Mo-Mo-Paradise สำคัญกว่าผลกำไรคือความพอใจของลูกค้า

วันที่ 22 มิถุนายน 2564  10,582 Views
นิตยสาร Gourmet & Cuisine ฉบับที่ 251 เดือนมิถุนายน 2564

ทุกครั้งที่ได้พบ คุณเอ-สุรเวช เตลาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเบิล เรสเตอท์รองต์ จำกัด หรือที่รู้จักกันดีในฐานะผู้บริหาร Mo-Mo-Paradise ร้านชาบูชาบูสุกียากี้สไตล์ญี่ปุ่นชื่อดัง เรามักจะได้เห็นรอยยิ้มที่เอิบอิ่มเป็นประกาย เป็นรอยยิ้มจากหัวใจของผู้ที่พร้อมให้บริการผู้มาเยือนเสมอ ยิ่งได้พูดคุยเรายังได้มุมคิดดีๆ ที่ถ่ายทอดจากประสบการณ์การทำงาน รวมถึงการมองโลกในมุมบวกที่ช่วยนำพาธุรกิจให้ผ่านวิกฤติมาหลายครั้ง

ย้อนกลับไปประมาณ 10 ปีก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ธุรกิจร้านอาหาร คุณเอเล่าว่า ชื่นชอบเมนูประเภทหม้อไฟ ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ไทยหรือสไตล์อื่นๆ ก็ทานได้ไม่จำกัด แน่นอนว่ารวมถึงชาบูสุกี้ญี่ปุ่น ที่เวลานั้นไม่ได้รู้สึกประทับใจมากกว่าหม้อไฟสไตล์อื่นเลย จนวันหนึ่งในขณะที่เรียนอยู่ต่างประเทศ มีเพื่อนชาวญี่ปุ่นพาไปกินชาบูชาบูสุกี้ยากี้ ที่มีวิธีการกินเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งช่วยชูรสชาติให้หม้อไฟนั้นมีความพิเศษขึ้น จึงรู้สึกประทับใจและเริ่มมีความคิดอยากเปิดร้านสไตล์นี้ เพื่อถ่ายทอดประสบการณ์แห่งรสชาติให้คนไทยได้มีโอกาสลิ้มลองเช่นเดียวกัน

Mo-Mo-Paradise สำคัญกว่าผลกำไรคือความพอใจของลูกค้า

เมื่อได้พบกับ Mo- Mo- Paradise ที่ประเทศญี่ปุ่น จึงเปรียบเสมือนรักแรกพบท่ามกลางร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีมากมาย เป็นร้านที่เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลาง แต่รสชาติและคุณภาพระดับไฮเอนด์ ในราคาที่จับต้องได้ การดีลกันจึงเริ่มขึ้น และจบด้วย Mo- Mo- Paradise สาขาแรกให้คนไทยได้ลิ้มรสชาติกันที่เซ็นทรัลเวิลด์

คุณเอเล่าถึงดีลครั้งสำคัญนั้นว่า “เราไม่ใช่รายแรกที่เข้าไปติดต่อซื้อแฟรนไชส์ เหตุผลที่เราเลือกเขาและเขาเลือกเรานั้นมาจากหลักคิดเดียวกันว่า “ผลกำไรไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด แต่การมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกค้านั้นมากกว่าคือเป้าหมาย” การมองลูกค้าว่าเป็นเพื่อน คือเป้าหมายและหัวใจของธุรกิจ ซึ่งเราทั้ง 2 ฝ่ายมองตรงกันว่าจะสร้างความยั่งยืนในระยะยาวได้มากกว่า”

หลังเปิดตัวได้ไม่นาน กระแสความนิยมก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งความสำเร็จของ โม โม พาราไดซ์ นี้ไม่ใช่เรื่องของโชคช่วย แต่มาจากกลยุทธ์การตลาดที่สุดแสนจะเรียบง่ายนั่นก็คือ “การบอกปากต่อปาก”

Mo-Mo-Paradise สำคัญกว่าผลกำไรคือความพอใจของลูกค้า

“ความจริงใจที่เรามอบให้ลูกค้าผ่านรสชาติของอาหาร คุณภาพของวัตถุดิบ และการบริการอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง คือมาตรฐานของร้านที่ลูกค้ามากินเมื่อไหร่ก็จะได้ประสบการณ์ที่เหมือนเดิมกลับไปทุกครั้ง ทำให้เกิดการบอกปากต่อปากโดยแทบไม่ต้องใช้สื่อใดๆ โดยเฉพาะในยุคที่สื่อโซเชียลเองก็ยังไม่ถือกำเนิดขึ้นด้วยซ้ำ อีกสิ่งสำคัญคือ การรักษาเอกลักษณ์ของร้านอย่างมั่นคง นั่นคือการนำเสนอวิธีกินชาบูสุกี้ญี่ปุ่นแบบต้นตำรับ ที่มีขั้นตอนคือ ถ้ากินสุกี้ยากี้ (ซุปดำ) จะต้องกินคู่กับไข่ดิบ ลูกค้าจะได้สัมผัสความนุ่มเนียนลิ้นของเนื้อนุ่มๆ หวานๆ ที่ชุ่มด้วยไข่ อร่อยแบบไม่ต้องพึ่งน้ำจิ้มเลย แต่ถ้าลูกค้าเลือกชาบูชาบู (ซุปใส) เราก็จะจับคู่กับน้ำจิ้มพอนสึ น้ำจิ้มงา และโชยุหวาน ช่วงแรกลูกค้าไม่เข้าใจ แต่เราก็ไม่ลดละที่จะแนะนำวิธีกินที่เพิ่มอรรถรสให้กับลูกค้าเสมอ ปัจจุบัน คนรักโมโมจะคุ้นเคยกับวิธีกินแบบต้นตำรับ และทุกครั้งที่นึกถึงชาบูสุกี้สไตล์ญี่ปุ่นก็มักจะนึกถึง Mo- Mo- Paradise เป็นอันดับแรก”

ช่วง 2 ปีแรกแห่งการเริ่มต้น คุณเอใช้เวลาเกือบทั้งหมดอยู่ที่ร้าน เมื่อธุรกิจเติบโตมีการขยายสาขา ความจำเป็นที่ต้องสร้างคนที่มีดีเอ็นเอเหมือนกัน จึงเป็นภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เดินหน้าไม่สะดุด “ปัจจุบันเรามีพนักงาน 700-800 คน ทำอย่างไรที่จะให้ทุกคนมีทัศนคติหรือหลักคิดเหมือนกับเรา ผมใช้หลายวิธีร่วมกันทั้งฝึกอบรมรวมถึงปลูกฝังแนวคิดให้ทุกคน เมื่อมีโอกาสจะพูดคุยกับพนักงานเสมอว่า พวกเขาคือตัวแทนของผม ดังนั้น ไม่ว่าลูกค้าจะเดินเข้าไปที่สาขาไหน สิ่งที่ได้ไม่ว่าจะรสชาติ คุณภาพ และการบริการจะต้องเหมือนกันทุกที่”

Mo-Mo-Paradise สำคัญกว่าผลกำไรคือความพอใจของลูกค้า

จากร้านชาบูชาบูสุกี้ยากี้ญี่ปุ่นยุคบุกเบิกสู่ยุคที่ตลาดชาบูชาบูสุกี้เติบโตอย่างร้อนแรง มีร้านใหม่เปิดขึ้นมากมาย ซึ่งคุณเอมองว่าเป็นเรื่องดี เพราะเชื่อว่าอุตสาหกรรมอาหารไทยยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก “ผมมองว่า มีคนจำนวนมากที่ไม่ได้ออกมากินข้าวนอกบ้าน เพราะคิดว่าราคาสูงกว่าปรุงเอง ซึ่งในมุมของคนทำร้านอาหารที่ควบคุมต้นทุนและสต๊อกสินค้าได้ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว อาหารหนึ่งจานในคุณภาพเดียวกัน หากลูกค้าปรุงกินเองอาจต้องใช้เงินมากกว่านั่งกินที่ร้าน ทำอย่างไรที่จะสร้างความเชื่อมั่น และดึงคนกลุ่มนี้ที่มีจำนวนมากและมีกำลังซื้อมหาศาล ให้ออกมาสัมผัสประสบการณ์การกินข้าวนอกบ้าน ผมไม่เคยมองว่าใครเป็นคู่แข่ง แต่มองว่าคือเพื่อนร่วมธุรกิจ ที่หากจับมือกัน จะเกิดพลังผลักดันให้อุตสาหกรรมร้านอาหารบ้านเราขยายตัวได้อีกมาก”

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า Mo- Mo- Paradise จะมีแฟนคลับที่เหนียวแน่นและพร้อมส่งต่อความรักให้กับ 2 ร้านน้องใหม่ในเครืออย่าง นาเบโซ พรีเมียม และ กอลจัก ต๊อกปกกี ชิคเก้น แล้ว แต่เบื้องหลังความสำเร็จนี้ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป คุณเอได้แบ่งปันประสบการณ์ช่วงที่ยากลำบากให้เราฟัง “ปัญหาที่น่ากลัวที่สุด คือปัญหาที่ควบคุมไม่ได้ ไม่มีใครคาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้น เช่น วิกฤติการเมือง วิกฤติโควิด เป็นต้น วิธีที่ดีที่สุดเมื่อเราควบคุมไม่ได้คือปล่อยไป อาจสูญเสียเงินทองไปบ้าง แต่สิ่งที่เราไม่ได้สูญเสียคือชื่อเสียงซึ่งมีคุณค่ามาก เมื่อสถานการณ์คลี่คลาย ลูกค้าที่คิดถึงเรา ก็พร้อมจะกลับมาใช้บริการเหมือนเดิม”

Mo-Mo-Paradise สำคัญกว่าผลกำไรคือความพอใจของลูกค้า

การมองมุมบวกของคุณเอ เปรียบเสมือนภูมิคุ้มกันที่ดียิ่งกว่าวัคซีนใดๆ เพราะช่วยนำพาธุรกิจให้ก้าวข้ามอุปสรรคทั้งหลาย ส่วนเป้าหมายในการขยายธุรกิจต่อไปนั้น คุณเอย้ำว่า ต้องเน้นสร้างคนไปพร้อมกับสร้างระบบที่สมดุล ทั้งหน้าบ้านและหลังบ้าน เพื่อให้ธุรกิจเติบโตและมีฐานรากที่มั่นคง

จากนั้นได้ทิ้งท้ายด้วยข้อคิดที่เราเชื่อว่าทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตได้ นั่นคือ “ทำได้อยู่ที่การกระทำ ทำไม่ได้อยู่ที่ความคิด” ซึ่งหลักคิดนี้ได้ถูกพิสูจน์เป็นรูปธรรมแล้วจากความสำเร็จของ Mo- Mo- Paradise ในวันนี้


Tag: Food in Biz, ชาบู, สุกี้ยากี้

เรื่องโดย

ความคิดเห็น

Editor’s Pick

Recent

Most Viewed