เสน่ห์เกินห้ามใจยกให้ร้านนี้ที่สร้างสรรค์บรรยากาศของชนเผ่า โดยยกเอาทุ่งหญ้าสะวันนามาไว้ที่ชลบุรี ร้านอยู่ริมถนนบางแสน-อ่างศิลา พื้นที่กว้างขวางสามารถจอดรถด้านหน้าร้านได้เลย ส่วนด้านในตกแต่งในธีมสีเอิร์ธโทน สื่อถึงทุ่งหญ้าและผืนทราย รวมถึงเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ที่ทำจากท่อนไม้ ไม้ไผ่ และหญ้าแห้ง ช่วงบ่ายร่มลมตกใครอยากเปลี่ยนอารมณ์แบบคนละขั้ว ลุกมานั่งรับลม ชมป่าชายเลน พร้อมสั่งเครื่องดื่มเย็นๆ มาจิบสักแก้วก็เพลินไปอีกแบบ เมนูเด่นๆ ท้าให้ลอง อาทิ พิซซาซองต์ หยิบครัวซองต์มาครีเอทคล้ายพิซซา ท็อปด้วยแฮมและชีส อบร้อนๆ กลิ่นหอมจรุงใจ จะกินเป็นของว่างก่อนจานหลัก หรือจะกินให้อยู่ท้องจับคู่กับเครื่องดื่มสักแก้วก็เข้าที เค้กยูสุ เอาใจสวีทเลิฟเวอร์ด้วยเค้กส้มยูสุ แต่งหน้าด้วยส้มฝานบางๆ และดอกไม้จิ๋ว รสหวานนิดเปรี้ยวหน่อย กินอร่อยแบบลืมอ้วน ส่วนเครื่องดื่มแนะนำ อเมริกาโนยูสุ สนุกกับการเทช็อตอเมริกาโนเข้มข้นลงในแก้วน้ำส้มยูสุ กลิ่นหอมทั้งของกาแฟและน้ำส้มจะอบอวลขึ้นมา ประทับใจตั้งแต่ยังไม่ได้จิบ บางแสนแค่ปากซอย ขับรถเดี๋ยวเดียวก็ถึง

ด้วยความชอบและแพสชันที่มีให้เหล่าตัวการ์ตูนของคุณเอม เจ้าของร้าน CHUMCHUM (ฉ่ำฉ่ำ) ร้านขายนาฬิกาวินเทจหายากที่เปิดอยู่บนโลกออนไลน์มากว่า 2 ปี จนต่อยอดมาสู่การเปิดหน้าร้านของวินเทจและของสะสมสุดน่ารักอย่าง CHUMCHUM GROCERY คุณเอมเล่าให้ฟังว่า ตอนแรกจะเปิดเป็นร้านขายของชำเล็กๆ ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นคาเฟ่ แต่ด้วยสไตล์การแต่งร้านที่ถูกใจสายคาเฟ่และสาวกตัวการ์ตูนยุคคลาสสิก ทำให้ CHUMCHUM GROCERY เป็นเหมือนศูนย์รวมของเหล่านักสะสม และชุมชนคนรักการ์ตูน มาพบปะสังสรรค์และแลกเปลี่ยนความสนใจซึ่งกันและกัน เปรียบดั่งพื้นที่ให้ทุกคนที่มีความชอบเหมือนๆ กัน มารำลึกถึงช่วงเวลาความสุขในวัยเด็ก ภายในร้านตกแต่งด้วยของสะสมมากมายไม่ว่าจะเป็น นาฬิกาวินเทจ รูปภาพ ของเล่น ตุ๊กตาและโปสเตอร์ตัวการ์ตูนต่างๆ ที่คุณเอมเก็บสะสมมาตั้งแต่เด็ก และบางชิ้นที่เก็บเงินซื้อด้วยตัวเอง นำมาแต่งเป็นแกลเลอรีเล็กๆ มีมุมน่ารักไว้ให้ถ่ายรูป นั่งดูการ์ตูนหรือจิบกาแฟก็ได้เช่นกัน สำหรับเมนูภายในร้านก็มีให้เลือกสรร ทั้งขนมและเครื่องดื่มอย่าง Latte (110 บาท) กลิ่นกาแฟหอมกรุ่น รสชาติกลมกล่อม ส่วนเมนูซิกเนเจอร์ต้อง Cocoa (95 บาท) โกโก้เข้มข้น หวานกำลังดี มาถึงที่นี่แต่ไม่ได้กินแก้วนี้คือพลาดมาก ใครอยากกินขนม เราแนะนำ Banana Yogurt Cake (95 บาท) เนื้อนุ่ม ได้กลิ่นกล้วยชัดเจน กินคู่กับวิปปิงครีมเข้ากันสุดๆ นอกจากเมนูนี้ยังมีขนมรอให้ทุกคนไปลิ้มลองกันอีกมายมาก ใครมาแล้วเจอของที่ถูกใจสามารถสอบถามและซื้อกลับไปเก็บสะสมไว้ได้ด้วยนะ

Kanissu Icecream คาเฟ่ไอศกรีมที่พร้อมซับความรู้สึกของผู้มาเยือน ด้วยการมอบความสุขให้ทุกคนผ่านความหวานเย็นแสนอร่อย ตามคอนเซ็ปต์ “Fulfill your happiness” ที่ชั้น 1 ของโครงการ One One Food Avenue ถนนสามัคคี จังหวัดนนทบุรี ตัวร้านตกแต่งด้วยโทนสีเรียบง่าย ได้แรงบันดาลใจจากสีของไอศกรีมที่คุ้นเคยกันดีอย่างช็อกโกแลตกับวานิลลา เน้นสัดส่วนโค้งเว้าของขอบประตูหน้าต่างที่เข้ากันได้ดีกับเฟอร์นิเจอร์ หากมองใกล้เข้าไปที่ผนังจะเห็นได้ชัดว่าผนังนั้นไม่เรียบ เปรียบเหมือนเท็กซ์เจอร์เนื้อไอศกรีมที่ถูกปั่น และยังใส่ดีเทลตัวโคนไอศกรีมไว้ที่ผนังเช่นกัน รับรองความอร่อยด้วยวัตถุดิบเกรดพรีเมียม มีหลากหลายรสชาติให้ลองชิม ทั้งรสที่คุ้นเคย หรือรสแปลกใหม่แหวกแนว ทุกคนสามารถเลือกรสได้อย่างที่ใจต้องการ เริ่มกันที่เมนูใหม่ในซีซั่นนี้อย่าง Cinderella ด้านในเป็นไอศกรีมสตรอว์เบอร์รีชีสเค้ก ท็อปด้วยแครกเกอร์และสตรอว์เบอร์รีสด กินรวมกันทุกส่วนอร่อยมากๆ รสหวานกำลังดี หอมครีมชีส ยกให้เป็นเมนู สวยแต่รูปจูบก็หอมเลย ใครมาร้านนี้ต้องสั่งเมนูซิกเนเจอร์อย่างไอศกรีม Sea Salt สีฟ้าน้ำทะเลวางบนโคนช็อกโกแลตสีสวยตัดกันพอดี ให้รสเค็มนิดๆ ได้รสหวานหน่อยๆ จาก Honeycomb และเมนูขายดี Strawberry Cheesecake เสิร์ฟบนโคนวานิลลา เพิ่มเท็กซ์เจอร์ด้วยเนื้อชีสเค้กให้เคี้ยวสนุก ได้รสนิ่มนวลของสตรอว์เบอร์รีชีสเค้กแท้ๆ แต่อยู่ในรูปแบบไอศกรีม ต่อด้วยเมนูอิ่มท้อง Chili Paste with Flossy Pork and Croissant คือครัวซองต์ที่มีไอศกรีมพริกเผาหมูหยองด้านใน ได้กลิ่นและรสเผ็ดจากพริกเผาหมูหยองชัดเจน เป็นเมนูที่ผสมผสานอาหารคาวกับของหวานได้ลงตัวสุดๆ นอกเหนือจากไอศกรีมทางร้านยังมีเครื่องดื่มให้เลือกอีกมากมาย เริ่มด้วยเมนูแนะนำอย่าง Dirty Relief เมนูที่ได้แรงบันดาลใจจากคนไม่ชอบดื่มกาแฟ ปรับสูตรให้ดื่มง่าย เพิ่มความพิเศษด้วยนมสูตรพิเศษของร้าน ได้รสชาตินวลๆ จากนม หวานน้อยและไม่เข้มจนเกินไป มีกลิ่นขนมชั้นเบาๆ คนไม่ชอบกาแฟก็สามารถดื่มได้ ถัดมาเป็น Momo Ginger Bistre กาแฟพีชรสเข้มข้น มีความซ่าสดชื่นจากขิงนิดๆ ได้กลิ่นพีชและขิงชัดเจน ยิ่งกิน ยิ่งหอม ปิดท้ายด้วยความสดชื่นจาก Flower After Sunset ชาเอิร์ลเกรย์กับไซรัปราสป์เบอร์รี เมนูม็อกเทลที่ได้แรงบันดาลใจจากสีสันบนท้องฟ้ายามพระอาทิตย์ตก เหมือนได้ดื่มด่ำรสชาติที่ใช่และพร้อมเริ่มวันใหม่ไปกับแก้วนี้

ไม่ว่าจะเป็นสายกิน สายชิล หรือสายแฮงก์เอาต์ยามค่ำคืน ร้าน Donna Cafe & Bistro ก็เป็นจุดนัดพบที่ตอบโจทย์ ด้วยตัวร้านบรรยากาศสบายๆ ตกแต่งออกมาได้สวยงามเรียบง่ายสไตล์สแกนดิเนเวียน และเมนูอาหารเครื่องดื่มที่เสิร์ฟกันตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน รับรองว่าถูกใจนักกินนักดื่มอย่างแน่นอน ตัวร้านแบ่งเป็นโซน Indoor ที่เลือกใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้  เก้าอี้หวาย เน้นโทนสีน้ำตาลและครีมชวนอบอุ่น โดยมีไฮไลต์เป็นมุมเรือนกระจกรับแสงธรรมชาติ ทำให้ร้านดูโปร่งโล่ง สบายตา และโซน Outdoor ล้อมรอบด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ช่วยเพิ่มความสดชื่นและสีสันให้กับร้านได้ดีทีเดียว เรียกน้ำย่อยด้วย Fried Pineapple (79.-) ที่นำแป้งกล้วยทอด มาคลุกเคล้ากับสับปะรดคัดพิเศษ ทอดจนเป็นสีน้ำตาลสวย กรอบนอกหวานฉ่ำด้านใน กินแล้วสดชื่น แนะนำให้จับคู่กับ Caramel Latte (80-.) เครื่องดื่มรสนวลละมุนลิ้น จากเมล็ดกาแฟ House Blend คั่วกลาง ผสมผสานความหวานจากคาราเมล กลมกล่อมลงตัว ต่อด้วย Chef Burger (149.-) เบอร์เกอร์แป้งหนานุ่ม ที่ฉ่ำไปด้วยซอสบาร์บีคิวสูตรพิเศษของทางร้าน เข้ากันดีกับเนื้อหมูบดชิ้นโต ชีส และเห็ดแชมปิญอง เคียงมากับมันฝรั่งอบ กินเพลิน หรือจะเลือกเป็น Spaghetti Sweet Sauce with Shrimp (149.-) เส้นสปาเก็ตตี้เหนียวนุ่มผัดคลุกเคล้ามากับซอสพริกหวานที่ผสมมากับเครื่องเทศหลากชนิด ท็อปด้วยกุ้งเนื้อสดเด้ง รสเข้มข้นกลมกล่อม

Charlotte Doughnuts คาเฟ่โดนัทที่กำลังเป็นกระแสในตอนนี้ ถูกเนรมิตขึ้นจากความชอบและความหลงไหลในขนมหวานของคุณ “พลอย” เจ้าของร้านโดนัทจากหาดใหญ่สู่การขยายสาขา 2 ใจกลางกรุงย่านสุขุมวิท โดยการนำสิ่งที่เธอชอบบวกกับความตั้งใจคัดสรรวัตถุดิบเกรดพรีเมียม เพื่อให้ได้โดนัทอย่างที่ใจต้องการ โดนัททุกชิ้นใช้แป้งที่นำเข้าจากฝรั่งเศส เป็นแป้งไม่ขัดขาว จุดเด่นคือมีเนื้อที่เบา เหนียวปลายเล็กน้อย แต่ไม่หนักท้องและมีรสหวานน้อยไม่เลี่ยน ทำให้โดนัทที่ทำออกมาไม่เคยพอต่อความต้องการของลูกค้า ทุกออร์เดอร์จึงสดใหม่อยู่เสมอ ที่สำคัญไม่แต่งกลิ่นและไม่ใส่สารกันเสีย ทุกขั้นตอนเป็นโฮมเมดที่คุณพลอยออกไอเดียแต่งหน้าโดนัทและรสชาติแต่ละเมนูเอง ส่วนสไตล์การตกแต่งร้านมาจากความชอบเช่นกัน ได้แรงบันดาลใจจากฝรั่งเศส ราวกับยกร้านจากปารีสมาไว้ที่กรุงเทพเลย ชิ้นแรกที่กินคือ Raspberry Rose เนื้อโดนัทนุ่ม ข้างในเป็นไส้ราสป์เบอร์รีแท้ๆ ให้รสเปรี้ยวกำลังดี ถัดมาเป็น Blueberry Cheese Pie ไส้บลูเบอร์รีแท้ เคลือบครีมชีสสูตรเฉพาะของร้าน ท็อปด้วยบลูเบอร์รีสด ลองสั่งชาร้อน English Breakfast มาตัดรสกับโดนัท เข้ากันสุดๆ ต่อด้วย Strawberry Pie ข้างบนเป็นครีมที่ร้านตีสดโดยใช้ฝักวานิลลาแท้ไม่แต่งกลิ่น โรยด้วยครัมเบิลอบเอง ตัดรสด้วยซอสสตรอว์เบอร์รีโฮมเมดที่ทำสดใหม่ทุกเช้า และเมนูใหม่อย่าง Hokkaido Milk อร่อยจนขายดีแซงพี่ๆ ข้างในเป็นครีมนมฮอกไกโดแท้ มีรสหวานน้อย หอมกลิ่นนมฮอกไกโดชัดเจน แนะนำให้สั่ง Red Velvet สีแดงสดใส ท็อปด้วยครีมชีสอย่างดี รสเข้มข้น อร่อยมาก อีกชิ้นที่อยากแนะนำเป็น Nutella Almond หวานกำลังดีเลย เติมความสดชื่นด้วย Fresh Pure Orange Juice น้ำส้มคั้นสด ได้รสชาติน้ำส้มแท้ เพราะทางร้านไม่ได้ผสมอะไรเพิ่มเติม เครื่องดื่มอีกเมนูคือ Crème Brûlée Milk ข้างบนเป็นน้ำตาลไหม้ ข้างล่างใส่บุกให้เคี้ยวหนุบหนับ กลิ่นหอมนม รสละมุนละไม กินพร้อมกันทั้งหมดอร่อยมาก ยกให้ทุกเมนูเป็นซิกเนเจอร์ของร้านเลย

คนเมืองต้องชอบ Symmetry BKK คาเฟ่เปิดใหม่ใจกลางเหม่งจ๋าย ซึ่งนับว่าเป็นร้านที่มีความสมดุลสมชื่อจริงๆ ด้วยความครบครันทั้งเครื่องดื่ม อาหารคาว และขนมหวาน ที่เสิร์ฟในสไตล์ออสเตรเลียนบรันซ์เมนู กินคู่กาแฟได้อย่างลงตัวสุดๆ เหมาะสำหรับคนตื่นเช้าที่อยากหาอะไรรองท้อง เพื่อเพิ่มพลังก่อนเข้าทำงาน หรือมานั่งรับประทานอาหารกับครอบครัวและเพื่อนฝูงก็ได้เช่นกัน Symmetry BKK เป็นคาเฟ่ในเครือ Flow coffee Roasters แบรนด์โรงคั่วกาแฟชั้นนำที่ดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2010 ภายในร้านตกแต่งสไตล์มินิมอล เน้นโทนสีไม้สร้างความอบอุ่นผสมความดิบด้วยเพดานสูงเปลือยฝ้า มีกระจกล้อมรอบ ดูโปร่งโล่งสบายตา เริ่มกันที่ซิกเนเจอร์อย่าง Dirty Drip รสเข้มข้น หอมมัน จากนมเย็นๆ ใส่เอสเปรสโซ โดยใช้เมล็ดกาแฟของตัวเองมารังสรรค์กลิ่นและรสชาติให้เป็นเอกลักษณ์ได้อย่างชัดเจน ต่อมาเป็น Scrambled Eggs & Smoked Salmon ขนมปังบริออชที่นุ่มละมุน ด้านในเป็นไข่คนและแซลมอนรมควัน อร่อยกลมกล่อม Big Breakfast จัดจานอย่างอลังการเต็มอิ่มด้วยไข่ ไส้กรอก ขนมปังซาวร์โด เห็ด เบคอนและผัก ใครที่ชอบชาเขียวต้องลอง Iced Marukyu Koyamaen Kyoto Uji Matcha ชานำเข้าจากเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น กลิ่นหอม หวานไม่มากและไม่ขมมัตฉะ เราแนะนำเมนู Truffle Cheese Toast เสิร์ฟคู่เฟรนช์ฟรายส์ จิ้มซอสมะเขือเทศกับซอสทรัฟเฟิล รสชาติออกเค็มนิดๆ หอมชีสและทรัฟเฟิล ยกให้เป็นหนึ่งในเมนูที่ต้องสั่งกับ Spaghetti Cream Ebiko สปาเกตตีครีมไข่กุ้ง กุ้งตัวใหญ่มาก รสกลมกล่อมให้ความรู้สึกครีมมี่ ถัดมาคือ Capellini Chili and Salt Sausage คาเปลลินีผัดพริกเกลือกับไส้กรอกแสนอร่อย ได้รสเผ็ดนิดๆที่ปลายลิ้น นอกจากกาแฟแล้วก็มี Non-Coffee ด้วย Mixed Berry Yuzu รสชาติเปรี้ยวซ่า ช่วยเติมความสดชื่นได้ดีจริงๆ

เป็นกระแสอย่างต่อเนื่องกับขนมเปี๊ยะบ้านบ้าน ที่ล่าสุดได้รังสรรค์คาเฟ่ธีมวันพีซ การ์ตูนดังระดับตำนานในโปรเจ็กต์ Baanban X One Piece Film Red Collection ช่วยสร้างรอยยิ้มให้เหล่าสาวกวันพีซอย่างท่วมท้น โดยการนำของโปรดของ 3 ตัวละครมาทำเป็นไส้ขนมเปี๊ยะ ภายในร้านเป็นสีแดงสไตล์ One Piece Film Red ตกแต่งด้วยโปสเตอร์ สติ๊กเกอร์ตัวละครในวันพีซอย่างน่ารัก ไม่ว่ามุมไหนก็ถ่ายรูปสวยอย่างแน่นอน เริ่มด้วยกล่องสมบัติสุดอลังการ ขนมเปี๊ยะ 9 ชิ้น มีแรงค์กิ้งการ์ดให้สุ่มสะสม 15 คาแรกเตอร์ ตัวแรกที่อยากแนะนำคือ ขนมเปี๊ยะลูฟี่ ไส้ไก่ย่างบาร์บีคิวอัดแน่น กลิ่นซอสบาร์บีคิวตลบอบอวลอยู่ในปาก รสชาติเข้มข้นถึงใจมาก มาต่อกันที่ ขนมเปี๊ยะแชงค์ส เพราะตัวละครแชงค์สชอบพบปะสังสรรค์ จึงนำไอเดียนี้มาสร้างเป็นรสรัมเรซิ่น รสเปรี้ยวหวานกำลังดี มีลูกเกดให้เคี้ยวหนุบหนับ แฟนคลับแชงค์สต้องชอบอย่างแน่นอน ปิดท้ายด้วย ขนมเปี๊ยะอุตะ สาวหวานสุดน่ารักมาคู่กับไส้พีชชีสเค้ก เคลือบช็อกโกแลตสีชมพูขาว รสหวานกลิ่นละมุนสุดๆ สำหรับเครื่องดื่มเป็น บัตเตอร์เบียร์ เมนูไร้แอลกอฮอล์ที่รสนุ่มนวล หวานหอมมันกำลังดี ดื่มแล้วเหมือนกำลังสังสรรค์กับเหล่าโจรสลัดในเรื่องเลย แฟนพันธุ์แท้ที่อยากตามล่าหาสมบัติ ทางร้านมีสินค้าพรีเมียมให้สะสมอีก 3 ไอเท็ม ทั้ง เทียนหอม 3 กลิ่น 1. Luffy Greenery Olive 2. Uta Pinky Peony 3. Shanks Gentle Woody ส่วนใครที่ชอบศิลปะต้องมีสติ๊กเกอร์ คาแรกเตอร์ สุดเท่ห์ ที่พิเศษไปกว่านั้นคือ สมาร์ทโฟน วอลเปเปอร์ มีคาแรกเตอร์ ให้เลือกถึง 14 ตัว นำไปเปลี่ยนหน้าจอตามใจชอบได้เลย ของสะสมทุกอย่างเป็นลิขสิทธิ์แท้ ไม่มีจำหน่าย อยากได้ต้องมา Baanban Cafe ที่เดียวเท่านั้น  

ผ่อนคลายสบายใจ เหมือนได้ไปพักผ่อนต่างจังหวัด สำหรับ GLIG Cafe คาเฟ่บรรยากาศอบอุ่นแห่งใหม่ใจกลางสุขุมวิท ที่ใครผ่านมาจะต้องสะดุดตากับหน้าร้านโทนสีครีมและน้ำตาล สไตล์ Glass House ล้อมรอบด้วยสวนดอกไม้ ไม่ว่าจะแชะภาพมุมไหนก็สวยงามทั้งสิ้น ชื่อร้าน GLIG  ย่อมาจากคำว่า Good Luck I Guess ซึ่งหมายถึงความโชคดี เป็นเหตุผลให้เห็นใบโคฟเวอร์ 4 แฉกที่เป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีอยู่ทั่วบริเวณร้าน โดยภายในเลือกใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้หลากหลายรูปแบบ ชวนให้รู้สึกอบอุ่นและเรียบง่ายในคราวเดียวกัน ตัวเมนูเน้นเสิร์ฟเป็นเบเกอรี่โฮมเมดอบสดใหม่ ส่งกลิ่นหอมเตะจมูกตั้งแต่เดินเข้าร้านอาทิ  Brioche Bun with Butter (85.-) บริยอชที่เสิร์ฟมาในหน้าตาแบบแซนด์วิชสอดไส้เนยสไลซ์นำเข้าจากฝรั่งเศส หอมอร่อย อิ่มสบายท้อง Choux Cream (85.-) ชูซ์ครีมโฮมเมดแป้งบางกรอบ สอดไส้ครีมนุ่มเบา รสหวานน้อย มีให้เลือกถึง 4 รสชาติ ทั้ง รสเก็กฮวย รสคัสตาร์ดวานิลลา รสช็อกโกแลตเฮเซลนัต และรสมัตฉะ เข้มข้นมัตฉะแท้จากญี่ปุ่น ต่อด้วยเครื่องดื่มซิกเนเจอร์อย่าง Glig Espresso (140.-) ที่นำนมสดไปปั่นเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ออนท็อปด้วยเอสเปรสโซช็อต หวานปนขม ดื่มแล้วสดชื่นละมุนลิ้น หรือจะเลือกเป็น Dirty (120.-) รสเข้มข้นจากเอสเปรสโซช็อตของเมล็ดกาแฟ House Blend คั่วกลาง ตัดด้วยความนุ่มนวลหอมมันของนมสดแช่เย็น รสกลมกล่อมลงตัว

อีกหนึ่งพิกัดสำหรับคอกาแฟ The Old School Specialty Coffee & Patisserie คาเฟ่เมืองนนท์ฯ ที่ใส่ใจตั้งแต่กระบวนการคัดเมล็ด กรรมวิธีการชง อุปกรณ์ที่ใช้ จนส่งมาถึงมือผู้ดื่ม ด้วยเมล็ดเฮ้าส์เบลนด์ที่มีให้เลือกถึง 3 รสชาติ ได้แก่ Old School Blend กาแฟรสเข้ม แต่ไม่เปรี้ยวและไม่ขมจนเกินไป ส่วน First Time Blend กาแฟโทนบลูเบอรี่ เหมาะกับคนที่กำลังมองหากาแฟรสชาติใหม่ ๆ และสุดท้ายคือ Seasonal Blend ที่ให้รสชาติออกผลไม้ เปรี้ยวชัดเจน เมนูแรกที่ต้องลองคือ Americano กาแฟดำคลาสสิคเสิร์ฟมาในแก้วทรงทิวลิป และเมนูใหม่ล่าสุด Young Lady ให้ความสดชื่นด้วยเมล็ด First Time Blend ให้รสเปรี้ยวอมหวานผสมผสานความซาบซ่าจากโซดา และขาดไม่ได้กับกาแฟแห่งยุค Dirty ที่มากับสูตรพิเศษแทรกด้วยเลเยอร์ของยูริมัทฉะ ให้รสชาติและความหอมตลบอบอวลอยู่ในปาก ด้านเบเกอรี่ก็อร่อยไม่แพ้กัน นำมาจับคู่กับกาแฟแก้วโปรดด้วยขนมหวานขายดี Strawberry Croffle กรอบนอกนุ่มใน ราดด้วยแยมสตรอว์เบอร์รี ทำสดใหม่ชิ้นต่อชิ้น หรือไม่ก็ Yuzu Tart ก็เป็นตัวเลือกน่าลองด้วยรสชาติเปรี้ยวนำ หอมกลิ่นของยูซุที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อีกหนึ่งเมนูที่สาวกช็อกโกแลตต้องชอบ Old School Secret ดาร์กช็อกโกแลตเข้มข้น ไม่หวานมาก ตัดรสชาติด้วยความเปรี้ยวสดชื่นของแยมราสป์เบอร์รี ปิดท้ายด้วยเมนู Non Coffee อย่าง Emotion น้ำลิ้นจี่ผสมโซดา รสเปรี้ยวซ่า หอมกลิ่นกุหลาบ ที่ดื่มแล้วสดชื่นสุดๆ สำหรับพื้นที่นั่งพักผ่อนมีให้เลือก 3โซน ทั้งห้องแอร์ โซนสวนอังกฤษ และโซนน้ำตกสุดร่มรื่น ตอบโจทย์สายคาเฟ่อย่างแน่นอน สำหรับใครที่ติดใจขนมหวาน สามารถเดินชมครัวเบเกอรี่ได้ด้วย แอบกระซิบ ทางร้านจะมีดอกกุหลาบหลากหลายสายพันธุ์มาวางขายในทุกวันอังคารด้วยนะ

เนรมิตมื้อเช้าให้อร่อยและดีต่อสุขภาพ ด้วยเนยถั่วอัลมอนด์โฮมเมดจากร้าน Can you nut.bkk  ที่ทำจากอัลมอนด์นำเข้าจากอเมริกา และเกลือหิมาลัยสีชมพู อีกทั้งยังไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน น้ำตาล และวัตถุกันเสีย โดยมีให้เลือกจับจองด้วยกัน 2 รสชาติ   Original Crunchy เนยถั่วรสธรรมชาติที่มีให้เลือกทั้งแบบเนื้อเนียนละเอียดและเนื้อหยาบ รสนี้เป็นการผสมของอัลมอนด์และเกลือหิมาลัยเท่านั้น หอมมันเข้มข้น จะรับประทานเปล่าๆ หรือจับคู่กับขนมปังก็อร่อยทั้งสอง     Chocolate Crunchy เนยถั่วอัลมอนด์ช็อกโกแลตเนื้อหยาบ ที่มีส่วนผสมของผงโกโก้เข้มข้น อัลมอนด์และเกลือหิมาลัย เสริมความหวานเบาๆ ด้วยน้ำตาลมะพร้าวออร์แกนิก กินแล้วได้สัมผัสกรุบกรอบจากอัลมอนด์ อร่อยเพลิน  

กลายเป็นอีกพิกัดแห่งการพักผ่อนหย่อนใจไปพร้อม ๆ กับการเติมกระเพาะอาหารให้เต็มอิ่ม เพราะที่ The Tanao Café Bar ซึ่งเนรมิตบ้านหลังเก่าอายุร่วมร้อยปีให้กลายเป็นร้านอาหารกึ่งคาเฟ่อันเงียบสงบและร่มรื่น แวดล้อมไปด้วยสวนสีเขียวชอุ่มและต้นไม้ใหญ่     ถึงแม้ว่าบรรยากาศจะย้อนยุค แต่ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาว ของหวาน หรือเครื่องดื่ม ต่างเป็นส่วนผสมระหว่างความเป็นไทยชาววังกับอาหารยุคสมัยใหม่ ที่ออกมาอย่างลงตัวชวนให้ประทับใจ     อย่างเช่น เมี่ยงบัวหลวง แบ่งเป็นคำจัดเรียงในจานมาอย่างสวยงาม ความพิเศษคือการหยิบจับเอาหมูแผ่นซึ่งเป็นสินค้าขึ้นชื่อที่อยู่ในย่านเดียวกันมาเพิ่มรสชาติ เสิร์ฟพร้อมน้ำเมี่ยงคำที่โรยหน้าด้วยกุ้งแห้ง ถั่วลิสง และมะพร้าวคั่ว     ข้าวคลุกน้ำพริกลงเรือวังหม่อมเจ้าโกลิต เป็นอีกจานที่ได้รับการถ่ายทอดสูตรน้ำพริกมาจากอาหารชาววังหม่อมเจ้าโกลิต กิติยากร รสชาติถึงพริกถึงขิง กินคู่กับผักสดที่เคียงมารอบจาน     อีกหนึ่งเมนูฟิวชั่นที่น่าลิ้มลองคือ สปาเก็ตตี้สิงห์เหนือเสือใต้ ที่เป็นการจับเอา 2 วัฒนธรรมอาหารการกินของคนไทยจากภาคเหนือ คือ ไส้อั่ว และพริกแกงคั่วกลิ้งจากภาคใต้มารวมไว้ในหนึ่งจาน ได้รสชาติเผ็ดร้อนตามแบบฉบับของพริกแกงใต้ เข้ากันได้อย่างน่าประหลาดใจไปกับไส้อั่วหอมสมุนไพรเต็มปากเต็มคำ     สำหรับของหวาน ที่ร้านก็โดดเด่นด้วยขนมเค้กโฮมเมดหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น บลูเบอร์รี่นิวยอร์กชีสเค้ก สตรอว์เบอร์รี่ชีสเค้กหน้าไหม้ เลมอนทาร์ต เค้กช็อกโกแลต และช็อกโกแลตชิปคุกกี้ ยิ่งดีถ้าได้จับคู่กับเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของร้าน ที่มีให้เลือกทั้ง The Tanao Dirty กาแฟเดอร์ตี้เข้มข้นหอมมันด้วยเมล็ดเฮาส์เบลนด์ เสิร์ฟมาในแก้วลายสวยงาม     หรือจะเป็นกาแฟเพิ่มความชื่นใจอย่าง Iced Sugarcane Americano ที่จับเอาน้ำอ้อยสดมาเพิ่มความหวานสดชื่นแซมไปกับความขมของกาแฟที่แสนเข้ากัน ก็ดีไม่น้อย   นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มโซดาที่ไม่ควรพลาด ชื่นชีวา จิบแล้วชื่นชีวาสมชื่อด้วยความกลมกล่อมลงตัวของสมุนไพรหลากชนิด เพราะในแก้วนี้คือการรวมกันระหว่างมะตูม กระเจี๊ยบ และเก๊กฮวย ท็อปด้วยโฟมไข่ขาวและส้ม     นอกจากจะจัดเต็มกับเมนูอาหาร ของหวาน และเครื่องดื่มแล้ว อีกไม่นานนี้ที่นี่กำลังจะเปิดอีกพื้นที่เป็นบาร์ด้วย อีกไม่นานเกินรอที่ The Tanao Café Bar น่าจะมีอะไรสนุก ๆ มาให้สัมผัสกันอีกแน่นอน        

“Be Happy, Be Healthy” แค่สโลแกนก็รู้แล้วว่าเต้าหู้เย็นร้านนี้ดีต่อสุขภาพ เต้าหู้เย็นเป่าปิง ร้านขนมหวานสไตล์ไต้หวันสุดน่ารักของคุณชาตรีและคุณฟ้าที่เพิ่งรีแบรนด์จาก “เต้าหู้เย็นถังยี่” ให้คาแรกเตอร์ร้านทันสมัยถูกใจลูกค้ายิ่งกว่าที่เคย     จุดเด่นของเต้าหู้ร้านนี้คือความนุ่มนิ่มและเด้งดึ๋ง ไม่ใส่สารกันบูด มีให้เลือก 6 รสชาติ คือนมสด ชาเขียว ช็อกโกแลต ชาไทย สตรอว์เบอร์รี และรสเผือก กินคู่กับผลไม้สดและธัญพืช ราดน้ำเชื่อมทำเอง กินเมื่อไรก็ชื่นใจหายร้อน     เริ่มด้วยเมนูสุดป๊อป เต้าหู้เย็นนมสด เต้าหู้เย็นเสิร์ฟพร้อมถั่วเขียว ถั่วแดง ลูกเดือย แตงโม กล้วย และแคนตาลูป      ส่วนใครชอบความหวานฉ่ำ เราแนะนำเต้าหู้เย็นสตรอว์เบอร์รี ล้อมรอบด้วยมะม่วงน้ำดอกไม้สุกตัดรสด้วยซอสเสาวรส รสเปรี้ยวสดชื่น     หรือจะลองเต้าหู้เย็นช็อกโกแลตจับคู่กับกล้วยหอม ราดซอสช็อกโกแลตถูกใจสายช็อกโก้      ปิดท้ายด้วยเต้าหู้เย็นชาไทย เสิร์ฟกับไข่มุก ทาโร่บอล และเผือกบดที่ปั้นเป็นก้อนกลมคล้ายไอศกรีม     ผสมผสานความเป็นไทยกับไต้หวันได้ลงตัวเชียวล่ะ

ที่นี่ต้อนรับเราด้วยประตูสีเขียวสดใส แบบที่ใครเห็นก็ต้องสะดุดตา เมื่อเดินเข้ามาก็จะยิ่งว้าวด้วยแสงไฟนีออนที่ประดับประดาอยู่บนฝาหนัง แม้จะดูแตกต่างแต่ก็เข้ากันได้ดีกับสไตล์การตกแต่งร้านที่โมเดิร์นดูสบายตา เล่นไปกับสีเขียวและชมพูเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งร้าน ให้บรรยากาศราวกับเป็นคาเฟ่ในนิวยอร์กหรือแอลเอเลยทีเดียว           คอนเซปต์ของขนมและเครื่องดื่มที่นี่คือการทองหาสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เริ่มต้นด้วย Nom Yen Brownie ที่เปลี่ยนหน้าตาของบราวน์นี่สีน้ำตาลเข้มแบบเดิม ๆ ให้กลายเป็นบราวน์นี่สีชมพูหวานแหวว เข้ากับสีของร้าน       อีกหนึ่งขนมที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือ Milk Tea Cup Cake เปลี่ยนชานมไข่มุกเมนูโปรดใครหลายคนใหม่มาอยู่ในรูปแบบของคัพเค้ก ได้กลิ่นหอมของชานมผ่านตัวครีม     สำหรับเครื่องดื่มของที่นี่ก็ถือว่าแปลกไม่ซ้ำใครเช่นกัน อย่างเช่น M&M Latte ช็อกโกแลตนมเข้มข้นหวานน้อย ดับเบิ้ลไปอีกด้วยช็อกโกแลต M&M บดละเอียดท็อปที่ด้านบน     Oreo Latte เป็นเมนูกาแฟที่เพิ่มความแฟนซีด้วยโอรีโอ้ นอกจากจะได้รสขมของกาแฟแล้วยังได้อีกรสชาติหวานนิด ๆ และสัมผัสกรุบ ๆ จากเนื้อโอรีโอ้มาเสริมความสนุกของแก้วนี้ด้วย     ปิดท้ายด้วยเมนู  Strawberry Dirty สีชมพูเสิร์ฟมาในแก้วแชมเปญ ได้กลิ่นหอมของนมสตรอว์เบอร์รี่แทรกด้วยรสขมจากกาแฟ เมื่อจิบแล้วจะได้ลิ้มรสของสตรอว์เบอร์รี่พาวเดอร์ที่อยู่บริเวณปากแก้วด้วย นับว่าเป็นเมนูเดอร์ตี้แบบใหม่ที่เราไม่เคยลองมาก่อนจริง ๆ     ขอยกให้เป็นหนึ่งในพิกัดที่พลาดไม่ได้ในย่าน BTS พระโขนง หรือในถนนสายสุขุมวิท 71 เลย

ลึกเข้าไปในซอยปุณณวิถี 33 บริเวณมุมที่อยู่สุดถนนคืออาคารที่โดดเด่นด้วยผนังอิฐทาสีขาวโพลน สะดุดตาด้วยหมายเลข 88 ตัวใหญ่เหนือบานประตูไม้สีเข้มที่ดูแปลกตาด้วยลวดลายสลักสุดประณีต     ที่นี่ Ittha Boutique Cafe หรือเรียกสั้น ๆ ว่าอิฏฐา เป็นคาเฟ่น้องใหม่ในย่านปุณณวิถีที่มาพร้อมความโดดเด่นตั้งแต่ภายนอกสู่ภายใน เมื่อก้าวผ่านพ้นบานประตูเข้าไปจะพบกับเคาน์เตอร์และพื้นที่สำหรับนั่งรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม ท่ามกลางการประดับประดาที่ผสมผสานระหว่างเฟอร์นิเจอร์หน้าตาสมัยใหม่กับสถาปัตยกรรมที่อบอวลด้วยกลิ่นอายย้อนยุค ไม่ว่าจะเป็นผนังอิฐเปลือย ราวบันไดเหล็กสีเข้ม หรือซุ้มโค้งของบริเวณชั้นสอง         สำหรับเมนูอาหารและเครื่องดื่มของ Ittha Boutique Cafe นั้น ต้องบอกตรง ๆ ว่าพวกเขาใส่ใจกับรายละเอียดต่าง ๆ อยู่ไม่น้อย และเน้นความเป็น Real Food เช่น นมออร์แกนิกสั่งตรงจากฟาร์มเพื่อความสดใหม่ ไซรัปน้ำตาลอ้อนอินทรีย์โฮมเมดที่ให้สีสันและรสชาติเป็นเอกลักษณ์ ไซรัปวานิลลาที่ทำจากน้ำตาลอ้อยเช่นกันแต่เพิ่มความหอมหวานของวานิลลาจากมาดากัสการ์ รวมไปถึงซอล์ทเท็ดคาราเมลสูตรโฮมเมดที่ได้ความหวานจากน้ำตาลอ้อยเช่นเดียวกันเพิ่มความเค็มนิด ๆ ให้รสชาติกลมกล่อม และวัตถุดิบโฮมเมดอื่น ๆ อีกมากมาย         เริ่มต้นด้วย คอมบูชะ ที่ทางร้านหมักเองและมีโหลโชว์ให้เห็นวุ้นสโคบี้กันตรงเคาน์เตอร์บาร์ รสชาติเปรี้ยวซ่าดื่มง่ายแถมยังมีประโยชน์ต่อร่างกาย ก่อนจะไปต่อกับ Classic Dirty ที่ทางร้านเลือกใช้นมออร์แกนิกผสมกับนมข้นหวานโฮมเมดสูตรเฉพาะ ทำให้ได้กาแฟนมนวล ๆ หอมหวานน่าประทับใจ         สำหรับใครที่อยากได้ความสดชื่นแนะนำในลองซิกเนเจอร์ม็อกเทลของร้านอย่าง Raspberry Rose ที่ให้ความเปรี้ยวอมหวานจากราสป์เบอร์รี่ผสมกับกลิ่นหอมเย้ายวนของดอกกุหลาบ ถ้าอยากได้ความเข้มเพิ่มพลังงานก็สามารถเลือกแบบ black เพิ่มช็อตเอสเปรสโซได้ด้วยเหมือนกัน     มาต่อกันที่เมนูกินจริงจังกันบ้างกับ Classic Toast ที่มีให้เลือก 2 แบบคือโชคุปังและขนมปังซอฟต์คันทรี่ สไลด์เป็นแผ่นและปิ้งพอให้ได้ความกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟพร้อมเนย พีนัทบัตเตอร์ และแยมราสป์เบอร์รี่     เมนู Open Toasted หรือแซนด์วิชหน้าเปิดนั้นมีให้เลือกทั้งคาวและหวาน เช่น Parma and Brie with Raspberry Jam แซนด์วิชหน้าพาร์มาแฮมและบรีชีส ตัดเลี่ยนด้วนความเปรี้ยวจากซอลราสป์เบอร์รี่ และอีกหน้าคือ Raspberry Jam on Cottage Cheese แซนด์วิชโปนหน้าคอตเทจชีสหนา ๆ ราดด้วยแยมราสป์เบอร์รี่ หวานอมเปรี้ยวกินเพลิน       ปิดท้ายด้วย Carrot Cake Muffin ที่ทำจากแป้งออร์แกนิก เพิ่มรสชาติหวานละมุนด้วยซอล์ทเท็ดคาราเมลหอมหวานสูตรลับเฉพาะของร้าน     พื้นที่อีกมุมหนึ่งของร้านคือโชว์รูมของแบรนด์ PHNA ที่ขอบอกเลยว่าจะต้องถูกใจสวรรค์คนชอบเครื่องหอมและสปาอย่างแน่นอน

ใครผ่านมาแถวจังหวัดปทุมธานีแล้วคอแห้ง อยากจิบดริ้งเย็นๆ รสชาติดีเราชี้เป้าร้านนี้เลย INN Box Coffee ร้านกาแฟคุณภาพ แต่ราคาเบาๆ ที่เปิดมาแล้วเกือบปีแห่งโครงการธาราอเวนิว เจ้าของคือ 2 พาร์ทเนอร์ผู้มีใจรักคอฟฟี่อย่างคุณธรรค์และคุณภานุวัฒน์ ที่สานฝันเปิดร้านกาแฟเป็นของตัวเองได้สำเร็จ โดยเลือกจากพื้นที่ใกล้บ้าน (คลอง 4)       INN Box Coffee ชื่อนี้มีที่มาจากรูปทรงของร้านที่เป็นตู้คอนเทนเนอร์สีดำเท่ๆ ร้านกาแฟสไตล์ Grab & Go แต่ก็ยังมีแอเรียให้ลูกค้าเอ็นจอยกับเครื่องดื่มอยู่บ้าง แน่นอนว่าที่นี่เขาใช้เมล็ดกาแฟชั้นดีสัญชาติอิตาลี เซกาเฟรโด ซาเนตติ ที่มีกลิ่นหอม รสเข้มพอเหมาะ คนไม่ดื่มกาแฟก็สามารถลิ้มลองได้ นอกจากนั้นยังมีขนมอบโฮมเมดอย่าง         Strawberry Cheese Pie รสเปรี้ยวอมหวาน ผสานไปกับความมีของครีมชีสชั้นดี มีสัมผัสกรุบกรอบของครัมเบิ้ลเคี้ยวเพลินอีกด้วย     Cocoa Brownies with Nuts นี่เราเลิฟมาก บราวนี่สไตล์โฮมเมด อบสดใหม่วันต่อวัน เนื้อหนึบกำลังดี แถมยังมีความชุ่มฉ่ำ ได้รสช็อกโกแลตเต็มเปา ท็อปด้วยถั่วคุณภาพ     Scone ก็ขายดี ขนมอบคู่ขวัญกับน้ำชาอย่างสคอน เจ้าของร้านลงมือทำเองทุกเช้า เนื้อนุ่มแน่น หอมกลิ่นเนย เคล้าไปกับผลไม้แห้งต่างๆ อุ่นร้อนๆ อร่อยเลย     จิบคู่ไปกับ Americano ที่ใช้เมล็ดกาแฟชั้นดีจากแบรนด์ Segafredo Zanetti รสเข้มกำลังดี หรือใครชอบแบบหวานมันเราแนะนำ Caramel Macchiato ได้กลิ่นหอมของคาราเมลที่เรารัก และความนุ่มนวลจากฟองนม       หรือใครไม่ดื่มกาแฟต้องนี่เลย Matcha Latte ผงชาเขียวคุณภาพสายพันธุ์อุจิ มิ๊กไปกับนมสดชั้นดี ด้านบนไปฟองนมนุ่มๆ รวมแล้วเป็นรสชาติหอมมัน ละมุนลงตัว     สายกาแฟคนไหนสนใจ เซกาเฟรโด ซาเนตติ ตามไปซื้อที่เพจ Segafredo Zanetti ช็อปปี้หรือลาซาด้า ได้เลย

คอกาแฟอย่าพลาดโฉมใหม่ของ “C.P.S. COFFEE” ซอยสุขุมวิท 53 แฟล็กชิปสโตร์เรียบเท่กับคอนเซ็ปต์ Modern Timeless ที่คุณโต-ศุภรัตน์ ชินะถาวร นักออกแบบชื่อดังนำเอกลักษณ์ของแบรนด์มาตีความผ่านงานดีไซน์           ตัวร้านโดดเด่นด้วยกำแพงสีขาวที่จะเปลี่ยนโทนสีตามการหักเหของแสง ส่วนด้านในใช้วัสดุและสีสันตามระดับความเข้มของกาแฟที่มีทั้งคั่วอ่อน คั่วกลาง คั่วเข้ม และสีของครีม่านุ่มนวลบนแก้วกาแฟ อีกทั้งยังมีโซน Pet Friendly เพื่อคนรักน้องหมาน้องแมวอีกด้วย             ไม่ใช่แค่บรรยากาศพิเศษเท่านั้น แต่เมนูยังน่าสนใจ โดยเฉพาะเมนูเดอร์ตี้ในธีม Dirty Parade ช็อตเอสเพรสโซ่เข้มข้นและนมเย็นฉ่ำที่เก็บในอุณหภูมิไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส อาทิ  Caramel Dirty, Hazelnut Dirty, Chai Dirty, Toffeenut Dirty, Thai Style Dirty, Bon Bon Dirty, Strawberry Dream Dirty ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีเมล็ดกาแฟคัดพิเศษสำหรับคอกาแฟโดยเฉพาะอย่าง Blend Black : 19-0915 เมล็ดกาแฟอาราบิก้าจากเชียงรายและเมล็ดกาแฟจากดอยช้างที่เสิร์ฟแบบคั่วเข้ม หอมกลิ่นบราวน์ชูการ์และช็อกโกแลต หอมหวานเหมือนมาร์ชเมลโล่           เมนูสำหรับจับคู่กาแฟก็มีทั้งคาว-หวาน อาทิ  Margherita Pizza แป้งพิซซ่าแบบนุ่มชูรสด้วยซอสมะเขือเทศสูตรพิเศษ โรยหน้าด้วยมอสซาเรลลาชีส พาเมซานชีส ออริกาโน และใบเบซิล รวมถึงไฮไลต์อย่างเมนูเบอร์เกอร์ที่เลือกได้ทั้งเนื้อวัวและเนื้อหมูให้อร่อยเต็มคำ รวมถึงเบเกอรี่อย่างโครนัท ครัวซองต์ หรือเค้กก็มีให้เลือกอย่างจุใจเลยทีเดียว     ในทุกๆ เดือน C.P.S. COFFEE จะมีบาริสต้าฝีมือดีแวะเวียนมารังสรรค์เมนูพิเศษให้ได้ตื่นเต้นกันด้วย แบบนี้ต้องแวะไปบ่อยๆ แล้ว

ถ้าพูดถึงคอร์นด็อกหรือฮอตด็อกสัญชาติเกาหลี ที่กินแล้วได้ฟีลเหมือนยกร้านมาจากฮงแด เราขอชี้เป้า Myungrang Sidae คาเฟ่ที่ชูฮอตด็อกไซส์บิ๊กเป็นไฮไลท์ เห็นครั้งแรกแล้วแอบกังวลว่าจะกินไม่หมด แต่พอลองคำแรกเท่านั้น เผลอเดี๋ยวเดียวหมด 3 ไม้แบบงงๆ         ต้นเหตุกินเพลินมาจากความลงตัวของรสชาติและเนื้อสัมผัสที่ทำออกมาได้เข้ากันไปหมด ไม่ว่าจะเป็นแป้งสูตรพิเศษส่งตรงจากเกาหลี พันกับไส้กรอกและชีส ทอดเพียง 4 นาทีครึ่งก็ได้แป้งกรอบนอกหนึบใน ไม่อมน้ำมัน มีรสหวานในตัว กินแป้งอย่างเดียวยังฟิน แต่ถ้ากินพร้อมกันทั้งแป้งหนึบๆ ชีสเยิ้มๆ และไส้กรอกก็ยิ่งเคี้ยวเพลินในคำเดียว         แนะนำ Myungrang Hot Dog สูตรต้นตำรับที่เปิดโอกาสให้เราสัมผัสรสชาติของไส้กรอกพันแป้งที่เรียบง่าย กินหมดไม่ต้องพึ่งซอสช่วยเพิ่มรส     ถัดมาเป็น Potato All Mozzarella ชิ้นนี้มีชีสเป็นไฮไลท์ กัดแล้วดึงได้ยืดจนเกือบสุดแขน เคี้ยวฟินหอมกลิ่นชีสในปาก เพิ่มเทกเจอร์กรุบกรอบของมันฝรั่ง  ถ้าไม่จุใจสั่ง Mozzarella Cheddar Hot Dog ที่มีทั้งไส้กรอกและชีสให้ละเลียดไปพร้อมกัน       ปิดท้ายด้วย Squid Ink Half Mozzarella Hot Dog ผสมหมึกดำในแป้งพันชีสเยิ้มๆ กินตอนร้อนๆ อร่อยที่สุด แต่ถ้าใครอยากจะซื้อติดมือกลับบ้านก็ไม่ติด ก่อนกินหยิบมาอุ่นในไอโครเวฟเล็กน้อยก็อร่อยเหมือนกินที่ร้าน     ที่นี่ยังมีบิงซูจับคู่กับคอร์นด็อก กินแล้วเหมือนเขาเกิดมาคู่กันจริงๆ เวลากัดคอร์นด็อกนุ่มๆ หนึบๆ เข้าปาก แล้วสลับกับปุยน้ำแข็งนุ่มเนียนราวหิมะที่ทั้งหวาน ฉ่ำ ตามด้วยเปรี้ยวสดชื่น นาทีนั้นเอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม     นี่ขนาดอยู่ไทย ยังได้ฟีลเกาหลี๊เกาหลี!

ปกติเราก็ปลื้มโดนัทเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่พอได้พบ Holy Donut ร้านโดนัทเปิดใหม่แถวสวนหลวงสแควร์ อีกทั้งยังเป็นโดนัทสัญชาติโปแลนด์ที่เราไม่เคยลิ้มลองรสชาติมาก่อน โอกาสดีๆ แบบนี้จึงต้องขอลองชิมสักหน่อย     Holy Donut เป็นร้านที่หาง่ายมาก เพราะโดดเด่นด้วยสีชมพูสดใสมองเห็นมาแต่ไกล หน้าร้านจัดวางโต๊ะเก้าอี้ลวดลายขาวดำเก๋ๆ ให้นั่งชิลกินขนมได้ เพราะในร้านไซส์มินิมีที่นั่งสำหรับ Take Away เท่านั้น โดนัทนี้ความจริงมีชื่อว่า paczki (พอนสกี) เป็นขนมประจำชาติโปแลนด์ที่มีประวัติยาวนานกว่า 500 ปี ความแตกต่างจากโดนัททั่วไปคือเนื้อโดนัทจะเป็นเนื้อขนมปังที่นุ่มแน่นกว่าโดนัทที่เราเคยกิน ซึ่งส่วนใหญ่จะมีเนื้อเบาและนุ่มฟู เนื่องจากอดีตโปแลนด์เป็นประเทศที่เผชิญสงครามอยู่บ่อยครั้ง ทำให้ชาวโปแลนด์ต้องการอาหารที่เพิ่มพลังงาน หนักท้อง และเพื่อเพิ่มอรรถรสในการกินจึงมีการใส่ไส้เข้าไปด้วย ซึ่งต้นตำรับของพอนสกีโปแลนด์จะเน้นไส้ผลไม้เป็นหลัก       ส่วนคนรักโดนัทชาวไทยนอกจากจะได้กินพอนสกีต้นตำรับ ยังมีไส้ที่ออกแบบมาให้ถูกปากคนไทยอีกด้วย รวมทั้งหมดมีมากถึง 9 ไส้ อาทิ Strawberry แป้งนุ่มเคี้ยวหนึบนิดๆ ไม่อมน้ำมัน สอดไส้สตรอว์เบอร์รีที่ทางร้านกวนเอง เนื้อสัมผัสเข้มข้นไม่ไหลเยิ้มเพราะใช้สตรอว์เบอร์รีเยอะมาก  รสเปรี้ยวอมหวาน เคี้ยวพร้อมกันกับแป้งรสชาติลงตัวพอดี     อีกชิ้นที่ต้องแนะนำคือ Apple Pie โดนัทไส้แอปเปิ้ลกวนกับซินเนมอน เคี้ยวฟินไม่แพ้ชิ้นแรก     และ Krem Mleczny ไส้ครีมนม รสชาติพิเศษที่ทางร้านครีเอทเอง เป็นการดัดแปลงรสชาติให้ใกล้เคียงกับลูกอมรสนมยอดนิยมของโปแลนด์ ชนิดที่คนโปแลนด์แท้ๆ มากินแล้วยังทึ่งว่าเหมือนมาก       ยกให้เป็นเดอะมัสต์สำหรับคนรักโดนัทเลยล่ะ

ใครอยากเช็คอินคาเฟ่เก๋ๆ พร้อมกับจิบเครื่องดื่มแก้วโปรดไปด้วย แต่ก็แอบกังวลเรื่องรอบเอว แนะนำ Mamemi (มามีมี่)คาเฟ่นมถั่วเหลืองที่อร่อยและดีต่อสุขภาพ เจ้าของร้านนำสูตรลับของครอบครัวที่คั้นกันสดๆ เข้มข้น หอมมันไม่เหมือนใคร เน้นรสหวานกำลังดี ทำให้ดื่มได้เรื่อยๆ คนไม่ชอบนมถั่วเหลืองยังต้องเปลี่ยนใจ       ล่าสุดเปิดสาขาใหม่ที่ MBK Center ชั้น G สาขานี้มีพื้นที่ให้นั่งชิลสบายๆ พร้อมยกขบวนขนมและเครื่องดื่มมาเต็มพิกัด ไม่ว่าจะเป็นนมถั่วเหลืองที่มีให้เลือก 5 รสชาติ ได้แก่ สูตรต้นตำรับ, งาดำ, ขิง, ชาไทย และช็อกโกแลต เราลองแล้วทุกรส อร่อยครบไม่มีตกหล่น       ตามด้วยเมนูขายดี พุดดิ้งนมถั่วเหลือง พุดดิ้งเนื้อเด้งดึ๋ง ละลายในปาก มีให้เลือก 6 รสชาติ ได้แก่ ซอสคาราเมล, ซอสงาดำคั่วหอม, มินต์ช็อก, ดับเบิ้ลช็อกโกแลต, มัทฉะถั่วแดง และใหม่สุดคือรสมะม่วง รสเปรี้ยวอมหวาน ขายดิบขายดีไม่ทันถึงบ่ายก็ขายหมดแล้ว     อีกเมนูอยากให้ลองคือสมูทตี้ผลไม้ แปลกใหม่ไม่เหมือนใครเพราะใช้นมถั่วเหลืองปั่นผสมกับผลไม้รสเปรี้ยวอย่างมะม่วง สตรอว์เบอร์รี เสาวรส ล่าสุดออกเมนูใหม่สมูทตี้นมถั่วเหลืองปั่นกับเนื้อทุเรียน รสละมุนดื่มเพลินจนหยดสุดท้าย       ยังมีน้ำสมุนไพรน่าลิ้มลองอย่างน้ำมะตูมผสมบุกใส, น้ำกระเจี๊ยบว่านหางจระเข้, น้ำเก็กฮวยผสมวุ้นน้ำผึ้ง และน้ำตะไคร้ผสมว่านหางจระเข้     อย่าลืมสั่งปาท่องโก๋หรือเบเกอรี่มาเป็นเพื่อนซี๊ความอร่อยด้วยล่ะ      

ชวนเหล่าคาเฟ่ฮอปเปอร์ ไปเติมความสุข ความอบอุ่นใจที่ Paris Mei คาเฟ่แห่งใหม่ ย่านสุขุมวิท ที่ตกแต่งร้านออกมาได้น่ารักเตะตาใครหลายคน โดดเด่นด้วยบรรยากาศร้านสบายๆ ฟีลโฮมมี ที่สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับเจ้าของร้านได้อย่างเป็นกันเอง       ตัวร้านตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาลเหลืองเป็นหลัก โดยมีกิมมิกอย่างตะกร้าสานแขวนเรียงรายอยู่หน้าร้าน และม้านั่งตัวเล็กสำหรับใครที่อยากถ่ายรูป เมื่อเดินเข้าไปด้านในจะพบกับ ครัวแบบเปิด เคาน์เตอร์และโต๊ะไม้เพียงแค่ 2 ตัว ที่ต้องจองล่วงหน้าเท่านั้น เพราะทางร้านงดวอล์กอิน เพื่อให้ลูกค้าได้ดื่มด่ำกับอาหารและบรรยากาศได้อย่างเต็มที่       ในส่วนของอาหารเน้นเสิร์ฟเป็น บรันช์แบบโฮมเมดสไตล์ฝรั่งเศส และชาออร์แกนิกกว่า 10 ชนิด โดยมีการสลับเปลี่ยนเมนูกันไป เพื่อให้ลูกค้าได้ลิ้มลองกันแบบไม่จำเจ อาทิ Jambon Beurre (190.-) ขนมปังบาแกตต์โฮมเมดสอดไส้เนยจืดฝรั่งเศส และปารีสแฮมเย็นๆ กินพร้อมกันแล้วรสชาติกลมกล่อม เค็มมันนัว จับคู่กับ Litchi Organic Tea (150.-) ชาเชียวออร์แกนิกชั้นดีจากเชียงใหม่ ที่เบลนด์โดยชาวฝรั่งเศส หอมกลิ่นลิ้นจี่เบาๆ จิบเพลินเป็นที่สุด       ต่อด้วย Red Dots (350.-) สลัดมะเขือเทศที่นำมะเขือเทศกรอบสดใหม่ 3 ชนิด คือ มะเขือเทศเชอร์รี มะเขือเทศเบอร์รี และมะเขือเทศเบอร์รีเหลือง มาคลุกเคล้าน้ำสลัด กินพร้อมบูราต้าชีสชั้นดีจากอิตาลี หอมมันนัว กินแล้วสดชื่น     ใครอยากอิ่มท้องเราแนะนำ Couple Set (285.-) ที่เสิร์ฟมาในกระทะร้อน ประกอบไปด้วย ไส้กรอกหมูชิ้นโตย่างมาหอมกรอบ ไข่ดาว และถั่วขาวในซอสมะเขือเทศ จับคู่กับขนมปังซาวร์โดที่มาพร้อมเนย แยมพีช และแยมสตรอว์เบอร์รี       Granola Yogurt Strawberry (295.-) ถ้วยนี้อัดแน่นไปด้วยกราโนลาชั้นดีแบรนด์ Emilee ของคุณเม เจ้าของร้าน เป็นกราโนลาสไตล์ฝรั่งเศสที่เลือกผสมแต่วัตถุดิบนำเข้า กินพร้อมโยเกิร์ตรสธรรมชาติ และสตรอว์เบอร์รีอเมริกา รสเปรี้ยวอมหวาน