่นแท้ๆ กับเทือกเขาสลับซับซ้อน ป่าสน ลำธาร บ่อน้ำแร่ร้อนออนเซ็น วิถีซามูไร และอาหารเลิศรส อะคิตะจึงเป็นเสมือนอัญมณีเม็ดงามของภูมิภาคโทโฮขุ ที่ยังเก็บงำความน่ารักอันหลากหลายเอาไว้ รอให้เราไปพานพบด้วยตัวเอง

ในเมือง Akita City ผมเลือกไปเที่ยวที่ สวนเซนชู’ (Senshu Park) สวนสวยสี่ฤดูใจกลางเมือง ซึ่งในฤดูใบไม้ผลิช่วงเดือนปลายเมษายน ซากุระกว่า 800 ต้นจะพร้อมใจกันผลิดอกสีชมพูหวานให้ชม ศูนย์กลางของสวนนี้คือเนินเขา ที่ตั้งของปราสาทโบราณยุคปี ค.ศ. 1600 ชื่อ ‘ปราสาทคูโบต้า’ (Kubota Castle) เป็นปราสาทกึ่งป้อมปราการที่ไดเมียวตระกูลซาตาเกะใช้เป็นศูนย์กลางปกครอง ประวัติเล่าว่า หลังสงครามกลางเมืองยุติลง ซามูไรตระกูลซาตาเกะพ่ายแพ้ จึงถูกโชกุนโตกุกาวะเนรเทศให้มาอยู่ภาคเหนือ จากนั้นเมื่อมีการรวมประเทศเข้าสู่ยุคเอโดะ ตระกูลซาตาเกะจึงรุ่งเรืองขึ้นในแถบภาคเหนือ ในสวนนี้เราจะได้เห็นอนุสาวรีย์ของไดเมียวซาตาเกะ และศาลเจ้าชินโตที่มีซุ้มประตูโทริอิสีแดงเรียงรายสวยงาม ก่อนกลับผมไม่ลืมหลบหนาวเข้าไปนั่งจิบโกโก้ร้อนในร้าน ‘Maiko Cafe’ เป็นร้านเล็กๆ น่ารัก ซึ่งอยู่ติดกับร้านอาหารชื่อเดียวกัน ที่จะมีสาวน้อยไมโกะ (เกอิชาฝึกหัด) มาร่ายรำให้ชมในช่วงอาหารเที่ยง

อีกหนึ่งสถานที่น่าเที่ยวชมในอะคิตะซิตี้ก็คือ พิพิธภัณฑ์โคมไฟ’ (Kanto Festival Museum) นำเสนอเรื่องเทศกาลโคมไฟ (Kanto Matsuri) อันยิ่งใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่น โดยทุกวันที่ 3-6 สิงหาคมทุกปีจะมีขบวนแห่โคมไฟสุดอลังการ โคมไฟที่นี่จะผูกติดอยู่กับก้านไม้ไผ่ยาว 2-6 เมตร แต่ละก้านมีโคมไฟห้อยอยู่หลายสิบอัน คนที่ถือโคมไฟเขาจะวางปลายไม้ไผ่ไว้บนมือข้างเดียวบ้าง หน้าผากบ้าง จุดประสงค์ของงานเพื่อฉลองเทศกาลเก็บเกี่ยว เพราะอะคิตะเป็นแหล่งปลูกข้าวใหญ่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น

พิพิธภัณฑ์โคมไฟ

วันถัดมาผมใช้วิธีเช่ารถยนต์ขับออกไปตระเวนเที่ยวเมืองอื่นบ้าง จากอะคิตะซิตี้เราขับรถเลียบชายฝั่ง ซึ่งมองเห็นทะเลแห่งญี่ปุ่น (Sea of Japan) ที่กั้นรัสเซียกับญี่ปุ่นเอาไว้ ในที่สุดก็มาถึงเมืองโอกะ (Oga) เมืองเล็กน่ารักเงียบสงบริมทะเล ดูเวลาเกือบเที่ยงแล้ว เราเลยแวะเข้าไปที่ร้านอาหารเล็กๆ ชื่อ Minoko Restaurant ร้านนี้เป็นแนวญี่ปุ่นแท้ เปิดมากว่า 50 ปีแล้ว ภายในร้านมีโต๊ะให้นั่งได้ไม่เกิน 20 คน บรรยากาศเหมือนบ้าน ดำเนินการโดยคู่สามีภรรยาใจดี จุดเด่นคือจะเปิดร้านเฉพาะวันที่ซื้อปลาสดๆ ที่ต้องการได้เท่านั้น วันนี้เราสั่งเมนูซิกเนเจอร์ของร้านคือ ปลากะพงภูเขาไฟ เป็นต้มซุปเนื้อปลากะพงก้อนโต น้ำซุปหวานนวล ที่พิเศษคือวิธีเสิร์ฟ โดยเขาจะนำหินที่เผาจนร้อนฉ่าใส่ลงในหม้อน้ำซุปของลูกค้าแต่ละคนจนควันโขมง แล้วยกมาเสิร์ฟให้เราหม่ำตอนร้อนๆ กินคู่กับปลาดิบ ผักดอง ไข่ปลาดอง และข้าวสวยร้อนๆ นับเป็นเมนูง่ายๆ แต่ได้ใจเราไปเต็มๆ เลยล่ะ

‘ปลากะพงภูเขาไฟ’

ที่เมืองนี้เราได้สัมผัสเรื่องราวของ นามาฮาเกะ’ (Namahage) เทพเจ้าหรือยักษ์แห่งขุนเขา ตามความเชื่อของคนอะคิตะ ก่อนวันขึ้นปีใหม่จะมีธรรมเนียมให้คนใส่ชุดนามาฮาเกะ มีหน้ากากแบบน่ากลัว สวมชุดฟางข้าว มือถือมีดอีโต้ เดินมาเป็นกลุ่มๆ บุกเข้าไปตามบ้านเพื่อค้นหาเด็กขี้เกียจหรือเด็กที่ชอบพูดโกหก ลองนึกดูแล้วกันว่าช่วงค่ำคืนปีใหม่ในอะคิตะจะหนาวยะเยือก หิมะตกหนัก อยู่ดีๆ ก็มีตัวนามาฮาเกะโผล่พรวดเข้ามาในบ้าน เด็กๆ จะตกใจแค่ไหน!? ทำให้เด็กไม่กล้าทำความผิดหรือเกียจคร้าน เมืองโอกะเขาเลยสร้างพิพิธภัณฑ์นามาฮาเกะให้คนเข้าชม พร้อมกับมีศาลเจ้านามาฮาเกะให้สักการะด้วย

‘นามาฮาเกะ’ (Namahage) เทพเจ้าหรือยักษ์แห่งขุนเขา

จากเมืองโอกะเราขับรถผ่านชนบทของอะคิตะที่ถูกห่มคลุมไว้ด้วยหิมะขาวโพลน สู่เมืองไดเซน (Daisen) เข้าไปชมโรงงานผลิตเหล้าสาเกที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นชื่อ Suzuki Shuzoten โรงงานนี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1689 และทำติดต่อกันมาถึง 19 รุ่นแล้ว ที่ต้องมาชมก็เพราะว่าเหล้าสาเกของอะคิตะถือเป็นหนึ่งในเหล้าสาเกดีที่สุดของญี่ปุ่น เนื่องจากแถบนี้อากาศเย็น การบ่มหมักจึงค่อยเป็นค่อยไป เหล้าสาเกที่ได้จึงมีรสออกหวานนิดๆ ไม่ขมลิ้นเหมือนสาเกทั่วไป

เข้าไปชมโรงงานผลิตเหล้าสาเก

ไดเซนยังมีอะไรดีๆ อีกเยอะซ่อนอยู่ อย่างการเป็นแหล่งผลิตพลุและดอกไม้ไฟที่เจ๋งที่สุดของแดนอาทิตย์อุทัย จนได้ชื่อว่าเป็น ‘The Town of Firework’ (เมืองแห่งดอกไม้ไฟ) ทุกปีในวันเสาร์ที่สี่ของเดือนสิงหาคมจะมีการจัดงาน ‘Omagari Daisen Festival’ จุดพลุโชว์กันอย่างอลังการ ทริปนี้เรามาเร็วเกินไปจึงไม่ได้เห็นของจริง เลยขับรถตระเวนเที่ยวจนไปเจอร้านขนมน่ารักๆ แห่งหนึ่งชื่อ ‘Tsujiya Sweet Shop’ ลองแวะเข้าไปชิมขนมที่มีประวัติยาวนานกว่าสามชั่วอายุคน เป็นเค้กเต้าหู้ปลาเนื้อนุ่ม หวานกำลังดี โดยขนมชนิดนี้นิยมใช้ในงานพิธีต่างๆ โดยเฉพาะงานแต่งงานล่ะครับ

The Town of Firework’ (เมืองแห่งดอกไม้ไฟ)

Omagari Daisen Festival’

ขับรถฝ่าพายุหิมะต่อไปยังเมืองเซมโบขุ (Semboku) ไฮไลต์ของทริปนี้ จุดแรกเราแวะเข้าไปที่ หมู่บ้านซามูไร อายุเกือบ 400 ปี ที่คาคุโนดาเตะ (Kakunodate Samurai Village) หมู่บ้านนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1620 โดยซามูไร 80 ตระกูลที่แพ้สงครามภายใต้การนำของตระกูลซาตาเกะ บ้านเรือนหลายสิบหลังได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีให้ความรู้สึกย้อนยุคดีไม่น้อย การเดินชมหมู่บ้านซามูไรให้สนุก ก่อนอื่นต้องไปเช่าชุดกิโมโนกับชุดซามูไรแต่งตัวให้เก๋ เพื่อถ่ายรูปอวดเพื่อนๆ ฮ่าๆ หมู่บ้านซามูไรนี้แบ่งเป็น 2 โซน คือ โซนบ้านซามูไร (Samurai District) และโซนบ้านพ่อค้า (Merchant District) มีบ้านซามูไรประมาณ 6-8 หลัง เปิดให้เข้าชมทั้งภายนอกและภายใน พร้อมด้วยร้านอาหารและร้านน้ำชาให้นั่งชิวได้ตามใจปรารถนา

‘หมู่บ้านซามูไร’

ชุดซามูไร

ไม่ไกลจากหมู่บ้านซามูไรคือที่ตั้งของ ทะเลสาบทาซาวะ’ (Tazawa Lake) เป็นทะเลสาบลึกที่สุดในญี่ปุ่น ด้วยความลึกกว่า 423.4 เมตร เพราะแท้จริงเป็นทะเลสาบในปากปล่องภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว จุดเด่นอีกอย่างคือน้ำในทะเลสาบนี้ไม่เคยจับตัวเป็นน้ำแข็งเลย แม้ว่าอุณหภูมิจะลดต่ำแค่ไหน ในทางตำนานปรัมปราเล่าว่า เป็นเพราะความรักอันอบอุ่นของเจ้าหญิง Tatsuko กับหนุ่ม Hachiro ที่ริมทะเลสาบทาซาวะมีรูปปั้นสีทองของเจ้าหญิง Tatsuko เป็นแลนด์มาร์กให้ถ่ายภาพงามๆ ไว้ดูเล่น

ทะเลสาบทาซาวะมีรูปปั้นสีทองของเจ้าหญิง Tatsuko

จากทะเลสาบทาซาวะขับรถขึ้นภูเขาไปเรื่อยๆ อุณหภูมิก็จะเริ่มหนาวเย็นลงจนตัวสั่น ป่าสนสองฝั่งถูกหิมะห่มคลุมจนมิดชิด แต่ไม่ต้องกลัวหนาวหรอกนะ เพราะแถบนี้เรียกว่า ย่านนิวโตะ ออนเซ็น’ (Nyuto Onsen) ซึ่งมีที่พักแบบเรียวกังออนเซ็นให้ไปนอนอาบแช่น้ำแร่ร้อนธรรมชาติกันเกือบสิบแห่ง โดยเฉพาะที่สึรูโนยุ ออนเซ็น (Tsurunoyu Onsen) ที่เก่าแก่หลายร้อยปี ตั้งอยู่ลึกเร้นกลางหุบเขาสูง จนได้ฉายาว่า The Secret Onsen หรือออนเซ็นเร้นลับ ที่เหล่าไดเมียวและซามูไรในสมัยก่อนชอบมาอาบแช่กัน และถือเป็นหนึ่งในออนเซ็นที่คนญี่ปุ่นต้องการมาลงแช่สักครั้งในชีวิต

‘ย่านนิวโตะ ออนเซ็น’ (Nyuto Onsen)

The Secret Onsen หรือออนเซ็นเร้นลับ

ที่เมืองเซมโบขุเราแวะพักกินข้าวเที่ยงกันที่ ‘ร้าน Kimoto’ เป็นร้านสไตล์ Garden Café ที่เปิดมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1973 บรรยากาศคล้ายบ้านในชนบทสวิตเซอร์แลนด์ ล้อมรอบด้วยสวนดอกไม้ ในร้านนอกจากจะขายอาหารแล้ว ยังมีมุมขายงานฝีมือเก๋ไก๋ และเปิดคอร์สสอนหัตถกรรมให้กลุ่มแม่บ้านด้วย อาหารของร้านนี้ออกแนวรสมือแม่ มีให้เลือกไม่กี่อย่าง เน้นไปทางผักและอาหารสุขภาพ นับเป็นอีกหนึ่งร้านประทับใจที่คนผ่านทางอย่างผมขอเก็บไว้ในใจเลย

ร้าน Kimoto

จากเมืองเซมโบขุเราขับรถฝ่าหิมะโปรยปรายต่อไปยังเมืองอูโกะ (Ugo) เพื่อสัมผัสเรื่องราวของงานเทศกาลอันน่าทึ่งงานหนึ่งของญี่ปุ่น คือ เทศกาลบอน โอโดริ’ (Bon Odori) ซึ่งจะจัดกันในช่วงวันที่ 15-18 สิงหาคมทุกปี คล้ายๆ การกลับบ้านมารวมญาติเพื่อรำลึกถึงบรรพบุรุษ และมีการจัดขบวนแห่ฟ้อนรำกันไปตามท้องถนน ด้วยชุด หมวก และท่วงท่าลีลาเป็นเอกลักษณ์ แม้เราจะไปเที่ยวไม่ตรงกับช่วงเทศกาล ที่เมืองอูโกะเขาก็มีพิพิธภัณฑ์บอน โอโดริให้เข้าชมได้ จะมีสาวน้อยน่ารักมาสาธิตเต้นโชว์อย่างน่ารักน่าชัง

‘เทศกาลบอน โอโดริ’ (Bon Odori)

มาเที่ยวอะคิตะทริปนี้ผมได้เรียนรู้ว่าโลกเราช่างกว้างใหญ่ไพศาล และยังมีเรื่องราวสนุกๆ ให้เรียนรู้อีกนับไม่ถ้วน ชีวิตของผมจึงยังคงเดินทางต่อไป เพื่อสัมผัสโลกกว้างใหญ่ ไร้พรมแดน...

Akita Guide

  • Best Season : เที่ยวอะคิตะได้ทั้ง 4 ฤดู ไปดูซากุระต้องปลายเดือนเมษายน ไปเดินป่าเดือนพฤษภาคม-กรกฎาคม ไปดูใบไม้เปลี่ยนสีปลายเดือนตุลาคม-ต้นพฤศจิกายน และไปเล่นหิมะเดือนธันวาคม-มีนาคม
  • Getting There : จากไทยบินไปสนามบินนาริตะ (ใช้เวลา 6 ชั่วโมง 10 นาที) แล้วต่อรถไฟชินคันเซนไปอะคิตะ ใช้เวลา 4 ชั่วโมง (ควรซื้อตั๋วรถไฟ JR Pass ไปก่อนจากเมืองไทย จะได้ลดค่าตั๋ว) หรือจากไทยบินไปลงที่นาริตะ แล้วต่อเครื่องบินที่สนามบินฮาเนดะ-อะคิตะ ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 5 นาที  (Japan Airline และ All Nippon Airline มีเที่ยวบินตรงไปฮาเนดะ และต่อเครื่องไปอะคิตะได้เลย สะดวกไม่ต้องโหลดกระเป๋าใหม่ แต่ตั๋วแพง)
  • Over Night : ในเมือง Akita City แนะนำ Comfort Hotel Akita (http://en.directrooms.com) / ย่านนิวโตะออนเซ็น แนะนำ Plaza Hotel Sanrokuso (www.booking.com) / ย่านหมู่บ้านซามูไร เมืองเซมโบขุ แนะนำ Tazawako Kogen Resort Hotel New Sky (http://travel.rakuten.com)
  • More Info : www.japan-guide.com/list/e1203.html และ www.pareetravel.com 

Tag: , Far Away, ญี่ปุ่น, ท่องเที่ยว,

เรื่องโดย

ความคิดเห็น

Editor’s Pick

Recent

Most Viewed