หลังจากที่ เชฟแก้ว- ปวีณ์นุช ยอดปรีชาวิจิตร และ เชฟผึ้ง - ปุญญเนตร ธนัพประภัศร์ มีโอกาสไปซุ่มตัวอยู่ที่ ยายยอดโฮมสเตย์ ในชุมชนบ้านนาหว้า จังหวัดนครพนมอยู่นานจนได้เคล็ดลับความอร่อยในแบบฉบับอีสานพื้นถิ่นกลับมา พร้อมๆ กับแลกเปลี่ยนความรู้ระดับ Chef Table ร่วมกับชุมชนกันแล้ว ล่าสุดทั้งสองเชฟได้ชักชวนทีมพ่อครัวแม่ครัวจากชุมชนนาหว้ามาร่วมเรียนรู้และทำเมนู Chef Table กันอย่างเต็มรูปแบบในมื้ออาหารสุดสร้างสรรค์ “Melody of Na Wa” ณ ร้านอาหาร Le Lapin Bangkok
เชฟแก้ว ต้อนรับแขกทุกคนที่พร้อมจะออกเดินทางไปนาหว้ากับสายการบิน Le Lapin ได้อย่างน่ารักด้วยบรอดดิ้งพาสเก๋ๆ พร้อมเล่าเรื่องราวและประสบการณ์ที่ได้รับจากการไปเยือนนาหว้า ซึ่งเป็นชุมชนเล็กๆ ในจังหวัดนครพนมที่ประกอบด้วย 5 ชนเผ่า และมื้ออาหารในวันนี้ทุกคนจะลิ้มลองเมนูอาหารจากนาหว้าในรูปแบบ Chef Table ฝีมือของชนเผ่าไทยญ้อ และชนเผ่าไทยอีสาน ร่วมกับกลุ่มศิลปินจากหมู่บ้านท่าเรือ แหล่งผลิตเครื่องดนตรีที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ที่จะร่วมบรรเลงเพลงที่สร้างสรรค์ขึ้นมาสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ
Le Lapin ยังคงคอนเซ็ปต์อาหาร เครื่องหอม และเทพนิยายไว้เช่นเคย Welcome Drink แก้วแรก อวลกลิ่นละออ เป็นน้ำมะพร้าวอบควันหอม มีส่วนผสมของสมุนไพร 2 ชนิด เม็ดสีน้ำเงินจากอัญชันและ สีแดงจากฝางซึ่งมีสรรพคุณช่วยเรื่องภูมิคุ้มกันและบำรุงเลือด ซึ่งเมื่อจิบเครื่องดื่มแล้วทุกคนจะวาร์ปสู่ชุมชนนาหว้าพร้อมๆ กับแว่วเสียงดนตรีจากกลุ่มศิลปินหมู่บ้านท่าเรือ อันเป็นสัญลักษณ์ว่าเราเดินทางถึงชุมชนนาหว้าเป็นที่เรียบร้อย พร้อมการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากแม่คำเลี้ยง พี่เหมียว เชฟพี่ป๋อง และทีมชุมชนก่อนจะเริ่มเสิร์ฟอาหารคอร์สแรก
เรียงร้อยท่วงทำนอง เป็นอะมูสบุช 3 คำ ที่บ่งบอกความเป็นนาหว้าได้ดี คำแรกเป็น ทาร์ตป่นปลา ป่นปลาเป็นอาหารประจำนาวา แต่เชฟปรับหน้าตาใหม่ให้เป็นทาร์ตคำเล็กๆ รสกลมกล่อม คำที่สองเป็น ฟักทองย่างแจ่วบอง ท็อปด้วยกุ้งย่างหวานอร่อย แม้แต่คนที่ไม่คุ้นเคยกับแจ่วบองยังติดใจ และคำที่สาม วุ้นลาบเทา เทาคือสาหร่ายน้ำจืดของภาคอีสานนิยมใช้ทำเมนูลาบ ซึ่งเมื่อเสิร์ฟในรูปแบบ Chef Table ก็รังสรรค์ได้สวยงามและแซบกำลังดี ขณะเดียวกันเชฟได้นำเทามาเป็นส่วนผสมในขนมปังเสิร์ฟพร้อมเนยเบลนด์ที่ใส่ข้าวคั่ว พริกป่น เกลือ พริกไทย อร่อยเข้ากันดีงาม
จากนั้นเชฟแก้วชวนทุกคนให้ช่วยกันสร้างบรรยากาศบนโต๊ะอาหารให้เสมือนกำลังท่องอยู่กลางป่าที่มีไอหมอกเย็นๆ ปกคลุมหนาแน่น พร้อมๆ กับการเสิร์ฟอาหารเรียกน้ำย่อยชื่อน่ารักว่า มัจฉาท่องไพร จานนี้เป็นหมกเจาะ ซึ่งที่บ้านนาหว้าจะเป็นปลาห่อด้วยใบยอ แต่เชฟแก้วประยุกต์โดยการใช้ใบชะพูลผสมกับใบยอ เพื่อลดทอนความขม แต่ยังคงได้กลิ่นรสของใบยอ และเพิ่มรสชาติให้อร่อยยิ่งขึ้นด้วยการใส่กุ้งไว้ภายใน ม้วนเป็นเส้นกลมสวยงามน่ากิน เสิร์ฟพร้อมซอสกะทิและเห็ด เชฟแนะนำให้กินทุกอย่างพร้อมกันในหนึ่งคำ บอกเลยว่าทั้งกลมกล่อม นวลเนียน น่าประทับใจ
ถัดมาเป็นซุปที่มีชื่อเก๋ๆ ว่า หวนคำนึง ซึ่งเชฟแก้วเล่าว่าเป็นเมนูที่กินแล้วทำให้นึกถึงบ้านเพราะเป็นเมนูที่คุณแม่ทำให้กินเช่นกัน จานนี้เป็นแกงหน่อไม้ซึ่งเชฟได้กินเมื่อครั้งไปอยู่นาหว้า และได้ไปร่วมตัดหน่อไม้มาทำแกงด้วย โดยแกงหน่อไม้จานนี้เชฟให้ทุกคนได้สร้างควันร้อนๆ ในดงป่าเห็ดที่อยู่รอบๆ จานของตนเอง ทั้งสนุกสนานและอร่อยไปพร้อมกัน ประทับใจน้ำซุปแกงหน่อไม้ที่หวานอร่อยเผ็ดพริกไทยกำลังดี ซึ่งในคอร์สนี้จะมีปลาร้าผสมอยู่ด้วย แต่หลายๆ คนที่ไม่กินปลาร้าก็ยังสามารถกินได้อย่างเอร็ดอร่อย
มาถึงอาหารจานหลักที่เชฟให้ชื่อว่า ซ่อนกลิ่น ซึ่งได้กิมมิกจากน้ำหอมกินได้ หนึ่งในคอนเซ็ปต์ประจำร้าน Le Lapin (อาหาร เครื่องหอม และเทพนิยาย) เชฟเสิร์ฟน้ำหอมให้ทุกคนเป็นกลิ่นที่ผสมมาให้เข้ากับอาหารในคอร์สนี้ สำหรับฉีดลงบนจานอาหาร เป็นกลิ่นที่สกัดจากข้าว คล้ายกลิ่นใบเตยอ่อนๆ จานนี้เป็นข้าวห่อใบบัวใส่อินทผลัมสด เสิร์ฟพร้อมเนื้อออสเตรเลียนย่าง มาร์เบิ้ล 8 กินคู่กับจูส์ปลาร้าที่ทางร้านทำขึ้นเอง ก่อนลงมือรับประทานให้อธิษฐานพรหนึ่งข้อและฉีดน้ำหอมลงจานอาหาร หากคำอธิษฐานเป็นจริง ไฟจะลุกพรึ่บในจานอาหารทันที (มีความเมจิกในแบบเทพนิยายตามคอนเซ็ปต์เป๊ะ) จากนั้นก็รับประทานเนื้อนุ่มๆ พร้อมข้าวห่อใบบัวรสชาติกลมกล่อมโรยหน้าด้วยอินทผลัมสด ยังมีรสหวานจากอินทผลัมที่ผัดผสมอยู่ในข้าวและรสเค็มหอมจากกุ้งแห้งทอดด้วย
ล้างปากกันเล็กน้อยก่อนจะไปลิ้มรสของหวานกับ จันทราในเรือนเร้น เป็นวุ้นเยลลี่ส้มตำที่มีส้มมะปรี๊ด มะเขือเทศ กระเทียมกรอบ กุ้งแห้งทอด ตกแต่งด้วยยอดฟักแม้วและผักกวางตุ้ง เป็นเมนูล้างปากที่สดชื่นมาก ได้รสชาติของส้มตำเบาๆ ในระดับความเผ็ดที่กำลังพอเหมาะ และเป็นความประทับใจใหม่ที่เชฟแก้วสามารถทำส้มตำให้เป็นเมนูล้างปากได้อย่างยอดเยี่ยม
อินทนิลสีชาต ขนมหวานปิดท้ายมื้อ เสิร์ฟมาเป็นกล่องของขวัญขนาดใหญ่ สื่อความหมายแทนคำขอบคุณในการให้เกียรติมาเยี่ยมเยียนชุมชนในวันนี้ บนกล่องมีช้อนใส่แยมลูกหม่อนวางไว้ให้ทานก่อนจะเปิดกล่องของขวัญ ภายในเป็นดอกกุหลาบสวยงาม 2 ดอก ดอกใหญ่เป็นไอศกรีมที่มีส่วนประกอบของข้าวเหนียวแดง ลอดช่อง ไส้กลางเป็นแยมหมากเม่า วางเคียงข้างมากับกุหลาบดอกเล็กซึ่งเป็นอะลัวสด วุ้นเม็ดแมงลัก ข้าวพอง และไข่มุกเม็ดกลมสีแดงใสทำจากลิ้นจี่บีทรูตและเม็ดสีม่วงจากลิ้นจี่อัญชัน ทุกอย่างในกล่องสร้างรสสัมผัสทุกละมุนละไม เป็นของขวัญชิ้นสวยสุดประณีตที่รังสรรค์จากฝีมือเชฟผึ้ง
ปิดมื้ออย่างสมบูรณ์แบบด้วย ยอดปลายนา เป็นชาอู่หลงเบลนด์กับอินทผลัม และผักแขยงนา ที่หอมและสดชื่น เสิร์ฟพร้อมคุกกี้นิ่มช็อกโกแลตสุดฟิน ซึ่งเมื่อจิบชาเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็จะวาร์ปกลับสู่กรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพ พร้อมน้ำหอมกินได้เป็นของที่ระลึก
แม้ Melody of Na Wa แห่งร้าน Le Lapin Bangkok จะจบลงแล้ว แต่ Melody of Na Wa ณ บ้านนาหว้ายังคงบรรเลงต่อไป สนใจตามไปเยี่ยมเยียนชุมชนบ้านนาหว้าได้ที่ FB : โรงย้อมยายยอด โทร.09-2264-7561 นอกจากความอร่อย ยังมีผ้าย้อมครามสวยๆ เครื่องจักรสาน และเครื่องดนตรีไทยสวยเก๋ๆ ให้ชื่นชมอีกด้วย
แล้วมาลุ้นกันว่า Ep. ต่อไป ทีมงาน Le Voyageur by Le Lapin จะนำเซอร์ไพรส์แบบใดมาเสนอกันนะ
Tag:
Chef's Table, อาหารท้องถิ่น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น