บ้านสุริยาศัย ร้านอาหารในสายธุรกิจอาหารของกลุ่มบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) จับมือแบรนด์เครื่องประดับชื่อดังอย่าง SARRAN ที่มีผลงานให้กับศิลปินระดับโลก อาทิ ลิซ่า BLACKPINK, Alicia Keys ฯลฯ เปิดแคมเปญสุดพิเศษให้ลูกค้าที่รับประทานอาหาร 5 คอร์สในชุด The Journey มีสิทธิ์ซื้อเครื่องประดับหรู Collection Exclusive “เจริญบุนนาค” ของ SARRAN ในราคาสุดพิเศษซึ่งมีเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 สิงหาคม 2567
แซม-ไพศาล อ่าวสถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บิสโตร เอเชีย จำกัด บริษัทในกลุ่ม บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เผยว่า SARRAN เป็น Jewelry แบรนด์ระดับโลกที่มีเอกลักษณ์ความเป็นไทยแท้ เหมาะกับคอนเซ็ปต์ของบ้านสุริยาศัยที่เป็น Heritage home เก่าแก่อายุกว่า 100 ปี จึงเป็นที่มาของการจัดแคมเปญพิเศษในครั้งนี้ร่วมกัน โดยมีไฮไลต์ คือ “ดอกบุนนาค” อันเป็นที่มาของบ้านสุริยาศัยของตระกูลบุนนาค ดังนั้น ดอกบุนนาคจะบานอีกครั้งในรูปแบบของ Jewelry ผสมผสานไปกับการเล่าเรื่องผ่านอาหารตั้งแต่รัชกาลที่ 5 จนถึงปัจจุบัน โดยสะท้อนความหมายในมิติต่างๆ ผ่านเมนูอาหารสุดพิเศษ 5 คอร์สในชุด The Journey ที่เสมือนกับการเติบโตของต้นบุนนาคที่เริ่มหยั่งราก เติบโต ผลิใบ กระทั่งบานสะพรั่งเป็นดอกบุนนาคที่เต็มไปด้วยความสวยงาม
ศรัณญ อยู่คงดี ศิลปิน นักออกแบบเครื่องประดับ เจ้าของแบรนด์ SARRAN เล่าว่า ในส่วนของ “เจริญ:บุนนาค” คอลเลคชั่น (Charoen:Boon-Nak Collection) ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวและความเป็นมาของยุคสมัยที่เริ่มเรื่องราวทั้งหมดของบ้านสุริยาศัยและต้นบุนนาคซึ่งเป็นต้นไม้ประจำบ้าน ผ่านบริบทการเติบโตและผลิบานของดอกบุนนาค ซึ่งเป็นระยะเวลานานมากแล้วที่ดอกบุนนาคไม่ได้เบ่งบานในบ้านสุริยาศัย เนื่องในวาระฉลองครบรอบ 100 ปีของสถานที่อันเต็มไปด้วยความทรงจำและการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา SARRAN ได้สร้างสรรค์คอลเลคชั่นพิเศษขึ้นโดยนำเอาหนึ่งในเรื่องราวของช่วงยุคสมัยในรัชกาลที่ห้า คือคำว่า “เจริญ” ซึ่งมีปรากฏให้เห็นในภาชนะเครื่องเคลือบหรือที่ผู้คนทั่วไปเรียกว่า“ถาดเจริญ” และตัวอักษรอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งได้มีการประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นการอวยพรแก่ก้าวต่อไปหรือเรื่องราวบทใหม่ของบ้านสุริยาศัย และดอกบุนนาค ซึ่งเป็นเอกลักษณ์สำคัญที่อยู่คู่บ้านมาตั้งแต่อดีตให้กลับมาเบ่งบานอีกครั้ง ณ สถานที่เดิมที่เวลาเปลี่ยนไปแต่ความทรงจำยังคงอยู่คู่แสงอาทิตย์ของประเทศไทยและสถาปัตยกรรมเป็นเอกลักษณ์ของ “บ้านสุริยาศัย”
คอร์สอาหารชุด The Journey เริ่มจาก Amuse Bouche ที่สื่อถึงความดั้งเดิม (The Original) นำเสนอเป็น เมี่ยงผลไม้โบราณ (Seasonal Fruit Served with Sweet Sauce) ที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาลอย่างเงาะและสละ สอดไส้ที่ทำจากมะพร้าวเคี่ยว ปรุงให้มีรสหวานเค็ม กินพร้อมมะม่วงเปรี้ยว ขิงอ่อน และยอดผักชี เสริมรสชาติให้สดชื่นโดดเด่น
ถัดมาเป็น Appetizers “3 กษัตริย์” เครื่องว่างจานนี้ผสมผสานความเป็นไทยและฝรั่งเข้าด้วยกัน โดยในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือยุคสามวิคตอเรียน มีการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศ และนำค่านิยมต่างๆ รวมถึงความเจริญเข้ามาพัฒนาประเทศไทย เครื่องว่างจานนี้จึงเสิร์ฟมาในคอนเซ็ปต์ เงิน ทอง นาค ที่เปรียบเสมือนการรวมเอาวัฒนธรรมต่างชาติ มาผสมผสานและสอดแทรกวัตถุดิบแบบไทยๆ เข้าด้วยกัน โดย Silver King เป็น ขนมครกหน้าปูกะทิ-ไข่ปลาแรมฟิชดำ (Coconut Rice Pudding Topped with Crab Meat and Black Lumpfish Caviar) ตัวแป้งมีสีนิล รสชาติเค็มอ่อนๆ ท็อปหน้าด้วยเนื้อปูที่หอมกลิ่นสามเกลอและไข่ปลา ตัดรสกับความหวานของกะทิได้ความอร่อยกำลังดี Gold King เป็น สะเต๊ะลือตำรับวังสวนสุนันทา (Authentic Thai Chicken Satay) สะเต๊ะแบบโบราณที่ในอดีตนั้นมีชื่อเสียงจนลือเลื่องด้วยกลิ่นหอมและรสชาติที่เข้มข้น ทว่ากลมกล่อม หอมเครื่องเทศ และ Rose Gold King เป็น ทาร์ตกุ้งทอดมัน (Thai Shrimp Cake) เมนูนี้ประยุกต์จากกุ้งทอดมันตำรับวังบางขุนพรหม หัวใจในการทําอยู่ที่การตบเนื้อกุ้งจนเหนียว ปรุงรสให้กลมกล่อม ปั้นเป็นก้อนกลม ทอดจนเหลืองทอง แล้วเคลือบด้วยซอสที่ปรุงจากมันกุ้งรสชาติเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมแป้งทาร์ตที่หอมเนยแบบฝรั่ง เช็ตนี้แนะนำให้กินจากทาร์ตกุ้งทอดมัน ตามด้วยสะเต๊ะลือ และขนมครกหน้าปูกะทิ เพื่อไล่ลำดับรสชาติให้ได้อรรถรสยิ่งขึ้น
ต่อด้วยเครื่องยำ Salad “สนามเสือป่า” ในสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นยุคสมัยที่นำพาความเจริญเรื่องการสื่อสารมาใช้ในประเทศ จุดเด่นของยุคลสมัยนี้คือการจัดตั้งกองพลเสือป่า เชฟจึงนำเสนอเมนู ยำทวาย (Thai Salad Served with Curry Dressing) ที่มีความหลากสีของวัตถุดิบให้เป็นเสมือนกองพลต่างๆ ยำทวาย เป็นตำรับอาหารชาววังสายพระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ ในรัชกาลที่ 5 นิยมปรุงรับประทานในวันสำคัญเท่านั้น จานนี้ประกอบไปด้วยผัก 5 ชนิด เสิร์ฟพร้อมน้ำยารสชาติกลมกล่อมกล่อมหวานอมเปรี้ยวกำลังดี หอมกลิ่นน้ำพริกเผาและเครื่องแกง ก่อนกินคลุกเคล้าส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ตักกินได้ครบรสในหนึ่งคำ ทั้งอร่อยและสดชื่น
ตามด้วยแกงใส Soup “ร่วมสมัย” ในยุคสมัยรัชกาลที่ 7 มีความเปลี่ยนแปลงมากมาย อย่างการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เกิดการจัดตั้งรัฐบาลแต่ยังคงอนุรักษ์ไทยนิยม หรือเรียกว่าสมัยนิยม ยุคนี้จะโดดเด่นเรื่องการกินอาหารประเภทเส้น เนื่องจากข้าวสารมีราคาสูง รัฐบาลจึงรณรงค์ให้ประชาชนบริโภคอาหารประเภทเส้นทดแทน และเป็นที่มาของ ต้มข่าหอยเชลล์กับหมี่ขาวทอดกรอบ (Seared Scallop in Coconut-Galangal Soup Served with Crispy Rice Vermicelli) เชฟประยุกต์เมนูต้มข่าที่รับประทานพร้อมข้าวหอมมะลิ เสิร์ฟคู่กับเส้นหมี่ขาวทอดเป็นแพสวยสีนวลได้รสสัมผัสกรุบกรอบ เส้นหมี่ซึมซับรสชาติของซุปต้มข่าตักกินพร้อมหอยเชลล์ตัวโตได้รสละมุนกลมกล่อม
มาถึงจานหลัก Main Course “พอเพียง” ซึ่งเป็นการรวมยุคสมัยรัชกาลที่ 8 และรัชกาลที่ 9 เข้าด้วยกัน เนื่องจากทั้ง 2 สมัยเป็นยุคแห่งความเรียบง่าย พอเพียง ไม่หวือหวาแต่ทว่าไม่หยุดอยู่กับที่ จุดเด่นของสำรับนี้อยู่ที่การเลือกใช้วัตถุดิบที่หาได้ง่าย ปรุงให้มีรสชาติครบรสในแบบรสไทยแท้ จัดเสิร์ฟพร้อมกับข้าวหอมมะลิอย่างดี ในสำรับมีทั้ง กุ้งแม่น้ำย่างน้ำปลาหวาน (Grilled River Prawn Served with Sweet Fish Sauce) ที่นำกุ้งเม่น้ำตัวโตมาย่างให้สุกกำลังดี เสิร์ฟพร้อมน้ำปลาหวานรสชาติเข้มข้นที่ปรุงจากน้ำตาลโตนดและน้ำปลาชั้นดี เคี่ยวเป็นเวลานานจนมีสีใสและเหนียวกำลังดี แกงชักส้มปลาทูย่าง (Authentic Sour Soup Served with Grilled Mackerel) แกงไทยโบราณที่หากินยากในปัจจุบัน ดูคล้ายแกงส้มแต่รสชาติแตกต่าง เพราะปรุงรสโดยใช้มะกรูด ทำให้เกิดรสเปรี้ยวและมีกลิ่นหอม เสิร์ฟพร้อมปลาทูย่างสุกกำลังดี รสชาติจัดจ้าน ครบรสอร่อย และที่ขาดไม่ได้ น้ำพริกหนำเลี๊ยบหมูสับ (Stir-fried Chinese Olives with Minced Pork Dip) เพราะน้ำพริกเป็นเมนูเครื่องจิ้มที่ต้องมีในสำรับอาหารมาตั้งแต่สมัยโบราณ ความโดดเด่นของเมนูนี้อยู่ที่การผัดหมูสับหนำเลี๊ยบกับเครื่องน้ำพริก แล้วปรุงให้มีรสเปรี้ยวเค็มหวาน กลมกล่อม กินพร้อมกับเครื่องแนมอย่างปลาช่อนแดดเดียวทอดและผักสด รับรองว่าอิ่มแปล้
แล้วจบด้วยของหวานฝีมือเชฟอิน ณรงค์ฤทธิ์ เชฟหนุ่มที่กำลังเป็นที่จับตาและเข้ามาช่วยรังสรรค์เมนูขนมหวาน เพื่อเป็นตัวแทนเชฟรุ่นใหม่บอกเล่าเรื่องถึงคนรุ่นปัจจุบัน
ของหวาน Dessert “เจริญ” เชฟอินเปรียบเมนูนี้กับยุคปัจจุบันหรือสมัยรัชกาลที่ 10 ซึ่งเป็นยุคแห่งความเจริญ ความศิวิไลซ์ ความสวยงาม และเทคโนโลยีต่างๆ แต่ยังคงไว้ซึ่งวัฒนธรรมและความเป็นไทยที่สืบเนื่องมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน กลายเป็น เจลลี่น้ำผึ้งและส้มซ่า (Citrus Aurantium and Honey Jelly) ผสมผสานระหว่างวัตถุดิบอย่างส้มซ่ากับเจลลี่ ปรุงรสชาติด้วยน้ำผึ้งเล็กน้อย จึงได้เป็นเมนูของหวานที่มีความแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร ไอศกรีมมะพร้าวน้ำหอมกับครัมเบิ้ล (Coconut Ice-cream Served with Crumble) รสชาติหวานมันของไอกครีมมะพร้าวเข้ากันได้ดีกับครัมเบิ้ลแบบฝรั่งเป็นอย่างมาก ขนมดอกพุดตาล (Thai Sweetmeat Made of Egg Yolk and Sugar) ตัวขนมนั้นทำจากแป้งสาลี น้ำตาล ไข่แดง และกะทิ รสสัมผัสนุ่มนวล ช่วยให้ขนมจานนี้โดดเด่นยิ่งขึ้น
แคมเปญสุดพิเศษ “The Journey” นำเสนอเรื่องราวและความหมายน่าประท้บใจที่ซ่อนไว้ด้วยรสชาติความอร่อยในรูปแบบของเซ็ตเมนูอาหารจาก “บ้านสุริยาศัย” มอบสิทธิ์ให้ซื้อเครื่องประดับ Limited edition สุดหรูของ SARRAN ในราคาพิเศษได้ที่นี่ที่เดียว โดยชุดอาหารพรีเมี่ยมราคา 2,995 บาท++ พร้อมเสิร์ฟตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2567 เท่านั้น สามารถโทรจองล่วงหน้า 3-5 วัน ที่โทร.0-2237-8889 หรือ 06-5931-4338 ติดตามรายละเอียดได้ที่ FB : Baan Suriyasai
Tag:
ร้านอาหารไทย, อาหารไทย, เครื่องประดับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น