กลุ่มดุสิตธานีเดินหน้าทำตลาดญี่ปุ่นต่อเนื่อง หลังเปิดให้บริการ “โรงแรมดุสิตธานี เกียวโต” อย่างเป็นทางการเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา พร้อมนำเสนอไฮไลท์สำคัญของโรงแรมผ่านเรื่องราวของห้องอาหาร “อายตนะ” ชูอัตลักษณ์อาหารไทยระดับมิชลิน โดยเชฟโบ-ดวงพร และเชฟดีแลน โจนส์ ที่บรรจงออกแบบอาหารที่ผสมผสานความเป็นไทยแท้กับวัฒนธรรมอันงดงามของญี่ปุ่น เปิดประสบการณ์ สร้างการจดจำ และการบอกเล่าเส้นทางอาหารจากจานสู่จาน ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 6 คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ ขณะเดียวกัน ห้องอาหารอายตนะยังรักษาความเป็นตัวตนด้านความยั่งยืนของกลุ่มดุสิตธานี ด้วยการจัดหาวัตถุดิบจากฟาร์มท้องถิ่นให้ได้มากที่สุด โดยกลุ่มดุสิตธานี ได้ริเริ่ม “ดุสิต ที การ์เด้น” ที่เมืองวาซุกะ เพื่อผลิตชาออร์แกนิค รวมถึงร่วมกับเกษตรกรในท้องถิ่น สร้าง“ดุสิต ฟาร์ม” ตั้งอยู่ที่เมืองโอฮาระโนะมูระโจ เพื่อปลูกผักที่เป็นส่วนประกอบหลักของสำรับไทย เช่น ผักชี เพื่อส่งต่อให้ห้องอาหารอายตนะ
นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากกลุ่มดุสิตธานี เปิดให้บริการ “โรงแรมดุสิตธานี เกียวโต” เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา ปรากฎว่าได้รับความสนใจจากสื่อท้องถิ่นที่นำเสนอข่าว รวมถึงนักท่องเที่ยวที่ให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มดุสิตธานีมีแผนที่ทำตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยชูจุดเด่นของโรงแรมที่นอกเหนือจากการทำเลที่อยู่ใจกลางเมืองหลวงอันเก่าแก่อย่างกรุงเกียวโต การออกแบบที่สวยงามทั้งภายในและภายนอก ห้องพักที่สะดวกสบาย สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการอย่างอบอุ่นแบบไทยภายใต้มาตรฐานดุสิตธานีแล้ว อีกหนึ่งไฮไลท์ที่ผู้เข้าพักในโรงแรมดุสิตธานี เกียวโต จะได้ลองเปิดประสบการณ์ใหม่ คือ การถ่ายทอดอัตลักษณ์อาหารไทยผ่านห้องอาหาร “อายตนะ” (AYATANA) ซึ่งเมนูอาหารจะมีการปรับเปลี่ยนในทุกฤดูกาล ถูกคิดค้นและออกแบบอย่างบรรจง โดยเชฟโบ – ดวงพร ทรงวิศวะ และ เชฟดีแลน โจนส์ สองเชฟผู้มากความสามารถ เจ้าของร้าน โบ.ลาน (Bo.lan) ที่มีดาวมิชลินเป็นเครื่องการันตี
สำหรับชื่อห้องอาหาร “อายตนะ” เป็นคำในภาษาสันสกฤต ซึ่งหมายถึงการรับรู้ของประสาทสัมผัสทั้ง 6 จนเกิดเป็น รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์ ดังนั้น ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้ามาในห้องอาหารอายตนะ ผู้มาเยือนจะได้รับการต้อนรับที่คัดสรรมาเพื่อเปิดประสาทสัมผัสและเตรียมความพร้อม ก่อนจะเริ่มเสิร์ฟอาหารคอร์สแรก ซึ่งเป็นเคียว ยาไซ (Kyo-yasai) หรือผักประจำท้องถิ่นเกียวโต กับรสชาติเผ็ดร้อนของพริกไทยจากอีสาน ที่เชฟจะมาปรุงสด ให้ลูกค้าได้ลองชิม ผ่านครัวเปิดแบบโอเพ่นคิทเช่น
หลังจากนั้น พนักงานจะเสิร์ฟ “อามูส บุช” ที่สอดคล้องกับเบญจธาตุทั้งหมด 5 คำในสไตล์โชจิน เรียวริ ที่ประกอบด้วย 5 รสชาติ คือ หวาน เปรี้ยว เค็ม เผ็ด และขม ผ่านการปรุง 5 แบบ คือ ย่าง รมควัน นึ่ง ต้ม และดิบ และมีทั้งหมด 5 สี คือ เขียว แดง ดำ เหลือง และขาว ก่อนที่จะเสิร์ฟเมนูอาหารไทยหลักอีก 6 เมนู ได้แก่ ต้ม ผัด แกง นึ่ง ยำ น้ำพริกผักจิ้ม และข้าวสวยออร์แกนิก โดยจะมีทั้งเมนูปกติ และเมนูสำหรับผู้ที่ทานเผ็ดไม่ได้ ให้ลูกค้าได้เลือก เพื่อคงรสชาติอาหารแบบไทยแท้ไว้ และปิดท้ายของหวานจาก “กะทิ” (Kati) ห้องขนมหวานประจำ โรงแรมดุสิตธานี เกียวโต ซึ่งนับเป็นร้านขนมแห่งแรกในเกียวโต ที่ใช้กะทิสดแบบออร์แกนิกจากประเทศไทยมาเป็นส่วนผสมหลัก เสิร์ฟพร้อมชาเขียวออร์แกนิกจาก ดุสิต ที การ์เด้น (Dusit Tea Garden)
ในระหว่างมื้ออาหาร ลูกค้าจะได้รับทราบ ‘เข็มทิศความอร่อย’ จากพนักงานที่จะคอยอธิบายเรื่องราวของอาหาร และรายละเอียดของวัตถุดิบที่ใช้ในแต่ละวัน เพื่อให้เห็นภาพรวมของเส้นทางอาหาร กว่าจะมาเป็นจานที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งเป็นประสบการณ์ใหม่และเป็นความภาคภูมิใจของ “ดุสิตธานี” ที่ได้นำเสนอเรื่องราวอัตลักษณ์ของอาหารไทย ที่ผสานกับวัฒนธรรมที่งดงามของญี่ปุ่นให้โลกได้รับรู้ โดยตัวอย่างเมนูเด่นๆ ประจำฤดูร้อนนี้ได้แก่ ยำสาลี่ญี่ปุ่นกุ้งดิบ ข้าวยำอย่างใต้ แกงแพนงโครงเนื้อเค็ม ต้มกะทิหอยประจำวันและสาหร่าย
นอกจากนี้ ทางโรงแรมยังมีเมนูไวน์ที่จับคู่กับอาหารแต่ละจาน และในเร็วๆ นี้ จะมีการเพิ่มเมนู มอคเทลจากจิตวิญญาน ซึ่งเป็นเครื่องดื่มที่ใช้วัตถุดิบเดียวกับเครื่องปรุงอาหาร คิดค้นโดย Intangible บาร์คอกเทลแบบไร้แอลกอฮอล์ที่มีชื่อเสียงจากเชียงใหม่ ที่มาช่วยรังสรรเครื่องดื่มสำหรับเพิ่มรสชาติและกลิ่นอโรมาให้กับอาหารแต่ละคอร์ส
ห้องอาหาร อายตนะ ตั้งอยู่ชั้น B1 โรงแรมดุสิตธานี เกียวโต ในช่วงแรก จะเปิดให้บริการเฉพาะมื้อเย็นระหว่าง 17:30-22:00 น. ทุกวันยกเว้นวันอังคารและวันพุธ เนื่องจากเป็นคอร์สอาหารไทยแบบไฟน์ไดนิ่งที่ใช้เวลาดื่มด่ำกับรสชาติอาหารถึง 2.5 ชั่วโมง และห้องอาหารมีที่นั่งจำนวนจำกัด จึงแนะนำให้ลูกค้าสำรองที่นั่งล่วงหน้า เพื่อให้แน่ใจว่าทุกท่านจะเพลิดเพลินไปกับการเดินทาง และค้นพบความสนุกทุกประสาทสัมผัสจากเมนูต่างๆ อย่างที่หาจากไหนไม่ได้ ทั้งนี้ มื้อกลางวัน จะเริ่มให้บริการในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้
นอกจากนี้ ภายใต้แนวคิดที่สอดคล้องกับ ทรี ออฟ ไลฟ์ (Tree of Life) หรือโครงการเพื่อความยั่งยืนทั่วทั้งกลุ่มของดุสิตธานี ห้องอาหารอายตนะยังได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้มั่นใจว่า การดำเนินงานได้สร้างความยั่งยืนมากสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะแม้ว่าจะต้องนำเข้าวัตถุดิบบางอย่างที่จำเป็นสำหรับอาหารไทยต้นตำรับ แต่โรงแรมดุสิตธานี เกียวโต ก็พยายามที่จะชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอน โดยการจัดหาวัตถุดิบจากฟาร์มท้องถิ่นให้มากสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ขณะที่สินค้าจากประเทศไทยที่นำเข้ามาใช้ก็เลือกจากผู้ผลิตรายย่อย เพราะคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเช่นกัน
“ในฐานะที่ โรงแรมดุสิตธานี เกียวโต เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามด้านความยั่งยืน โรงแรมฯ ได้ร่วมมือกับ TeaRoom Inc. ผู้ผลิตชาที่มีชื่อเสียงด้านความยั่งยืน ริเริ่ม “ดุสิต ที การ์เด้น” ที่เมืองวาซุกะ ซึ่งเป็นเมืองทางตอนใต้ของเกียวโต เพื่อปลูกและผลิตชาออร์แกนิกสำหรับใช้ที่ห้องอาหารอายตนะโดยเฉพาะ นอกจากนี้ ดุสิตธานียังได้ร่วมมือกับ โอฮาร่า ฟาร์มี (OHARA FARMY) ในการเช่าพื้นที่สำหรับพัฒนา ดุสิต ฟาร์ม” (Dusit Farm) ซึ่งเป็นฟาร์มออร์แกนิก ที่ตั้งอยู่ที่เมืองโอฮาระโนะมูระโจ ในเขตซาเกียวของเกียวโต ห่างจากใจกลางเมืองเพียง 20 นาที เพื่อใช้เป็นสถานที่ปลูกผักนานาชนิดที่เป็นส่วนประกอบหลักของอาหารไทย อาทิ ผักชี เพื่อส่งให้กับห้องอาหารอายตนะ ขณะที่เศษอาหารที่เกิดจากการบริโภคในห้องอาหารอายตนะ จะนำไปหมักเป็นปุ๋ยที่ “ดุสิต ที การ์เด้น” เพื่อให้มั่นใจว่าทุกขั้นตอนของการผลิตนั้น ผ่านมาตรฐานระบบออร์แกนิกที่แท้จริง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานอย่างยั่งยืน และความพยายามในการสร้างวัฏจักรอาหารแบบหมุนเวียนของกลุ่มดุสิตธานี” คุณศุภจีกล่าว
Tag :
ดุสิตธานี, ห้องอาหารไทย, อาหารไทย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น