Divana Signature Cafe คาเฟ่ที่เหมาะแก่การชวนเพื่อนหรือคนรู้ใจมานั่งจิบชา ปล่อยใจไปกับบรรยากาศสุดโรแมนติกที่ประดับประดาด้วยซุ้มดอกไม้สไตล์อังกฤษ มาพร้อมกับกลิ่นละมุนชวนฝันด้วยเครื่องหอมในเครือ Divana พาให้รู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในสปาหรู แม้จะอยู่กลางเซ็นทรัลเวิลด์ก็ตาม เมนูดาวเด่นของดีวาน่าคงหนีไม่พ้นเซ็ต Afternoon Tea อย่าง Signature High Tea Sets ชุดน้ำชายามบ่ายอันสวยหรูที่ได้แรงบันดาลใจในการรังสรรค์กลิ่นและรสชาติของชาร้อนจากผลิตภัณฑ์ในเครือ Divana ซึ่งมีด้วยกันถึง 5 รสให้เลือกได้ตามความชอบ เราเลือก White Orchid น้ำชารสนุ่มนวล ได้กลิ่นหอมของกล้วยไม้ขาว เสิร์ฟคู่ขนมไทย 10 ชนิด กินคู่กันอร่อยลงตัว สำหรับเมนูอาหารก็มีให้เลือกหลากหลาย อาทิ Salmon Teriyaki สเต๊กปลาแซลมอนย่างจนหนังกรอบ เผยให้เห็นเนื้ออมชมพูที่สุกกำลังดี เคียงมาด้วยสลัดและผักย่าง ก่อนลงมืออย่าลืมราดซอสเทอริยากิเพิ่มรสชาติให้อร่อยกลมกล่อม อีกหนึ่งเมนูแนะนำเป็น Arrabiata with Crispy Pork Pasta พาสตาซอสอาราเบียตา ท็อปด้วยหมูกรอบไซส์จัมโบ้ ที่ช่วยเพิ่มเท็กซ์เจอร์และรสชาติให้จานนี้ได้ดีทีเดียว เติมพลังจนอิ่มหนำ พร้อมเดินชอปปิงต่อแล้ว

คาเฟ่สุดคิวท์ที่ซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านย่านพัฒนาการ บรรยากาศอบอุ่นสไตล์โฮมมี่ แบ่งพื้นที่เป็น 2 โซน ได้แก่ โซนอินดอร์ ซึ่งเป็นด่านแรกของร้านเพราะเป็นที่ตั้งบาร์เครื่องดื่มและขนมให้เราเลือกเมนูอร่อยก่อนไปหามุมนั่งที่ถูกใจ เราชอบมู้ดแอนด์โทนในร้านที่ค่อนข้างซอฟท์ ละมุนสบายตา ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้และของประดับตกแต่งที่เป็นกิมมิกอยู่ทั่วร้านก็มาในโทนสีเบจจับคู่กับสีขาวได้อย่างลงตัว ร่วมด้วยแสงสว่างที่ส่องผ่านกระจกยิ่งเพิ่มความสว่างสดใสสบายตามากยิ่งขึ้น โซนอินดอร์ที่ว่าน่ารักชวนนั่งแล้ว โซนเอาท์ดอร์ก็จัดได้เก๋ไก๋ไม่แพ้กัน โดยปรับลานบ้านเดิมปูด้วยหินกรวดแล้วจัดวางเก้าอี้ดีไซน์แปลกตาไว้ให้ผู้มาเยือนได้นั่งเอกเขนก หรือจะเลือกนั่งริมบ่อปลาคราฟที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้อายุหลายสิบปีก็เพลินใจ ลืมเรื่องวุ่นวายในแต่ละวันไปเลย อีกทั้งไม่ต้องห่วงว่านั่งด้านนอกจะเหงื่อตกเพราะมีพัดลมตัวใหญ่ช่วยคลายร้อน นั่งจิบชากาแฟชิลๆ จะมีอะไรดีกว่านี้ บรรยากาศดี เมนูก็ดีไม่น้อยหน้า แม้จะมีให้เลือกไม่มาก แต่คัดมาแล้วเฉพาะตัวท็อปที่เจ้าของร้านทำเอง ทำไปขายไป ออกจากเตาอบก็แทบจะยกเสิร์ฟถึงโต๊ะ สดๆ ใหม่ๆ ดีต่อใจแน่นอน  อาทิ Mix Berries Creamcheese ฐานครัมเบิ้ลเนื้อนุ่มนวลไม่แห้งแข็ง รสเค็มๆ หวานๆ ส่วนครีมชีสผสมกับวิปครีมเพิ่มความนุ่มละมุนแบบคูณสอง สลับด้วยชั้นของซอสมิกซ์เบอร์รีที่กวนใหม่สดทุกวัน ด้านบนตกแต่งด้วยเบอร์รีหลากชนิด Blueberries Creamcheese เปลี่ยนจากเบอร์รี่รวมมาเป็นบลูเบอร์รี่เพียวๆ เปรี้ยวฉ่ำลิ้น ฟินไม่แพ้กัน 2 เมนูนี้เป็นเมนูขายดี เพราะนอกจากมีรสชาติถูกปากแล้ว ยังทำออกมาเป็นถ้วยเล็กๆ ห่อกระดาษสีหวานจุ๋มจิ๋ม แค่เห็นก็ใจละลาย จากนั้นเตรียมกดไลค์ให้รัวๆ กับ Coconut Tart ทางร้านเลือกมะพร้าวอ่อนเนื้อนิ่มนวลและหอมหวานมาทำไส้ ที่สำคัญใส่มาให้เต็มที่ไม่มีหวง ท็อปด้วยวิปครีมแล้วเสริมทัพด้วยซอสมะพร้าวที่มีเนื้อมะพร้าวอีกพูนๆ ปิดท้ายด้วย Orange Cake เนื้อเค้กชิฟฟ่อนสลับชั้นด้วยซอสส้ม รสเปรี้ยวอมหวานนิดๆ ตกแต่งด้วยเนื้อส้มฉ่ำๆ อีกครึ่งลูก เป็นเค้กที่เหมาะกินเพิ่มความสดชื่นยามบ่ายที่สุด ส่วนเครื่องดื่มแนะนำ Sparkling Yuzu กาแฟคั่วอ่อนจับคู่กับยูสุที่มีส่วนผสมของแยมยูสุกับไซรัปยูสุ ผสมเลมอนให้รสเปรี้ยวสดชื่น และ Espresso Give me Peach เครื่องดื่มสู้ร้อนที่มีไซรัปพีชกับไซรัปสตรอเบอร์รี่ และโซดา รสเปรี้ยวสดชื่น ละมุนลิ้น ละมุนใจแบบนี้ นั่งนานเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ!

บอกต่อพื้นที่แห่งความสุขให้เหล่านักอ่านได้ตามไปเช็คอินที่ ‘Book Circle’ ซึ่งเป็นทั้งร้านหนังสือและคาเฟ่ ในย่านประดิพัทธ์ ภายในอัดแน่นไปด้วยบรรดาหนังสือเก่าและใหม่หลายหมวดหมู่ ให้เลือกซื้อและนั่งอ่านกันได้เพลินๆ โดยมาพร้อมกับสเปซสำหรับนั่งทำงานขนาดย่อม ที่สามารถสั่งอาหารจากร้าน Queen's Eatery คาเฟ่ที่เสิร์ฟสารพัดเมนูคาวหวานสไตล์โฮมมี่ ได้อารมณ์เหมือนกินอาหารฝีมือคุณแม่ มาเอ็นจอยระหว่างการอ่านได้ยาวๆ ตลอดวัน จานโปรดของเรายกให้ ข้าวผัดแกงส้มชะอมกุ้ง (129.-) เครื่องแกงส้มรสเข้มข้นจัดจ้านที่นำไปผัดคลุกเคล้ากับข้าวสวยจนสีสวยเข้ากัน เคียงมาด้วยกุ้งเนื้อเด้ง ไข่ชะอม และผักสด อร่อยกินแล้วอิ่มสบายท้อง ต่อด้วยของหวานอย่าง บลูเบอร์รีชีสพาย (99.-) แครกเกอร์บดกรุบกรอบฉ่ำเนยด้านล่างเข้ากับครีมชีสรสหวานนำเปรี้ยวตามและซอสบลูเบอร์รีด้านบนได้อย่างลงตัว จับคู่กับ สไปรท์บ๊วย (55.-) เครื่องดื่มสุดสดชื่น ซาบซ่าจากน้ำสไปรท์ ที่เพิ่มรสชาติเค็มนิดเปรี้ยวหน่อยจากบ๊วยลงไป กินแล้วชื่นใจเป็นที่สุด นอกจากนี้ยังมีเมนูกินเล่น นักเก็ตและเฟรนช์ฟรายส์ (99.-) ที่ทอดมาได้หอมกรอบ กินไปอ่านไป เพลินสุดๆเลยล่ะ

เพียงแค่ไม่กี่ก้าวจากถนนสุขุมวิท ติดกับสถานีบีทีเอสอ่อนนุช เบื้องหลังกำแพงสีเทาเข้มจากด้านหน้าและรายล้อมไปด้วยกำแพงไม้โดยรอบนั้น เป็นเสมือนแหล่งโอเอซิสในเมืองกรุง ปกคลุมไปด้วยร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ และผืนหญ้าเขียวชอุ่ม พื้นที่สีเขียวแห่งนี้ก่อร่างสร้างตัวและผสมผสานไปด้วยแนวคิด Comfort Food, Friendly Drinks และ Sharing Memory ของโดยนำคอมฟอร์ทฟู้ด หรืออาหารที่คุ้นเคย กับเครื่องดื่มอันหลากหลากหลาย ที่ใคร ๆ ก็สามารถมาเอ็นจอยได้ ไม่ว่าจะเป็นคอกาแฟหรือชอบดื่มชา มานำเสนอไปพร้อม ๆ กับการใช้เวลาท่ามกลางบรรยากาศสบาย ๆ ที่มอบความทรงจำและประสบการณ์ที่ดีติดไม้ติดมือกลับบ้านไปด้วยกัน ไม่ใช่แค่ระหว่างกลุ่มเพื่อน คู่รัก หรือครอบครัวเท่านั้น แต่รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงแสนรักด้วย แน่นอนว่าหัวใจสำคัญคือ การสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง สนุกสนาน ราวกับอยู่ในงานแฟร์ อาหารต่าง ๆ จึงออกมาในรูปแบบของคอมฟอร์ทฟู้ดที่คุ้นหน้าคุ้นตา แต่ก็ไม่เรียบง่ายเสียทีเดียว จนกลายเป็นความแตกต่างที่ไม่มีใครเหมือน เริ่มต้นด้วย Spaghetti Bolognese สปาเกตตีซอสโบโลเนส ได้รสชาติของมะเขือเทศกล่อมกล่อมชัดเจนในแบบฉบับพาสตาโฮมเมด ถัดมาคือ Egg Benedict & Bacon Croffle ครอปเฟิลเนื้อกรอบนอกนุ่มใน ฉ่ำเนย ท็อปด้วยเบค่อนชิ้นกำลังดี และไข่เบเนดิกต์ ราดซอสฮอลันเดส เหมาะจะกินเป็นเมนูเพิ่มพลังงานในช่วงสายของวัน ส่วนของหวานที่ถือเป็นไฮไลต์ของร้าน ต้องยกให้กับ Salted Caramel Macadamia Banana Bundt Cake บันด์เค้กเนื้อแน่น มีรูตรงกลาง ขนาดกระทัดรัดที่รังสรรค์โดย Bake in Yard ที่กินอุ่น ๆ แล้วจะได้ความหอมของกล้วยสอดแทรกไปกับคาราเมลอย่างลงตัว เมนูคลายร้อนอย่างไอศกรีมเอง ถึงจะมีไม่กี่รสชาติแต่ก็ผ่านการคัดสรรมาแล้วจนได้ไอศกรีมคราฟต์รสชาติแปลกใหม่โดย Lyke & Lia ส่งตรงจากจังหวัดเชียงใหม่ แต่ก็ยังเป็นรสที่เข้าใจง่ายอย่าง CCC หรือ Corn Cheddar Cheese ที่ได้ความหอมหวานนุ่มนวล สอดแทรกรสชาติจากเชดดาร์ชีสกับข้าวโพดที่แสนลงตัว Elder Flower Green Tea เครื่องดื่มชาซิกเนเจอร์ของร้านจากการรวมกันของชาเขียว เก๊กฮวย และไซรัปเอลเดอร์ฟลาวเวอร์ ด้านบนเป็นฟองนุ่ม ๆ ที่รวมแล้วออกมาเป็นรสหวานอมเปรี้ยวนิด ๆ จิบได้เรื่อย ๆ เพื่อเพิ่มความสดชื่นในยามบ่าย ส่วนของกาแฟ ที่มาจากพื้นฐานของร้าน Coffeeology และ Coffee 101 การันตีได้ว่าเมนูกาแฟของ The Wood Land นั้นอัดแน่นด้วยเมล็ดกาแฟคุณภาพอย่างแน่นอน White Cloud เป็นเมนูกาแฟแก้วไฮไลต์ของร้าน ที่มาพร้อมกับเมอแรงนุ่ม ๆ บนแก้วก่อร่างเหมือนรูปก้อนเมฆ ลอยอยู่บนกาแฟนมรสชาตินุ่มนวลกลมกล่อม สำหรับเมนูขนมง่าย ๆ ที่กินเมื่อไรก็ได้ แถมกินแล้วเหมือนได้หวนนึกถึงความทรงจำวันเก่า ก็มีเมนู ขนมปังเย็น และ วาฟเฟิลฮ่องกง มาให้กินเพลิน ๆ ได้อารมณ์เหมือนงานแฟร์กลางสวน และหากใครพาน้องหมามาด้วย ก็มีไอศกรีมสำหรับพวกเขาให้กินด้วยเช่นกัน

จากแบรนด์เฟอร์นิเจอร์สุดคลาสสิก Studio 128 แห่ง Crystal Design Center (CDC) สู่ร้านสวยแห่งใหม่ย่านราชพฤกษ์ 128 Craft & Soul ที่สะกดสายตาด้วยอาคารสีเหลืองโดดเด่นตัดกับท้องฟ้า สนามหญ้า และสระบัว มองมุมไหนก็สบายตา เกือบลืมไปเลยว่าเรายังอยู่ในกรุงเทพฯ คุณอ้อและคนรักเล่าว่าตั้งใจออกแบบให้ที่นี่คล้ายชานเมืองของฝรั่งเศส แน่นอนว่าโซฟาตัวนุ่มทั้งหมดมาจากแบรนด์ Studio 128 ของเจ้าตัว  เริ่มต้นมื้อสายด้วย Egg Benedict อิงลิชมัฟฟิน เบคอน และโพชเอ้กราดด้วยซอสฮอลันเดสโฮมเมดรสเปรี้ยวนิดๆ เข้มข้นกลมกล่อม หรือจะรองท้องด้วย Sandwich Ham Cheese ที่ทางร้านใช้โชกุปัง ขนมปังญี่ปุ่นเนื้อสัมผัสเหนียวนุ่มมากริลล์จนหอมเข้ากับแฮมและชีส รวมถึง Almond Croissant ครัวซองต์อัลมอนด์ที่ซ่อนไส้คาราเมลคัสตาร์ดหอมหวานเอาไว้ด้านใน ส่วนเมนูกาแฟ ทางร้านคัดเมล็ดระดับรางวัลจากโรงคั่วที่สนิทกัน อยากให้ลอง Black Orange Yuzu แก้วนี้ใช้กาแฟคั่วอ่อนจับคู่กับเพียวเร่ยูซุสูตรทางร้าน รสชาติสดชื่น ส่วนใครไม่ดื่มกาแฟลองเปลี่ยนเป็น Hot Matcha Latte ที่มาพร้อมกลิ่นหอมๆ ของมัทฉะพรีเมียม หรือ Passion Fruit Soda ที่ใส่เนื้อเสาวรสลงไปให้เคี้ยวสนุกขึ้น จับคู่กับขนมหวานอย่าง Biscoff Cheesecake บิสกิตคาราเมลสุดฮิตอย่าง Biscoff ไปด้วยกันได้ดีกับชีสเค้กเนื้อนุ่มแน่น และ Signature Dark Chocolate Cake เค้กเนื้อแน่นและหนักจากช็อกโกแลตเบลเยี่ยมเข้มข้น ตักเข้าปากแล้วอิ่มเอมหัวใจ

บ้านสวยที่ซ่อนอยู่ในซอยประดิพัทธ์ อดีตคือเรือนพำนักเก่าของจอมพลอากาศฟื้น รณนภากาศ ฤทธาคนี อดีตผู้บัญชาการทหารอากาศและรองนายกรัฐมนตรี และเป็นผู้สถาปนาโรงเรียนนายเรืออากาศ ได้รับการตกแต่งใหม่โดยยังคงโครงสร้างและรูปแบบลักษณะไทยโคโลเนียลดั้งเดิม รวมถึงรายละเอียดอันประณีตงดงามอย่างพื้นปาเกต์ไม้สัก พื้นหินอ่อน กรอบและบานประตูหน้าต่าง เคาน์เตอร์บาร์ที่ยังคงถนอมรักษาไว้อย่างดี และเพิ่มเติมเส้นสายสีทองเพื่อความสง่างามสไตล์อาร์ตเดโค ที่นี่จึงไม่เพียงเป็นจุดหมายของการฝากท้อง แต่ยังเหมาะเป็นจุดนัดพบ นั่งชิล หรือจัดเลี้ยงในหลากหลายรูปแบบ ไม่ต้องกังวลว่าร้านจะแออัดเพราะมีอาณาเขตกว้างขวาง ชั้นล่างจัดวางที่นั่งอย่างเป็นระเบียบ และทิ้งระยะห่างพอสมควร จึงรื่นรมย์กับเมนูอาหารได้อย่างเพลิดเพลินสบายอารมณ์ แต่หากต้องการความเป็นส่วนตัวยิ่งขึ้นพื้นที่ชั้น 2 ของบ้านจะเหมาะมาก โดดเด่นด้วยโต๊ะเก้าอี้ที่มีดีไซน์ไม่ซ้ำไว้หลากหลายมุม ให้ความรู้สึกเหมือนแวะมานั่งเล่นบ้านเพื่อน แต่ก่อนอื่นห้ามพลาดมุมถ่ายรูปมหาชนตรงบันไดพรมแดงด้วยล่ะ หรืออยากนั่งชิลรับลมก็มีโซนคอร์ทยาร์ดใต้ต้นไม้ รวมถึงโซนบัลโคนีบนชั้น 2 ของบ้านที่สามารถจัดปาร์ตี้ย่อมๆ ได้อีกด้วย ทางร้านบริการอาหารนานาชาติ ทั้งคาวและหวาน รวมถึงกาแฟ เครื่องดื่มปั่น ไวน์ เบียร์สด และค็อกเทลต่างๆ เริ่มต้นด้วยซุปทรัฟเฟิล ซุปข้นครีมมี่ หอมกลิ่นทรัฟเฟิลอบอวล เหมาะอุ่นท้องก่อนจานหลัก ต่อด้วย ผัดไทกุ้งแม่น้ำ เส้นจันท์ผัดซอสสูตรลับ ท็อปด้วยกุ้งแม่น้ำขนาดล้นฝ่ามือ เท่านั้นยังไม่พอเพราะเชฟอยากให้กินได้จุใจจึงนำกุ้งมาหั่นเต๋าผัดรวมไปด้วย จะเอาช้อนตักตรงไหนก็ไม่ผิดหวัง ซิกเนเจอร์ห้ามพลาด ขาหมูเยอรมัน ขาหมูไซส์ใหญ่ หนังกรอบเนื้อชุ่มฉ่ำไม่แห้ง เสิร์ฟพร้อมมันบดโฮมเมด แตงดอง และมัสตาร์ด จะชูรสแบบจี๊ดๆ ก็มีน้ำจิ้มซีฟู้ดมาให้ด้วย จบของคาวแล้วต่อด้วยของหวาน อาทิ คาราเมลชีสเค้ก ถ้าคุณคือชีสเลิฟเวอร์ถือว่ามาถูกที่ เพราะดีกรีชีสเข้มข้น รสหวานอมเปรี้ยว กินล้างปากได้แบบสดชื่น ช็อคกาแลตมูส มูสช็อคเนื้อเข้มข้นที่เชฟคิดค้นสูตรโกโก้เบลนด์จนได้บาลานซ์ลงตัว ไม่หวานไปและไม่ขมไป ตัดเลี่ยนด้วยผลสตรอว์เบอร์รี่ลูกโต เรดเวลเวท เมนูที่หลายคนหลงรัก เนื้อเค้กนุ่มเนียนดุจกำมะหยี่ ตกแต่งด้วยบลูเบอร์รี่สลับวิปครีมก้อนกลม ยืนหนึ่งขายดีมายาวนานคือ เค้กมะพร้าว เนื้อเค้กนุ่มเบา มีกลิ่นหอมของน้ำมะพร้าว แซมด้วยกลิ่นใบเตยที่นำมาประดับหน้าเค้ก รสหวานละมุนลงตัวไปหมด เบล 47 ตั้งชื่อตามเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ที่สร้างขึ้นในปี 1946 ด้วยรูปทรงกลมมนคล้ายกับแก้ว เบล47 เป็นส่วนผสมของช็อตกาแฟกับดอกไม้นานาชนิด ได้แก่ เอลเดอร์ฟลาวเวอร์ ฮิบิคัส และมะลิ จึงเป็นกาแฟที่มีความฟรุ้งฟริ้ง หอมเบาๆ เข้มข้นจากกาแฟลาวโบลีเวียนเบลนด์ ต่อกันที่ ลาเต้ เครื่องดื่มสุดฮอตกันบ้าง ในกระบวนการสกัดกาแฟ ขั้นตอนที่ต่างกันเพียงเล็กน้อยก็ส่งผลต่อรสชาติกาแฟที่ต่างกัน แก้วนี้ใช้ช็อตเอสเพรสโซ่ที่สกัดโดยเครื่องชงกาแฟ Flair ซึ่งบาริสต้าสามารถใส่รายละเอียดในขั้นตอนการสกัด และควบคุมอัตราของแรงดันตามความเหมาะสมของเมล็ดกาแฟในแต่ละวัน ทำให้ได้ลาเต้ที่มีมิติของรสชาติ ลองครั้งแรกก็ตกหลุมรักแล้ว กาแฟดริป นอกจากกาแฟจากเครื่องชงเอสเพรสโซ่และเครื่องแฟลร์ ยังมีกาแฟดริปให้ลูกค้าได้เลือกเมล็ดกาแฟสายพันธุ์ดีจากโรงคั่วที่มีชื่อเสียงระดับท็อป ชงด้วยวิธีดริปจากอุปกรณ์ที่เหมาะกับเมล็ดกาแฟนั้นๆ เป็นเมนูที่เหมาะสั่งมาจิบเพลินๆ ได้ทั้งวัน สตรอว์เบอร์รี่ลาเต้ หรือนมสตรอว์เบอร์รี่ เมนูลับของร้านซึ่งเผิน ๆ อาจดูธรรมดา แต่บาริสต้าเป็นผู้พัฒนาสูตรเอง รสชาติหอมหวาน เปรี้ยวปลายลิ้น และยังได้สนุกกับเท็กซ์เจอร์ของเนื้อสตรอว์เบอร์รี่ข้นๆ ด้านล่าง โยเกิร์ตบลูเบอร์รี่ โยเกิร์ตสมูธตี้เป็นอีกหนึ่งเมนูที่ได้รับความนิยม เนื่องจากทางร้านใช้โยเกิร์ตโฮมเมดจากผู้ผลิตที่ใส่ใจในวัตถุดิบและคุณภาพ ไม่มีสารกันเสีย รสอร่อย ดื่มแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ยกให้เป็นจุดหมายของสายกินที่ต้องแวะมาเช็คอินสักครั้ง!

โฮมคาเฟ่สุดมินิมอล ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยสุขุมวิท 64 ไม่ไกลจากสถานีบีทีเอสปุณณวิถี ที่นอกจากจะให้บรรยากาศอบอุ่นเรียบง่ายราวกับหลุดมาจากนิตยสารคินโฟล์กแล้ว ที่นี่ยังจริงจังกับเรื่องอาหารการกินที่ล้วนเป็นเมนูโฮมเมด ดีต่อใจ ดีต่อสุขภาพ นั่งกินได้ตั้งแต่มื้อเช้า สาย บ่าย จรดเย็น ไปพร้อม ๆ กับจิบกาแฟจากเมล็ดกาแฟที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี ที่ยิ่งไปกว่านั้น Lay & Lu ยังเปิดพื้นที่ให้ทุก ๆ คนพาสัตว์เลี้ยงแสนรักของตัวเองมาใช้เวลาผ่อนคลายไปด้วยกัน ในสิ่งแวดล้อมที่ให้ความเป็นกันเองราวกับอยู่บ้าน หรือไม่ก็แวะมาทักทายเจ้า ‘ลูเธอร์’ สุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทริฟเวอร์ เจ้าถิ่นสุดร่าเริงที่มาคอยต้อนรับและสร้างรอยยิ้มตลอดเวลา     กลิ่นอายความอบอุ่นเหมือนบ้าน ยังถ่ายทอดออกมาผ่านเมนูอาหารที่กินแล้วอุ่นใจ เริ่มต้นด้วยจานที่เหมาะกับมื้อเช้าอย่าง Full Breakfast จานใหญ่จัดเต็มแฮมรมควันและไส้กรอกเนื้อหมูล้วน ย่างจนสีสวยส่งกริ่นหอมกรุ่น พร้อมด้วยขนมปังชาวโดวจ์โปะหน้าด้วยไข่ออร์แกนิก 2 ฟอง ที่สามารถเลือกรังสรรค์ออกมาเป็นเมนูไข่แบบต่าง ๆ ได้ทั้งไข่ดาว ไข่คน และออมเล็ต เป็นต้น กินคู่กับมะเขือเทศย่างและเห็ดผัดที่แสนเข้ากัน ถัดมาคือเมนูที่เป็นมิตรกับสุขภาพอย่างสมูทตี้โบลว์ Berry Bomb เย็นสดชื่นสอดแทรกด้วยความเปรี้ยวจากมิกซ์เบอร์รี่ที่ปั่นมาจนเนื้อเนียนละเอียด เสริมด้วยผลไม้สดอย่างสตรอว์เบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ และกล้วยหอม พร้อมกับกราโนล่าเพิ่มสัมผัสกรุบกรอบเคี้ยวเพลินเวลากิน จากนั้นมาต่อกับ Tom Yum Koong Spaghetti พาสตาเส้นสปาเกตตีในซอสต้มยำกุ้ง ได้รสชาติเข้มข้นจัดจ้านสไตล์ไทยเต็มพิกัด อบอวลด้วยกลิ่นสมุนไพรเครื่องต้มยำ มาพร้อมกุ้งเนื้อเด้งและโรยหน้าด้วยไข่กุ้ง ถ้าชื่นชอบพาสตาแบบฟิวชั่นจะไม่ผิดหวังกับจานนี้อย่างแน่นอน ส่วนเมนูของหวานที่ขึ้นชื่อต้องยกให้กับ Crispy Butter Toast โทสต์เนื้อนุ่มกลิ่นหวานหอม สอดแทรกด้วยสัมผัสกรอบ ๆ ที่ได้มาจากตัวคริสปี้ คาราเมล บัตเตอร์ บนตัวขนมปัง และยังทวีคูณความหอมหวานเข้าไปอีกด้วยไอศกรีมวานิลลา ซอสคาราเมล และครัมเบิ้ล ให้กลายเป็นของหวานที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือน สำหรับคอกาแฟที่มองหากาแฟสักแก้วเพื่อเพิ่มพลังระหว่างวัน ที่นี่มีเมล็ดกาแฟ 2 เบลนด์ ได้แก่ Lay ที่เป็นการรวมกันของเมล็ดกาแฟดอยสะเก็ดและเมล็ดกาแฟลาวโบลาเวน (Lao Bolaven Plateau) ที่ให้รสชาติของซีตรัส นัตตี้ และนมช็อกโกแลตคั่ว ในขณะที่อีกเบลนด์นั้นจะเป็นเมล็ดกาแฟจากปางขอนล้วน ๆ ที่ให้รสชาติเหมือนแครนเบอร์รี่ แยมผลไม้ และแคนดี้ สามารถรังสรรค์ออกมาเป็นเมนูกาแฟคลาสสิกได้ตามใจชอบ ส่วนของขนมเค้กที่อวดโฉมชวนน้ำลายสออยู่ในตู้ ก็เป็นเค้กโฮมเมดที่ร้านอบเองด้วย เช่น Red Velvet ชิ้นนี้ที่ให้เนื้อแน่นราวกำมะหยี่ รสหวานละมุนสอดแทรกด้วยครีมชีสเปรี้ยวนิด ๆ กินคู่กับกาแฟสักแก้วก็ดีไม่หยอก

W House Cafe and Greenery คาเฟ่บ้านสีขาวหลังน้อยที่ซุกซ่อนอยู่ในซอยวิภาวดี 62 ที่จะทำให้คุณเอ็นจอยไปกับสารพัดเมนูโฮมเมดรสชาติดีน่าลิ้มลอง ท่ามกลางบรรยากาศอันอบอุ่น เงียบสงบ รายล้อมไปด้วยต้นไม้สีเขียวขจี ภายในตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้เป็นหลักที่ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นสัดส่วน สว่างโปร่งโล่งสบายตาด้วยการเปิดรับแสงธรรมชาติจากทั่วทุกมุมของบ้าน โดยชั้น 2 ยังเปิดเป็น Co-Working Space แบบไพรเวต ตอบโจทย์ชาวออฟฟิศที่มองหาสถานที่นั่งทำงานใหม่ๆ ได้อย่างผ่อนคลาย เริ่มกันที่เครื่องดื่มชวนสดชื่น Americano Orange (95.-) เอสเพรสโซช็อตรสเข้มจากเมล็ดกาแฟคั่วกลาง - เข้มจังหวัดเชียงใหม่ ผสมมากับน้ำส้มสดจากสวนคุณภาพ ดื่มง่ายชื่นใจ หรือจะเลือกเป็น Vanilla Latte (85.-) กาแฟนมที่เติมความหอมหวานด้วยกลิ่นวานิลลา และ Peach Tea (85.-) สีสันสวยงามหวานฉ่ำจากผลพีชสด ดับกระหายคลายร้อนได้เป็นอย่างดี   ไปต่อกันที่เมนูของคาวอิ่มท้อง Spaghetti Truffle Cream Sauce (195.-) เส้นสปาเกตตีเหนียวนุ่มชุ่มฉ่ำไปด้วยซอสทรัฟเฟิลหอมลอยเตะจมูก ท็อปด้วยทรัเฟิลบดละเอียดและชีส นุ่มนวลละมุนลิ้น หรือจะอร่อยแบบไทยๆ ด้วย ข้าวกระดูกหมูพริกแกงใต้ (145.-) พริกแกงใต้รสจัดจ้านผัดคลุกเคล้ามากับกระดูกหมู กินพร้อมข้าวสวยร้อนๆ และไข่เจียวไม่อมน้ำมัน โรตีแกงเขียวหวานไก่ (155.-) เข้มข้นหอมมันจากเครื่องแกงตำเอง ราดบนแป้งโรตีเนื้อนุ่มหนึบกำลังดี เข้ากันอย่างลงตัว ในส่วนของเบเกอรี่ก็มีให้เลือกทั้ง Matoom Cake (95.-) ที่กินแล้วจะได้เทกเจอร์ของเนื้อมะตูมนุ่มหนึบหนับฉ่ำอยู่ในปาก Chocolate Fudge (95.-) หวานมันเข้มข้นรสช็อกโกแลต Vanilla Almond Cake (95.-) เค้กเนื้อนุ่มฟู ท็อปด้วยอัลมอนด์สไลซ์ และสตรอว์เบอร์รีเชื่อม

Unbirthday Cafe คงเป็นคาเฟ่ในดวงใจของใครหลายคนไปแล้ว เพราะด้วยบรรยากาศของร้าน เมนูขนมหวานและเครื่องดื่ม ที่รังสรรค์ออกมาให้เข้ากับเทศกาลต่างๆ ทำให้น่าไปเช็คอินกันอยู่เรื่อยๆ ล่าสุดทางร้านพร้อมส่งความสุขให้เหล่าสาวก Harry Potter ผ่านบรรยากาศงานรื่นเริงของเทศกาล Christmas ภายในร้านใช้โทนสีขาวตัดกับผนังดิบ ดูโปร่งโล่งสบายตาด้วยกระจก พร้อมรับความอบอุ่นจากแสงธรรมชาติที่สาดส่องเข้ามากระทบกับของตกแต่งต่างๆ ทั้งต้นคริสต์มาสและเครื่องประดับระยิบระยับ อีกทั้งยังมีเสียงเพลงบรรเลงเบาๆ ช่วยสร้างมู้ดแอนด์โทนให้รู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ใน Hogwarts Christmas Party สำหรับความสุขของนักกินอย่างเราคงไม่พลาดกับเมนูเบเกอรี่โฮมเมดและเครื่องดื่มแสนอร่อย เริ่มต้นที่เมนูแนะนำอย่าง Banoffee Pie ด้านล่างเป็นโอรีโอ คาราเมล ดาร์กช็อกโกแลต รสชาติเข้มข้น ตรงกลางเป็นกล้วยหอมและวิปครีม ท็อปด้วยมาร์ชแมลโลว์ Snowman กินรวมกันทุกองค์ประกอบอร่อยมาก ถัดมาคือ Festive Ornament Ball มูสเค้กสีแดงสุดครีเอท ที่มาในรูปแบบของลูกบอลประดับตกแต่งต้นคริสต์มาส ส่วนด้านในเป็น Black Forest เค้กเนื้อนุ่ม ได้รสชาติเข้มข้นจากช็อกโกแลต มีความหวานละมุนของวิปครีม และตัดด้วยรสเปรี้ยวของเชอร์รี Ugly Sweater เป็นคุกกี้บัตเตอร์สอดไส้ช็อกโกแลตเข้มข้น ส่วนด้านบนเป็นน้ำตาลฟองดองต์ ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเสื้อ Sweater ของรอน วีสลีย์ ในภาพยนตร์แฮรี่ พอตเตอร์ ส่วนเมนูเครื่องดื่มที่มาแล้วต้องสั่งคือ Unbirthday Iced Chocolate ช็อกโกแลตเย็นสูตรเฉพาะของร้าน แต่งหน้าด้วยมาร์ชแมลโลว์สีชมพูรูปเค้กวันเกิดที่แฮกริดมอบให้แฮรี่ นอกจากจะช่วยเพิ่มสีสันแล้ว ยังเพิ่มเท็กซ์เจอร์ให้เมนูนี้ได้ดีทีเดียว ปิดท้ายด้วยแก้วนี้ Golden Butterbeer ไซรัปนมเนยผสมโซดา ท็อปด้วยวิปครีมและเกล็ดน้ำตาลสีทอง รสชาติหวานซ่าๆ ดื่มจนหมดแก้วก็ไม่เลี่ยน ด้านข้างมีคุกกี้ไม้กายสิทธิ์เคียงมาให้กินคู่กันอร่อยลงตัวมาก ทุกอย่างภายในร้านอบอวลไปด้วยมนต์เสน่ห์ของเทศกาลคริสต์มาสอย่างน่าประทับใจ และสำหรับใครที่ไม่อยากพลาด รีบจดลงลิสต์เพื่อไปเช็คอินส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันเลย เพราะ Unbirthday Cafe จะเปลี่ยนธีมไปเรื่อยๆ ตามเทศกาล มารอลุ้นกันต่อว่าทางร้านจะนำธีมอะไรมาให้ทุกคนได้เพลิดเพลินอีก

ยกให้เป็นพิกัดใหม่ของชาวฝั่งธนฯ ย่านพระราม 2 สำหรับร้าน “แสนเฮง คาเฟ่” ที่เหมาะแก่การแวะมาฝากท้องยามหิวหรือนั่งชิลจิบเครื่องดื่มรสละมุนได้ตลอดวัน โดดเด่นด้วยบรรยากาศการตกแต่งร้านที่ให้กลิ่นอายความเป็นร้านอาหารห้องแถวในประเทศฮ่องกง โดยมีจุดเด่นเป็น Asian Grocery Shop บนชั้นลอย ที่สามารถเลือกช้อปสินค้านำเข้าติดไม้ติดมือกลับบ้านกันได้อีกด้วย  ทางร้านเน้นเสิร์ฟเป็นเมนูอาหารเอเชียนสตรีทฟู้ดรสเข้มข้น รวมถึงขนมหวานและเครื่องดื่มโฮมเมด จากฝีมือของเชฟป๊อป – โรจนพล (เจ้าของร้าน) ผู้ผ่านประสบการณ์ในร้านอาหารหลายรูปแบบมานานกว่า 10 ปี โดยหยิบยกจุดเด่นจากเมนูต่างๆ มานำเสนอในรูปแบบของตัวเองได้อย่างน่าสนใจ เริ่มด้วย Feed Me Comfort Set (589.-) เซ็ตอาหาร 4 เมนูคอมฟอร์ตฟู้ดที่ผ่านการคัดสรรโดยเชฟป๊อป ซึ่งอยากให้คนทานได้สนุกกับรสชาติของอาหารได้อย่างหลากหลาย ประกอบไปด้วย คาลามารี ปลาหมึกชุบแป้งทอดกรอบนอกหนึบใน เสิร์ฟพร้อมเฟรนช์ฟรายส์จิ้มซอสทาร์ทาร์ หมูสับผัดหนำเลี๊ยบ ปรุงรสเค็มมันหอมกลิ่นหนำเลี๊ยบ ผัดเปรี้ยวหวานแบบจีน เครื่องแน่นฉ่ำไปด้วยตัวซอสรสกลมกล่อมหอมกลิ่นคั่วของกระทะ และ ยำแหนมสด รสเปรี้ยวเผ็ดจัดจ้าน โดยมาพร้อมข้าว 1 โถ เหมาะสำหรับ 2-3 คนรับประทาน ต่อกันที่ของหวาน Croffle Mixed Berry (125.-) แป้งครอฟเฟิลหอมกรอบกำลังดีท็อปมาด้วยครีมสดนุ่มละมุน เสริมความเปรี้ยวอมหวานจากสตรอว์เบอร์รี และบลูเบอร์รีสดนำเข้าจากออสเตรเลีย จับคู่กับ Sanheng Espresso (95.-) เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ปั่นผสมเย็น ที่ดื่มแล้วได้ทั้งความมันนัวของนม ความขมของกาแฟ และความเข้มข้นจากโกโก้ กลมกล่อมลงตัว ล้างปากด้วย ไอศกรีมโฮมเมดรสข้าวโพด (50.-) ที่นำซุปข้าวโพดเนื้อเนียนมาราดลงไอศกรีมข้าวโพดโฮมเมด ตบท้ายด้วยตัวซอสคาราเมลหวานมัน เป็นเมนูที่ชาวข้าวโพดเลิฟเวอร์ต้องถูกใจ

จากร้านชำที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบ้านของอาร์ติซานชีสของเมืองไทยในย่านเอกมัย วันนี้ Vivin Grocery ได้เดินทางมาเยือนย่านอโศกกับสาขาที่สอง ณ บริเวณหัวมุมสุดแสนน่ารักและอบอุ่นในซอยสุขุมวิท 19 แน่นอนว่าแนวคิดในการเฟ้นหาและรวบรวมวัตถุดิบคุณภาพจากธรรมชาติในทุกมุมทั่วประเทศไทยก็ยังคงเหนียวแน่นไม่เปลี่ยนแปลง Vivin Grocery - Café Asoke เพิ่มความเป็นคาเฟ่เข้าไปไม่น้อย จึงเหมาะที่จะมาเยือนในช่วงกลางวัน ทำให้ที่นี่มีบรรยากาศที่แตกต่างไปจากสาขาแรกของ Vivin Grocery – Bistro Ekkamai ซึ่งจะเน้นความบิสโทร ที่เหมาะกับการแฮงก์เอ้าท์ยามเย็นมากกว่า แต่ที่ไม่ต่างกันคือบรรดาสินค้าหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่ผักผลไม้ออร์แกนิก ไปจนถึงบรรดาชาร์กูว์ทรี ไส้กรอก ชีส ไปจนถึงผักดอง ที่ล้วนผลิตขึ้นในประเทศไทย และใช้วัตถุดิบไทย เช่น เนื้อหมูไทยและนมวัวไทยมาอวดโฉมกันจนเต็มตู้ คละเคล้าไปกับผลิตภัณฑ์ที่ Vivin Grocery มีส่วนร่วมในการพัฒนาเองด้วย ของในร้านมีเพียงไม่กี่อย่างที่เป็นวัตถุดิบนำเข้ามาจากต่างประเทศ นั่นก็คือ คาร์เวียร์ส่งตรงมาจากทะเลแคสเปี้ยน ประเทศอิหร่าน ถือเป็นอีกไฮไลต์หนึ่งของร้านที่มาพร้อมกับกิจกรรมเวิร์กช็อปชิมคาร์เวียร์ 5 รสชาติที่ร้านแบบพิเศษสุด ๆ ให้กับทุกคนที่สนใจ วัตถุดิบออร์แกนิกและอาร์ติซานที่จำหน่ายอยู่ในร้านทั้งหมดยังอวดโฉมอยู่ในทุกเมนูที่มีในร้านด้วย ตามแนวคิด ‘Shelf to Plate’ เริ่มต้นด้วยเครื่องดื่มหอมหวานสดชื่น Organic Banana & Choconut Smoothie สมูตตี้กล้วยออร์แกนิก สอดแทรกด้วยรสชาติของ Choconut Spread (ที่มีวางจำหน่ายในร้านด้วย) ให้รสชาติหอมหวานกำลังดีจากการผสมผสานของเฮเซลนัต อัลมอนด์ โกโก้ไทย และน้ำหวานดอกมะพร้าว Breakfast Bowl นับเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อยสำหรับการเริ่มต้นวันใหม่แบบชามใหญ่ ๆ ที่อัดแน่นไปด้วยโยเกิร์ตธรรมชาติไขมันต่ำ น้ำตาลน้อย เพิ่มรสชาติและสีสันด้วยผลไม้ตามฤดูกาลทั้งแบบสดและแห้ง ถั่วออร์แกนิก โรยซูเปอร์ฟู้ดอย่างเกสรผึ้งเข้าไปด้วยเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้เต็มร้อย ส่วนเมนูที่โด่งดังที่สุดในร้าน ต้องยกให้กับ Fluffy Omelettes ออมเล็ตร้อน ๆ เนื้อนุ่มฟูเด้งดึ๋ง มีหลากหน้า หลายรสชาติให้เลือกชิม ได้แก่ Three Cheese Fluffy Omelettes ประกอบด้วยชีส 3 อย่างได้แก่ Huay Bong จากเชียงราย กับ Le Doi Pao และ Molene จากเชียงใหม่  และ Chorizo En Manteca Fluffy Omelettes ที่ใส่ไส้กรอกโชริโซ่ในไขมันหมูลงไปในเนื้อไข่นุ่มหอมนี้ด้วย โดยเลือกได้ว่าจะมาพร้อมกับ Sarladaise Potatoes มันฝรั่งหั่นเต๋าผักไขมันและกระเทียม และผักออร์แกนิกย่างนานาชนิดเพื่อเติมเต็มจานนี้ให้อิ่มเอมยิ่งกว่าเดิมหรือไม่ก็ได้ Jambon-Fromage & Egg Sourdough Blini แพนเค้กซาวโดวจ์โฮมเมดอุ่น ๆ เสิร์ฟมาพร้อมกับแฮม ชีส สลัดผักออร์แกนิกสด ผักออร์แกนิกย่าง และไข่ดาวจากไข่ไก่ Free-range   ใครที่เป็นคนรักแซนด์วิชแฮมชีส ต้องลอง 40 CM Jambon-Fromage แซนด์วิชบาแกตต์ปารีเซียงยาว 40 เซนติเมตร สอดไส้แฮมสไตล์ฝรั่งเศสและชีสแข็งแบบสวิส Le Doi Pao จากเชียงใหม่ เสริมรสชาติด้วยเนยฝรั่งเศส AOP และพริกไทยกัมปอต Whole Burrata Salad ชีสบูราต้าลูกใหญ่ขนาด 150 กรัม มาคู่กับสลัดร็อกเก็ตกับน้ำสลัดโฮมเมด และมะเขือเทศเปรี้ยวอมหวานชุ่มฉ่ำลิ้น ให้ความสดชื่นควบคู่กับมื้ออาหารได้อย่างดีเลยทีเดียว Duck Confit Salad สลัดผักกาดออร์แกนิกและผักร็อกเก็ต หัวหอม มัลเบอร์รี่ ในน้ำสลัดคลาสสิคและซอส acidulé mulberry ท็อปด้วยขาเป็ดกงฟีเนื้อนุ่ม อีกจานซิกเนเจอร์ที่พลาดไม่ได้ก็คือ Double Hotdog บริออชสไตล์เวียนนา สอดไส้ด้วยไส้กรอกชิโพลาตาย่างกระทะ 2 ชิ้น พร้อมด้วยหัวหอมคาราเมล ชัทนีย์ มะเขือเทศรมควัน และมัสตาร์ด เคียงมาด้วย Sarladaise Potatoes และสลัดผักออร์แกนิก สำหรับพาสตาโฮมเมดของที่นี่ มีทั้งเส้นและซอสให้เลือกหลายแบบเลยทีเดียว โดยวัตถุดิบเส้นพาสตารังสรรค์โดยฝีมือชาวอิตาลีผู้ใช้ชีวิตอยู่บนเกาะสมุย ทำจากเครื่องอัดรีดทองเหลืองและอบแห้งอย่างช้า ๆ นานถึง 72 ชั่วโมง จนได้เส้นพาสตาที่มีพื้นผิวหยาบ สามารถจับตัวซอสได้ดี โดยมีไฮไลต์เป็นเมนู Syam is Blue Cheese Pasta Sauce พาสตาเส้นปักเกรี (Paccheri) ในซอสที่ทำจากบลูชีสโดย Jartisann พร้อมหัวหอมขาว น้ำมะนาว น้ำมันมะกอก ถั่วแมคคาเดเมียไทย และผักชีฝรั่ง รสชาตินุ่มนวล ให้กลิ่นบลูชีสเพียงบางเบารับประทานง่าย Homemade Beef Pasta Sauce ก็เป็นอีกพาสตาที่ไม่ควรพลาด เพราะนอกจากจะใช้มะเขือเทศออร์แกนิก ผสมผสานกับน้ำมันมะกอกและผักชีฝรั่งสดในการทำซอสแล้ว ยังคัดเลือกเฉพาะเนื้อไทยชาโรเลส์มาปรุง จนได้ความเข้มข้น หอมกลิ่นเนื้อในทุก ๆ คำ ปิดท้ายด้วยของหวานที่เป็นสูตรเฉพาะของ Vivin Grocery ทั้ง 2 เมนู ได้แก่ Egg Custard Classic คัสตาร์ดไข่เนื้อเนียมนุ่มทำจากไข่ไก่ Free-range ด้านล่างเป็นคาราเมลหอม ๆ กลิ่นน้ำตาลไหม้ และ Chocolate Mousse ช็อกโกแลตมูสเนื้อละเอียด รสชาติเข้มข้นแซมเปรี้ยว พร้อมด้วยสัมผัสรสชาติของดอกเกลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยโกโก้ชุมพร 70% จากกาดโกโก้ มาที่นี่แล้วจะได้ดื่มด่ำกับอาหารสดใหม่ ทำจากวัตถุดิบที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างดี ที่เดินทางมาจากทั่วทุกภาคของประเทศไทยในแบบที่ไม่เหมือนที่ใดแน่นอน

หลายวันก่อนขับรถผ่านไปแถวถนนโชคชัย 4 สังเกตเห็นร้าน ดอกท้อ ติ่มซำ ซึ่งเป็นชื่อร้านที่สะดุดตาและจำง่าย จึงกลับไปค้นใน Google พบว่าร้านนี้กำลังโด่งดังในโลกออนไลน์เลยทีเดียว วันต่อมาจึงตัดสินใจไปลิ้มลอง ซึ่งภายในร้านออกแบบอย่างเรียบง่าย เน้นใช้สีขาว ดูสบายตา ส่วนเมนูติ่มซำเป็นสูตรฮ่องกงดั้งเดิม ปั้น นึ่ง สดใหม่ทุกวัน หัวใจหลักอยู่ที่ตัววัตถุดิบคุณภาพ ที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี คำว่า 桃花 (เถาฮวา) หรือดอกท้อ มาจากดอกไม้มงคลที่มีความหมายว่า ความเจริญ มั่งคั่ง และอายุยืนยาว เหมาะสำหรับการตั้งชื่อร้าน พร้อมกับเปิดตัวเมนูแรกด้วย ซิ่วท้อไส้ครีม (29 บาท) ปั้นแป้งเป็นรูปซิ่วท้อ ด้านในสอดไส้ครีม รสชาติหวานเล็กน้อย ส่วนเนื้อแป้งนั้นนุ่มสุดๆ คนรักซาลาเปาต้องลอง เปาไข่เค็มลาวา (32 บาท) แป้งนุ่มๆ ไส้ลาวาเยิ้มๆ เปาไส้ครีมคัสตาร์ด (29 บาท) เนื้อครีมเนียนนุ่ม กลิ่นหอมชวนน่ากิน และ เปาหมูแดงอบน้ำผึ้ง (32 บาท) เนื้อหมูแดงฉ่ำๆ ได้รสหวานและมีกลิ่นหอมจากน้ำผึ้ง ต่อกันที่ จีบกุ้งจักรพรรดิ (69 บาท) ด้านในมีเนื้อกุ้งโอคักชิ้นใหญ่ เคี้ยวหนึบๆ อร่อยมาก ตามด้วย ฮะเก๋ากุ้ง (79 บาท) กินคู่พริกเซี่ยงไฮ้เข้ากันสุดๆ ฝั่นโก๋ (59 บาท) หน้าตาอาจคล้ายฮะเก๋า แต่ก็อร่อยไม่แพ้กันเลย ด้านในของฝั่นโก๋ เป็นไส้กุ้งผัดกับเซเลรี อร่อยกลมกล่อมสุดๆ สาหร่ายห่อกุ้ง (69 บาท) อร่อยทั้งเนื้อกุ้งและน้ำซุป ที่รสชาติกลมกล่อมมาก ขาไก่นึ่งเต้าซี่ (65 บาท) ขาไก่เนื้ออวบอ้วนดูน่ากิน มาพร้อมรสชาติที่เข้มข้น เค็มนิดๆ ได้รสเผ็ดเล็กน้อย อร่อยมาก หมวดของรสแซ่บๆ ก็มี ทั้ง ปลากะพงนึ่งมะนาว (89 บาท) เนื้อปลาสด เสิร์ฟชิ้นใหญ่มาให้ และ กุ้งจักรพรรดินึ่งมะนาว (89 บาท) เนื้อกุ้งสุกกำลังดี มาพร้อมกับรสชาติที่แซ่บถึงใจ ที่ดอกท้อติ่มซำมีเมนูทอดซึ่งอร่อยไม่แพ้กัน เราลอง เผือกทอด (32 บาท) เป็นเผือกผสมกับแป้ง นำไปทอดให้ฟู ส่วนไส้ข้างในรสชาติคล้ายกะหรี่ปั๊บ ซึ่งมีส่วนผสมของผงกะหรี่ กุ้ง หมูและผัก ถัดมาคือ ข้าวเหนียวพุทราทอด (20 บาท) ด้านในเป็นไส้พุทรา ได้กลิ่นหอม มีรสหวานมัน ขนมผักกาดทอด (55 บาท) ประกอบด้วยหมูสามชั้นฮ่องกง กุ้งแห้ง กินคู่กับซีอิ๊วหวาน อร่อยสุดๆ มาต่อกันที่เมนูซิกเนเจอร์ ฮ่อยจ๊อปู (139 บาท) ฮ่อยจ๊อลูกใหญ่ที่อัดแน่นด้วยเนื้อปูเต็มคำ ขนมปังหน้ากุ้ง (109 บาท) มีความกรอบอร่อย ทอดมาแบบไม่อมน้ำมัน กินเพลินสุดๆ ในส่วนของเครื่องดื่ม เราแนะนำ Matcha Latte (110 บาท) หอมกลิ่นชา รสหวานไม่มาก คนรักชาเขียวต้องชอบ เก๊กฮวยเย็น (30 บาท) มีรสหวานน้อย ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น ชุ่มคอ ดับร้อนได้ดีจริงๆ Sakura Blossom (75 บาท) ไซรัปพีชผสมโซดา ได้รสหวานและหอมจากพีช มอบความสดชื่นสุดๆ แก้วสุดท้ายคือเมนูสเปเชียล Doktoh Special Milk Tea (85 บาท) เป็นสูตรเฉพาะของร้าน ใช้ผงชาโฮจิฉะ นำเข้าจากญี่ปุ่น อร่อยกลมกล่อมมาก หากผ่านไปย่านโชคชัย 4 อย่าลืมแวะชิมความอร่อยกันที่ดอกท้อ ติ่มซำนะ

‘เยาวราช’ ถนนแห่งความอร่อยที่ไม่เคยเงียบเหงา และเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของวิถีชีวิตชุมชนคนไทยเชื้อสายจีน โดยร้าน JAO.UN - 早安 คาเฟ่และบาร์แห่งใหม่ในตรอกเจริญชัย 2 นี้ ก็เป็นอีกพิกัดที่จะพาเราย้อนเวลาไปดื่มด่ำกับเครื่องดื่มรสชาติดี ท่ามกลางบรรยากาศสุดคลาสสิกแบบจีนยุคเก่า ร้าน JAO.UN - 早安  ปรับปรุงมาจากโกดังเก็บของในตึกแถวเก่าอายุกว่าร้อยปี ภายในอบอวลไปด้วยความอบอุ่น แฝงกลิ่นอายความเป็นบ้านจีนโบราณจากประตูโทนสีแดง และวงกบหน้าต่างไม้ที่ใครเห็นเป็นต้องสะดุดตา บวกกับผนังเดิมๆ ของบ้านที่ยังคงทิ้งร่องรอยในอดีตเอาไว้ให้เราได้เห็น ยิ่งช่วยเสริมความดิบเท่ และความคลาสสิกให้ที่นี่ขึ้นอีกเป็นเท่าตัว โดยทางร้านเน้นเสิร์ฟเป็นเมนูขนม เครื่องดื่มรสละมุนในเวลากลางวัน ก่อนจะเปลี่ยนมู้ดเป็นบาร์ชิลๆ ในยามค่ำคืน เริ่มด้วย Middle Child (120.-) เครื่องดื่ม Non-Coffee สุดนุ่มนวลจากนมสดเย็นท็อปด้วยไอศกรีมวานิลลา โรยผงโกโก้ หอมมันกินง่าย หรือจะลองเป็น Ice "Cha Manao Dong" (80.-) ชาดำจากน่านผสานมากับน้ำมะนาวสด และไซรัปมะนาวดอง รสชาติเปรี้ยวหวาน ปนเค็มเล็กน้อย ดื่มแล้วสดชื่น ในส่วนของเมนูขนมแนะนำ Bacon Strawberry Mantou (90.-) หมั่นโถวอบร้อน สอดไส้เบคอนย่างกรอบนิดๆ เสริมความหวานด้วยแยมสตรอวเบอร์รีโฮมเมด รสชาติกลมกล่อมเข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ อีกตัวที่อร่อยไม่แพ้กัน Banoffee (95.-) ฐานล่างเป็นแครกเกอร์กรุบกรอบฉ่ำเนย เข้ากับวิปครีม และกล้วยหอมสดคุณภาพดี ราดด้วยซอล์ทเท็ด คาราเมลโฮมเมด หวานเค็มมันกินเพลินสุดๆ

(UN)FASHION DISTRICT S39 ร้านที่นักชอปของวินเทจและนักชิมเมนูอร่อยตั้งตารอ กลับมาเปิดอีกครั้งในซอยสุขุมวิท 39 แทนร้านเดิมย่านเอกมัยอย่าง (UN)FASHION สำหรับตัวร้าน (UN)FASHION DISTRICT S39 ได้ดีไซน์ใหม่ให้ต่างไปจากเดิม แต่ยังคงคอนเซ็ปต์อบอุ่นไว้และแฝงกลิ่นอายบ้านสไตล์ญี่ปุ่นด้วยงานไม้ทั้งภายนอกและภายใน เพื่อเน้นบรรยากาศสบายๆ เรียบง่ายแบบเป็นกันเอง พร้อมทั้งโอบล้อมด้วยต้นไม้และแสงธรรมชาติที่สาดส่องเข้ามากระทบเฟอร์นิเจอร์ ช่วยให้ร้านดูโฮมมี สามารถนั่งชิลๆ ได้ทั้งวัน นอกจากดีไซน์สวยๆ ของตัวร้านแล้ว ภายในยังมี Vintage Store เอาใจสายชอปด้วยของวินเทจนำเข้ามากมายทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า จาน ชาม และช้อนซ้อม หากใครสนใจสามารถซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านได้เลย เมื่อชอปปิงกันพออิ่มหนำ ขอเชิญทุกคนมาอิ่มท้องกันต่อกับเมนูแนะนำ อย่างจานแรกที่ลองคือ Nachos Tortilla Chips มีให้เลือกเป็น หมู ไก่ เนื้อ และอะโวคาโด เราเลือกเป็นหมูผัดกับเครื่องเทศเม็กซิกัน กินคู่แผ่นแป้งทอดกรอบราดชีสมอซซาเรลลา ท็อปด้วยมะเขือเทศ พริกหวาน มะนาว และผักชี ได้รสเค็มๆ ตัดกับความเปรี้ยวหวานเข้ากันอย่างลงตัว เมนูสบายท้องยกให้ Pumpkin Soup ซุปฟักทองเนื้อเนียนละเอียดเข้มข้น ร้านใช้ฟักทองญี่ปุ่นผสมนมนิดๆ เพิ่มความหอมมัน กินตอนร้อนๆ จะได้ความหวานจากฟักทอง และความนัวของนม อร่อยกลมกล่อม เอาใจสายเนื้อด้วย Pork Rib Steak สเต๊กหมูชิ้นโต ราดด้วยซอสเห็ดหอมที่ผสมกับน้ำหมักหมู ผัดเข้าด้วยกันจนได้ซอสรสเข้มข้น เคียงมาด้วยผักโขม เห็ดหอม และมะเขือเทศย่าง สามารถเลือกเครื่องเคียงได้ 1 อย่าง ของเราเป็นขนมปังเนยกระเทียม ซึ่งช่วยชูรสชาติได้ดีจริงๆ มาต่อกันที่เมนูซิกเนเจอร์อย่าง Egg Hamburg แฮมเบิร์กไข่ เนื้อชุ่มฉ่ำ ราดด้วยซอสรสเด็ด เสิร์ฟคู่กับ ไข่ เห็ดหอม ผักโขม และมะเขือเทศ จานนี้สามารถเลือกเครื่องเคียงได้เช่นกัน มีทั้งข้าวญี่ปุ่น ขนมปังเนยกระเทียม สลัด มันบด และเฟรนช์ฟรายส์ สำหรับใครที่อยากมานั่งชิล ทางร้านมีเบเกอรี่โฮมเมดและเครื่องดื่มด้วยนะ เราแนะนำเป็น New York Cheesecake รสหวานนิดๆ ราดด้วยซอสสตรอว์เบอร์รีเปรี้ยวๆ ช่วยตัดเลี่ยนได้ดี กินคู่กับ Yuzu Shakerato กาแฟผสมส้มยูซุ กลิ่นหอมสดชื่นมาก หรือจะลองแก้วนี้ Honey Latte ได้รสและกลิ่นอันหอมหวานจากน้ำผึ้งเบาๆ บอกเลยกินคู่ของหวานฟินสุดๆ ทั้งชอปทั้งฟิน ให้อยู่ทั้งวันก็ยังได้ ไม่แปลกใจสักนิด ทำไมทุกคนถึงตั้งหน้าตั้งตารอการกลับมาของ (UN)FASHION

เพราะคำว่า “มรีจิ” แปลว่า แสงแดด ภายใน Mareeji Café & Casual Dining จึงอุ่นด้วยแสงธรรมชาติที่ลอดผ่านกระจกบานใหญ่ ดึงดูดสายตาด้วยงานไม้เข้ากับเฟอร์นิเจอร์หนังแท้ของสะสมของเจ้าของร้าน รวมถึงแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งสำหรับวางขายสินค้าท้องถิ่น ทั้งเสื้อผ้าจากเชียงใหม่และเครื่องเซรามิกจากลำปาง   หากไม่ได้นั่งสนทนากับคุณณัฐธี วิโรจนาภิรมย์ และคุณกรพินธุ์ โตทับเที่ยง อย่างจริงจัง เราก็แทบเดาไม่ได้เลยว่ามรีจิไม่ใช่แค่ร้านอาหาร แต่เป็นล็อบบี้ของโรงแรมที่ออกแบบเหมือนห้องนั่งเล่น ให้ทุกคนเข้ามานั่งจิบกาแฟ ละเลียดเค้กชิ้นโปรด รวมถึงลิ้มรสเมนูไทยและตะวันตกที่เน้นกลิ่นรสของเครื่องเทศเป็นหลัก เริ่มมื้อนี้ด้วยแกงส้มใต้ปลากะพงยอดมะพร้าว เมนูเปลืองข้าว เนื้อปลากะพงเข้ากับน้ำแกงส้มที่เผ็ดร้อนด้วยพริกแกงจากแดนใต้ เลือกใส่ได้ทั้งยอดมะพร้าวและไหลบัว ต่อด้วยหมูผัดเคยฉลู เนื้อหมูผัดกับเคยฉลูของดีเมืองตรังจนได้รสเข้มข้น ใส่ตะไคร้ซอย หอมแดง และพริก เป็นอีกเมนูที่คนชอบอาหารรสจัดน่าจะถูกใจ เมนูตะวันตก เราแนะนำ Pan Seared Seabass with Spinach, Caramelized onion, Quinua เนื้อปลากะพงจี่บนกระทะให้สุกพอดี เนื้อปลายังชุ่มฉ่ำ เสิร์ฟกับผักโขม หัวหอมคาราเมลไลซ์ และควีนัวให้อิ่มแบบไม่หนักท้องเกินไป คอกาแฟอย่าพลาด Special Menu อย่าง Danica สดชื่นด้วยเลมอน โทนิค แยมยูซุ และเอลเดอฟลาวเวอร์ และ Edam & Eve รสเปรี้ยวอมหวานจากแอปเปิลเขียวและแอปเปิลแดง ใส่สปาร์คกลิงเพิ่มความซาบซ่า ประดับด้วยอบเชยแท่งให้กลิ่นหอม ปิดท้ายมื้อนี้ด้วย Carrot Cake เค้กแครอตฝีมือคุณกรพินธุ์ที่มาพร้อมเนื้อเค้กแน่นๆ และครีมชีสรสเปรี้ยวอมหวาน ตักกินพร้อมกันแล้วลงตัวจนไม่อยากวางช้อน  

สุดสัปดาห์นี้ใครไปเยือนเขาใหญ่ต้องไม่พลาดแวะชิมชาที่ Cha Nhapha Khaoyai ร้านชาสุดคูลที่ผสานงานศิลป์ไว้ในทุกอณู ผลงานการสร้างสรรค์โดยอาจารย์ถาวร โกอุดมวิทย์ ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (ภาพพิมพ์) ประจำปี 2564 ร้านชาแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ของ หน้าผา เขาใหญ่ รีสอร์ต ซึ่งอาจารย์ถาวร ตั้งใจออกแบบพื้นที่เล็กๆ นี้ให้เป็นจุดดึงดูดทุกคนที่เดินผ่าน มีความมินิมอลผสานกับความโฮมมี่จากไม้เก่าและเฟอร์นิเจอร์ที่เคยเป็นเครื่องใช้ในบ้าน นำมาบูรณะซ่อมแซมและอิมโพไวส์ทุกอย่างให้เข้ากันกลายเป็นงานไม้สวยๆ และชั้นโชว์ผลงานศิลปะที่แต่งแต้มร้านให้มีเสน่ห์ยิ่งขึ้น อีกมุมซึ่งเป็นวิวไฮไลต์ของห้อง เบื้องหลังกระจกใสเป็นหน้าผาหินขนาดใหญ่ที่อาจารย์ถาวรแฝงมุมมองและแง่คิดไว้ให้ลูกค้าแต่ละคนได้ตีความ เป็นการผสมผสานและเชื่อมโยงความเป็นยุคหินสู่ยุคเทคโนโลยี โดยเลือกเอาสแตนเลสที่มีความเรียบมัน เงาวาว มาเป็นตัวแทนของเทคโนโลยียุคใหม่ ผสมผสานเข้ากับหน้าผาหินขนาดใหญ่ เป็นเสมือนกระจกสะท้อนสภาวะที่แปรเปลี่ยน เพราะเมื่อเข้าไปยืนดูใกล้ๆ เราจะเห็นความบิดเบี้ยวของหน้าตา ซึ่งจะเชื่อมโยงกับหลักธรรมในพุทธศาสนาที่กล่าวไว้ว่า “ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้แน่นอน” หินที่แข็งแกร่งก็ถูกทำลายได้ และเทคโนโลยีก็จะถูกทำลายเช่นกัน เป็นการสะท้อนความไม่เที่ยงแท้ของตัวตน ดังนั้นห้องนี้จึงเป็นห้องศิลปะที่มีชาอร่อยให้ได้กินดื่มและซึบซับความงามไปพร้อมๆ กัน อีกทั้งอาจารย์ถาวรยังมีแนวคิดให้พื้นที่แห่งนี้เป็นจุดแสดงผลงานให้กับศิลปินหน้าใหม่ที่สามารถแลกเปลี่ยนความรู้ความสนใจซึ่งกันและกันได้ด้วย ซึมซับบรรยากาศร้านกันพอประมาณ มาดื่มด่ำกับขนมและเครื่องดื่มกันต่อ ทางร้านเลือกใช้ชาเขียวมัตฉะคุณภาพดีจากชิซุโอกะ ทำเป็นเครื่องดื่มร้อนและเย็น เลือกได้ทั้งแบบใส่นมและไม่ใส่นม มีไอศกรีมรสชาติดีที่ได้ชิมเป็นต้องติดใจ ทั้งไอศกรีมชาเขียว ไอศกรีมนม ขนมปังโฮมเมดที่หน้าตาดูธรรมดาแต่ชิมแล้วต้องถวิลหา ชีสเค้กเนื้อเนียนครีมมีกำลังดี ทุกเมนูบ่งบอกถึงความใส่ใจตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบ การปรุงอย่างพิถีพิถัน การคัดสรรภาชนะ การเสิร์ฟและการบริการอย่างเอาใจใส่ที่ลูกค้าสามารถสัมผัสได้ อาจารย์ถาวรพูดทิ้งท้ายว่า “ถ้าเราทำอะไรด้วยการใช้ศิลปะเป็นตัวตั้ง ทุกอย่างมันจะงดงาม”  ซึ่งเป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้จากการแวะมา Cha Nhapha Khaoyai ร้านชาสุดคูลแห่งนี้จริงๆ

ใครที่เป็นแฟนคลับร้านโดนัทโฮมเมด So Dough ถึงเวลาไปสัมผัสความอร่อยกันต่อกับ “Ugly Batter” อีกหนึ่งร้านน้องใหม่ในเครือเดียวกันของ คุณหมิว - ศลิษา กรศิลป ที่มาพร้อมบริออชบันเนื้อนุ่มฉ่ำเนย อัดแน่นด้วยครีม และท็อปปิงคุณภาพดี โดยมีให้เลือกอร่อยกว่า 12 รสชาติ ชื่อ Ugly Batter หมายถึง ความเลอะเทอะ ซึ่งคุณหมิวต้องการสื่อถึงความเยิ้มล้นทะลัก ดูไม่สวยงาม ของตัวครีมและท็อปปิงบนตัวขนม อาทิ Strawberry Cream บริออชสอดไส้ครีมวานิลลาบัตเตอร์ ทาด้วยแยมสตรอว์เบอร์รีโฮมเมดรสหวานกลมกล่อม และครีมสด แต่งหน้าด้วยผลสตรอว์เบอร์รี และเนย Caramel Biscoff ยกให้เป็นรสชาติที่จัดเต็มเรื่องความหอมหวาน ด้วยไส้ครีมชีสฟรอสติง มาพร้อมชินนามอนบัตเตอร์สเปรด ครีมมาสคาโปน และโลตัสบิสกิต ปิดท้ายด้วยการราดซอสคาราเมล หวานฉ่ำละมุนลิ้น หรือจะเลือกเป็น Blueberry Cheese Pie หวานมันจากไส้ครีมชีสวิปครีม และซอสบลูเบอร์รี  กินพร้อมบลูเบอรร์รีครีมชีสสเปรดเยิ้มๆ อร่อยลงตัว อีกรสชาติที่พลาดไม่ได้คือ Lemon Rolls กินแล้วจะได้ความเปรี้ยวเบาๆ จากเลมอนเคิร์ดสเปรด และไส้ครีมชีสวิปครีม ตัดกับตัวท็อปปิงวิปครีมน้ำผึ้ง ได้เป็นอย่างดี

สัมผัสความชิลฟีลยุโรปที่ W8 Space คาเฟ่สวยหรูสีขาวครีมที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบ้านในเขตเคนซิงตัน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยนอกจากจะสามารถแวะมาผ่อนคลาย จิบกาแฟแก้วโปรด และอร่อยกับขนมรสละมุนในช่วงกลางวัน ยามค่ำคืนที่นี่ยังถูกเนรมิตให้เป็นสถานที่แฮงก์เอาต์ของเหล่าไวน์เลิฟเวอร์อีกด้วย ภายในเลือกใช้เป็นเฟอร์นิเจอร์หลากสีดีไซน์ร่วมสมัย ซึ่งตัดกับโทนสีของร้านได้อย่างสมบูรณ์แบบ ตกแต่งด้วยขวดไวน์ที่นำมาทำเป็นแจกันใส่ดอกไม้วางไว้ตามมุมต่างๆ ช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาให้กับร้านได้เป็นอย่างดี เริ่มด้วย Bread Custard Pudding (120.-) บริยอชเนื้อนุ่มฉ่ำเนย มาพร้อมครีมคัสตาร์ดที่มีส่วนผสมของฝักวานิลลาแท้หวานหอม ท็อปด้วยครัมเบิลกรุบกรอบ และลูกเกดที่ช่วยเสริมรสชาติให้จานนี้อร่อยกินเพลินยิ่งขึ้น ต่อด้วยเมนูอาหารเช้าสไตล์อังกฤษ Egg & Soldiers (180.-) โดยการนำขนมปังปิ้งที่หั่นเป็นแท่งเรียวยาวไปจุ่มลงบนไข่ลวก กินพร้อมอะโวคาโดสไลซ์ และเบคอนสไตล์อิตาเลียน ในส่วนของเครื่องดื่มต้องลอง Honey Nut Latte (155.-) รสเข้มข้นของเอสเปรสโซช็อตจากเมล็ดกาแฟคั่วกลาง ถูกตัดด้วยความนุ่มนวลจากนมโอ๊ตที่ผสานมากับน้ำผึ้ง หอมหวานกลมกล่อม ถ้าหากอยากเติมความสดชื่นแนะนำ Orange Americano (145.-) กาแฟส้มเมนูสุดโปรดของสาวๆ หลายคน ที่เสริมความซ่าเล็กน้อยด้วยโซดา ดื่มแล้วชื่นใจ

ปัจจุบันมีร้านอาหารและคาเฟ่ที่เน้นเสิร์ฟเมนูบรันช์ทยอยเปิดกันอย่างมากมาย สำหรับ Brunch Paradiso ก็เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่ที่สายบรันช์ไม่ควรพลาด ด้วยความครบครันตอบโจทย์ทุกคนด้วยอาหารและเครื่องดื่มที่หลากหลาย สามารถแวะมาพักผ่อนกับครอบครัว เพื่อน หรือจะนำสัตว์เลี้ยงมาก็ได้ เพราะที่นี่เป็น Pet Friendly ที่พร้อมมอบความสุขให้ทุกคนที่อยากใช้เวลาดีๆ ร่วมกัน Brunch Paradiso เป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม Shama Yen-Akat Bangkok เดินทางสะดวกด้วย MRT ลงสถานีลุมพินี ทางออก 2 ต่อรถแดงหรือมอเตอร์ไซด์รับจ้างมาที่โรงแรม หากนำรถยนต์ส่วนตัวมาก็มีที่จอดได้เพียงพอ ตัวร้านใช้โทนสีเขียวอ่อนตัดกับสีขาวดูแล้วสบายตา เชื่อมโยงด้วยโทนสีเดียวกันบนผนังและกระเบื้องลายรังผึ้ง ได้บรรยากาศอบอุ่นจากแสงธรรมชาติผ่านกระจกบานใหญ่ เพิ่มความเป็นกันเองด้วยเฟอร์นิเจอร์สีสันสดใส และงานศิลปะอาร์ตเวิร์กบนผนัง เริ่มกันที่เมนูบรันช์จานแรกอย่าง Messy Eggs (320 บาท) ด้านล่างเป็นขนมปังซาวร์โด ท็อปด้วยไข่คนราดซอสฮอลลันเดส และกุ้งย่างตัวโต เคียงมาด้วยร็อกเก็ตสลัด ได้รสเปรี้ยวนิดๆ และเผ็ดหน่อยๆ จากผงปาปริกา เอาใจคนรักสุขภาพด้วย DIY Quinoa Salad (250 บาท) ซึ่งประกอบไปด้วยควินัวสีแดงและสีขาว มีเครื่องเคียงเป็นกรีนโอลีฟ แบล็กโอลีฟ ถั่ว อะโวคาโด มะเขือเทศ แตงกวา พริก และผักชี เสิร์ฟมาพร้อมซอสเลมอนออริกาโนสูตรเฉพาะของร้าน แนะนำให้บีบมะนาวก่อนรับประทาน เพื่อเพิ่มความสดชื่น ต่อกันที่ Spaghetti AOP (250 บาท) สปาเก็ตตีผัดพริกแห้ง เส้นเหนียวนุ่มผัดในน้ำมันจากพริกและกระเทียม ปรุงรสด้วยพริกไทยกับเกลือ กินคู่ไส้กรอกหมูคัมเบอร์แลนด์ แบล็กโอลีฟ และมะเขือเทศ มีรสเค็มนิดๆ ได้กลิ่นหอมจากพริกแห้งเต็มคำ อีกหนึ่งเมนูที่อยากแนะนำคือ Zaatar Chicken Bowl (260 บาท) ข้าวญี่ปุ่นท็อปด้วยไก่ย่างเนื้อนุ่ม เสิร์ฟพร้อมผักต่างๆ กับซอสที่ทำมาจากเนื้อและกระดูกไก่ ก่อนกินแนะนำให้ราดซอส รสจะออกหวานนิดๆ ตัดกับรสของไก่ย่างที่หมักเข้าเนื้อ พร้อมกลิ่นหอมจากเตาย่าง อย่าลืมใส่เกาลัดและข้าวโพดหวาน กินภายในคำเดียวอร่อยฟินสุดๆ ในส่วนของเครื่องดื่มเราชอบ Mocha Paradiso (140 บาท) เป็นกาแฟผสมช็อกโกแลต ที่เห็นสีชมพูด้านล่างคือไซรัปราสป์เบอร์รีผสมนม ส่วนด้านบนคือฟองนม โรยด้วยผงราสป์เบอร์รี แนะนำให้คนก่อนดื่ม จะได้รสเข้มข้นของมอคคาตัดกับรสเปรี้ยวนิดๆ ของราสป์เบอร์รีและได้ความนัวของนม อร่อยสุดๆ และเมนูซิกเนเจอร์แก้วนี้ Pink Moon (190 บาท) สมูทตีโยเกิร์ต ได้รสนัวๆ จากส่วนผสมทั้งสตรอว์เบอร์รี มะนาว อะโวคาโด และเมล็ดเจีย ได้รสหวานเล็กน้อยจากไซรัปสตรอว์เบอร์รี ตัดกับความเปรี้ยวของโยเกิร์ต มีความมันๆ นัวๆ ของอะโวคาโด อร่อยกลมกล่อม เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่บรันช์ที่ควรมีไว้ในลิสต์

“Wabi’s Home Café” ร้านขนมปังสไตล์โฮมเมดของเชฟต่าย - ฉัตรวิมล ติยะชัยพานิช ผู้มีใจรักขนมหวานดีกรีศิษย์เก่า Le Cordon Bleu Paris ตัวร้านตั้งอยู่ย่าน ‘เอกมัย’ ใจกลางกรุงฯ บ้านเก่า 10 กว่าปี (อยู่เคียงข้างร้าน A Bowl of Pasta) ที่เชฟต่ายเข้าตาตั้งแต่แรกเห็น เธอรีโนเวทโดยไม่ทิ้งความงามคลาสสิกของบ้านเดิมเสียทั้งหมด ตรงกับปรัชญาของชาวญี่ปุ่น ‘วะบิ ซะบิ’ อันหมายถึง ความเก่าดั้งเดิมที่อยู่ร่วมกับสิ่งใหม่ได้อย่างกลมกลืน ภายในร้านให้มู้ดแอนด์โทนสบายๆ ผสานไปกับความอบอุ่น  ด้านหน้าเป็นบาร์สำหรับสั่งขนมและเครื่องดื่ม มีเคาน์เตอร์ไม้นั่งหันหน้าเข้ากระจกใสบานใหญ่ เห็นวิวสวนสไตล์เซ็นแสนสงบ ในห้องโถงบ้านมีที่นั่งคนรักขนมปังโฮมเมดอีกเพียบ ความโดดเด่นของ Wabi’s Home Café แน่นอนว่าต้องเป็นขนมปัง โดยทางร้านจะเสิร์ฟขนมปังหลักๆ อยู่ 3 สไตล์ อาทิ ขนมปังซาวร์โด โชกุปัง และขนมอบ นอกจากนี้ยังมีเมนูบรันช์น่าหม่ำ และกาแฟที่ทางร้านเบลน์เองเอาใจคอกาแฟอีกด้วย เมนูแรกเราสั่ง Caprese Opend Sandwich แซนด์วิชหน้าเปิดที่คุ้นเคย ขนมปังซาวร์โดสไตล์โฮมเมดเนื้อเหนียวนุ่ม ทาด้วยครีมชีสเพสโตรสหอมมัน หอมกลิ่นสมุนไพรเล็กๆ ท็อปด้วยมะเขือเทศสดและชีสมอซซาเรลล่าสด ใครเป็นสายหวานต้องชอบ Mix Berry Cream Cheese Toast เบอร์รีต่างๆ อาทิ บลูเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี ไปด้วยกันได้ดีกับครีมชีสตีสดรสหวานมัน และขนมปังซาวร์โดทำเอง ยังมีพิสตาชิโอเพิ่มความกรุบกรอบอีกด้วย เอาใจคนรักมื้อเช้าอย่างต่อเนื่องด้วย Toast with Jam/Butter เซ็ตขนมปังปิ้งที่คุณสามารถเลือกชนิดขนมปังได้ตามใจชอบ ครั้งนี้เราเลือก ขนมปังซาวร์โด เมนูซิกเนเจอร์ประจำร้าน ทั้งแบบออริจินอลและมัลติเกรน กินคู่กับแยมและเนยที่ทางร้านทำเองอย่าง แยมตะลิงปิง รสเปรี้ยวสดชื่น และเนยราสป์เบอร์รี รสครีมมีที่แซมด้วยความเปรี้ยวเบาๆ ของผลราสป์เบอร์รี ไปต่อกันเลยกับ Financier Raspberry Pistachio ฟินองเซียเนื้อแน่นนุ่ม ได้สัมผัสกรุบๆ พิสตาชิโอกินอร่อย หอมกลิ่นเนยฟุ้ง ภายในสอดแป้งแยมราสป์เบอร์รีโฮมเมดรสเปรี้ยวอมหวาน  Madeleine Citrus ขนมฝรั่งเศสสุดป๊อปอย่าง มาเดอแลน ก็มา แป้งนุ่มๆ ชุ่มเนย เข้ากันกับเลมอนเคิร์ดรสเปรี้ยวพอดี เครื่องดื่มเราแนะนำ Rose’Es ทางร้านใช้เมล็ดกาแฟเบลนด์ (บราซิล โคลัมเบียและเคนย่า) คั่วกลางโทนฟรุ๊ตตี้ ทำให้ได้รสเข้มกำลังดี หอมกลิ่นกุหลาบฟินๆ ใครไม่ใช่สายกาแฟก็ดื่มได้อย่างสบาย และ Wabi’s sip Dirty ถูกใจคอฟฟี่เลิฟเวอร์มากมาย ช็อตกาแฟเบลนด์ร้อนจี๋ รสเข้มที่ได้จากเมล็ดกาแฟบราซิล โคลัมเบียนและเคนย่า มิ๊กซ์ไปกับนมอินฟิวส์ผิวส้มที่ผสมวิปครีมเย็นเฉียบ โรยด้วยดาร์กช็อกโกแล็ตขูด