หลังจากวันแต่งงานอันหวานชื่น คู่รักมักจะมีช่วงเวลาพักร้อนยาวๆ แล้วออกไปเที่ยวพักผ่อน ณ ดินแดนที่สุดแสนโรแมนติก เรามักจะได้ยินใครต่อใครเรียกช่วงเวลานั้นว่าฮันนีมูน (Honeymoon) แล้วน้ำผึ้ง กับพระจันทร์เกี่ยวข้องกันอย่างไรในประวัติศาสตร์ของความรัก?
★ Etymology of Honeymoon ★
นักนิรุกติศาสตร์หลายคนเชื่อว่าคำนี้มีต้นกำเนิดมาจากวลีภาษาเปอร์เซีย “mah-e-asal” ซึ่งแปลว่าเดือนแห่งน้ำผึ้ง คำว่า Mah สื่อความหมายเป็นได้ทั้ง “ดวงจันทร์” และ “เดือน” เช่นเดียวกับคำภาษาอังกฤษที่ “month” มาจากคำว่า “moon” เช่นกัน
หากลองเปิดพจนานุกรมภาษาอังกฤษฉบับออกซฟอร์ดจะพบความหมายอย่างเป็นทางการของฮันนีมูนที่ระบุไว้ว่า “เป็นช่วงเวลาหลังจากการแต่งงานที่เต็มไปด้วยความรักและความสุข หรือการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความสุข” แต่ประวัติศาสตร์ของคำว่า Honeymoon นั้นมีเรื่องราวบอกเล่าถึงที่มาหลากหลายรูปแบบ ทฤษฎีแรกย้อนเวลากลับไปช่วงทศวรรษที่ 1500 อ้างว่ามาจากคำในภาษาอังกฤษโบราณ 2 คำคือ Hony ที่มักใช้สื่อถึงความรักใคร่อย่างลึกซึ้งของคู่แต่งงานใหม่ โดยเฉพาะในช่วงเดือนแรก และ Moone ซึ่งหมายถึงดวงจันทร์ นำมาเปรียบเทียบว่าความรักของคน 2 คนที่จะอยู่เพียงชั่วขณะหนึ่ง และจะค่อยๆ จางหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนการขึ้นลงของดวงจันทร์
ในขณะที่อีกทฤษฎีหนึ่งเชื่อกันว่ามาจากประเพณีโบราณของชาวทิวทันส์ (Teutons) ที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือของเยอรมนี บ่าวสาวในยุคนั้นมักจะดื่มเหล้าน้ำผึ้งหมักเป็นเวลา 30 วันเต็มหลังเฉลิมฉลองงานแต่งงาน เพราะเชื่อว่าจะช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และเพิ่มโอกาสในการตั้งครรภ์ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของชีวิตคู่ สำนวน “ใช้เวลาไปกับการฮันนีมูน” จึงหมายถึงการดื่มด่ำไปกับความรักและความสุข
อย่างไรก็ตาม ยังมีหนึ่งความเชื่อที่คลาสสิกที่สุดของฮันนีมูนที่มาจาก “เดือนแรกของการแต่งงานจะหอมหวานที่สุด” เปรียบเปรยกับความหอมหวานอันเป็นเอกลักษณ์ของน้ำผึ้งนั่นเอง
★ The Taste of Love ★
การอุปมาอุปไมยความหวานกับความรักเป็นเรื่องที่มีอยู่ในทุกวัฒนธรรม นอกจากน้ำผึ้งรสหวานจะมีบทบาทอยู่ในเรื่องเล่าของการฮันนีมูนระหว่างคู่รักแล้ว การใช้คำหรือวลีเช่น Sweetheart, Baby, Dear รวมถึง Honey เองก็เป็นวัฒนธรรมที่มีมานานในโลกตะวันตก มีการบันทึกว่า Honey เป็นคำใช้แทนความรักมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 เป็นอย่างน้อย ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษฉบับออกซฟอร์ดให้ความหมายของ Honey เอาไว้ว่า “เป็นการเรียกคนที่ชอบหรือรัก” บ่งบอกว่าผู้พูดรู้สึกถึงความรักหรือความเสน่หา ไม่ใช่แค่เพียงระหว่างคนรัก แต่สามารถใช้ได้ทั้งระหว่างพ่อ แม่ และลูก
มีผลการทดลองในหัวข้อการรับรสหวานขึ้นอยู่กับประสบการณ์ด้านความรักหรือไม่ในปี ค.ศ. 2014 โดยให้ผู้ทดลองชิมลูกกวาดแล้วให้คะแนนความหวาน พบว่าผู้เข้าร่วมการทดลองสามารถรับรสความหวานได้ต่างกัน โดยผู้มีประสบการณ์ความสัมพันธ์ในเชิงบวกสามารถรับรสหวานได้มากกว่า จากการทดลองนี้อาจจะเป็นไปได้ว่าความรักอาจจะมีรสหวานจริงๆ อย่างที่เราชอบพูดกัน
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เรามักจะได้ยินชื่ออาหารรสหวาน หรือสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความหวานนำมาแสดงถึงความรักในโลกตะวันตก และในภาษาต่างๆ ทั่วโลก เช่น ในภาษาเยอรมันนิยมเรียกคนรักด้วยคำว่า Zuckerbienchen ที่หมายถึงผึ้งน้อย หรือในภาษาสเปนมีคำว่า Esperanto ซึ่งหมายถึงพุดดิง และ Terron de Azucar ที่แปลอย่างน่ารักๆ ได้ว่าน้ำตาลก้อนน้อย
ส่วนประเทศในเอเชียก็มีคำหวานๆ เช่น Manis ในภาษาอินโดนีเซียที่แปลว่าหวาน และคนไทยเองก็เรียกคนรักว่า “หวานใจ” ที่ฟังแล้วหวานไปถึงหัวใจไม่แพ้ฝั่งตะวันตกเลยทีเดียว
แหล่งข้อมูล
- บทความ Why Is It Called a Honeymoon and What Does It Actually Mean? โดย Jennifer Read-Dominguez
- บทความ The Mysterious Origin of the Word 'Honeymoon' โดย Jacob Shamsian
- บทความ The Etymological Compendium: Or, Portfolio of Origins and Inventions โดย William Pulleyn
- บทความ British Terms of Endearment: ‘Sweetheart’, ‘Love’, ‘Darling’… โดย Wil
- บทความ Sweet love: The effects of sweet taste experience on romantic perceptions โดย Dongning Ren, Kenneth Tan, Ximena B. Arriaga และ Kai Qin Chan
Tag:
น้ำผึ้ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น