ชุมชนริมคลองประเวศบุรีรมย์แห่งนี้เหมือนไม่เคยถูกกาลเวลาแตะต้องแม้แต่นิด บ้านไม้หลังเก่ายังคงเรียงรายอยู่ริมฝั่ง เสียงเครื่องยนต์เรือหางยาวยังคงส่งเสียงมาเป็นระยะ และสะพานไม้กระท่อนง่อนแง่นยังคงให้คนข้ามไปข้ามมา
The Old Days
แต่เดิมชุมชนหัวตะเข้มีชื่อว่าชุมชนหลวงพรต-ท่านเลี่ยม เจ้าของที่ดินเดิม บ้างก็ว่ากันว่าในอดีตคลองสายนี้มีจระเข้ชุกชุมมาก และบ้างก็ว่ามีการขุดค้นพบซากโครงกระดูกหัวจระเข้บริเวณนี้แต่กลับไม่พบตัวของมัน จึงได้อีกหนึ่งชื่อเรียกว่าหัวตะเข้และใช้เรียกมาจนถึงปัจจุบัน
นอกจากชื่อที่เปลี่ยนไปแล้วบรรยากาศแต่ก่อนของชุมชนแห่งนี้ก็เคยเป็นย่านการค้าที่แสนคึกคัก แต่เมื่อถนนหนทางเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในโลกยุคใหม่ ไม่มีภาพของพ่อค้าแม่ค้าพายเรือมาขายของเหมือนเมื่อร้อยปีที่แล้ว วิถีชีวิตริมสายน้ำก็เลยซบเซาไปจนแทบจะเหลือเพียงความทรงจำ
ชุมชนหัวตะเข้ตั้งอยู่ในเขตลาดกระบังของกรุงเทพมหานคร ถึงจะอยู่ไกลออกไปจากศูนย์กลางเมือง แต่ก็ไม่ได้เดินทางลำบากอะไร สามารถนั่งรถไฟไปลงที่สถานีรถไฟหัวตะเข้ หรือนั่งรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ไปลงที่สถานีลาดกระบังแล้วต่อรถสองแถวไปยังตลาดสดอุดมผล (ซอยลาดกระบัง 17) แล้วเดินเข้าซอยมาไม่ไกลก็ถึง อีกทางเลือกหนึ่งหากมีรถยนต์ส่วนตัวก็สามารถเดินทางมาจอดรถที่ตลาดสดอุดมผลแล้วเดินข้ามสะพานไปก็ได้เหมือนกัน
The New Days
สัญลักษณ์อย่างหนึ่งของชุมชนหัวตะเข้ก็คือสะพานสูงข้ามคลอง ทั้ง 2 ด้านมองเห็นสายน้ำทอดยาวสุดสายตา ขนาบข้างด้วยเสาไฟฟ้าสูงลิ่วและสายไฟระโยงระยางและบ้านไม้ขนาด 1 ชั้นนับร้อยห้อง ถือว่าเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมที่มาแล้วพลาดไม่ได้
ผู้คนที่มาเยือนชุมชนหัวตะเข้ดูบางตา อาจจะเป็นเพราะว่าเรามาเยือนในวันธรรมดาไม่ใช่เสาร์-อาทิตย์ บรรยากาศนั้นเงียบจนได้ยินเสียงฝีเท้าของตัวเองก้าวไปบนพื้นระเบียงไม้ ถึงจะน่าเสียดายที่ชุมชนแห่งนี้ดูเงียบเหงาจากพิษโควิด-19 แต่อย่างไรก็ตามเรายังพอได้กลิ่นไก่ย่างหอมๆ จากร้านอาหารเล็กๆ ที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่เป็นบางร้าน เพื่อให้คนในพื้นที่บริเวณนี้ได้อิ่มท้อง อีกทั้งคาเฟ่เก๋ๆ อย่าง สี่แยกหัวตะเข้ คาเฟ่ แอนด์เกสท์เฮ้าส์ ซึ่งตั้งอยู่ภายในตัวบ้านหลังเก่าอายุกว่า 40 ปีที่ได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในอาคารอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่น ปี 2559 จากสมาคมสถาปนิกสยาม ก็ยังเห็นได้ว่ามีผู้คนเข้ามานั่งชิลกันอยู่ประปรายเสมือนเป็นแหล่งปลีกวิเวกจากความวุ่นวายทั้งปวง
นอกจากคาเฟ่บรรยากาศดี ยังมีหนึ่งในจุดเช็กอินแสนอร่อยที่ไม่ควรพลาดคือ ร้านก๋วยเตี๋ยวโรงกลึง สาเหตุที่ได้ชื่อนี้ก็เพราะตั้งอยู่หน้าโรงกลึงหนึ่งเดียวในชุมชน ความโดดเด่นนั้นอยู่ที่เกี๊ยวกุ้งชิ้นใหญ่เนื้อแน่น ในราคาสบายกระเป๋า เหมาะจะมานั่งเติมพลังและหลบร้อนในช่วงเวลากลางวันที่แสงแดดแผดเผา
The Art Scenes
จากย่านการค้าสู่การเป็นพื้นที่แห่งงานศิลปะ ด้วยทำเลที่ตั้งซึ่งอยู่ใกล้กับวิทยาลัยช่างศิลป สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ จึงไม่แปลกที่ชุมชนหัวตะเข้จะถูกแต่งแต้มไปด้วยสีสันมากมาย โดยเฉพาะงานสตรีทอาร์ตริมกำแพงที่อวดโฉมท้าแดดท้าลมให้แวะถ่ายรูปได้เรื่อยๆ หากเดินไปจนสุดทางผ่านสี่แยกหัวตะเข้ คาเฟ่ แอนด์เกสท์เฮ้าส์ แล้วข้ามสะพานไม้ตรงจุดตัดระหว่างคลองจระเข้ คลองปลาทิว และคลองประเวศไปก็จะพบกับกำแพงตะเข้ งานศิลปะบนกำแพงยาวเหยียดให้เดินชม แม้ทุกวันนี้สีจะซีดไปบ้างแต่ก็ยังเป็นอีกหนึ่งพิกัดที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเยือนชุมชนแห่งนี้
และเมื่อไม่นานมานี้ตลาดเก่าหัวตะเข้นั้นถูกพูดถึงอย่างมากจากงานกิจกรรม “RakDok Floral Week(s) ดอกไม้แรก(ยิ้ม)แย้ม” ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นการนำดอกไม้นานาชนิดมาประดับประดาตามมุมต่างๆ ของบ้านไม้แถวริมน้ำเรียกเสียงฮือฮาไปไม่น้อย โดยเฉพาะสายโซเชียลมีเดียที่พากันไปเก็บภาพงานศิลปะจากดอกไม้ที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน
บ้านสามครูก็เป็นอีกหนึ่งพิกัดศิลปะที่ซ่อนอยู่ในชุมชนแห่งนี้ แม้ภายนอกจะให้บรรยากาศเหมือนบ้านหลังเล็กๆ ไม่ต่างจากบ้านเรือนหลังอื่นที่อยู่ติดกัน แต่หากมีโอกาสไปเยือนในวันเสาร์-อาทิตย์ บ้านสามครูจะเปิดต้อนรับให้ทุกคนได้เข้าไปเยี่ยมชมผลงานศิลปะจากฝีมือของนิสิตนักศึกษา รวมถึงผลงานของอาจารย์นพพล กู้แร่ เจ้าของบ้านหลังนี้เองด้วย
แม้ว่ากรุงเทพมหานครจะอัดแน่นไปด้วยภาพของเมืองสมัยใหม่ แต่เพียงก้าวออกมาจากศูนย์กลางเพียงนิดเดียว ยังมีโอเอซิสเล็กๆ ที่อ้าแขนต้อนรับให้ทุกคนได้หลบหลีกความวุ่นวายด้วยความเงียบสงบและเสน่ห์ของวันวาน
Tag:
travel, ชุมชนหัวตะเข้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น