ใครเคยติดใจแพนเค้กหนานุ่มสูตรเด็ดของ "IHOP" หรือ International House of Pancakes ร้านอาหารยอดนิยมสำหรับครอบครัวจากแคลิฟอร์เนียที่มีสาขามากมายทั่วโลกไม่ต้องบินไปกินไกลถึงต่างประเทศอีกต่อไป เพราะตอนนี้ IHOP สาขาแรกในเมืองไทยมาเปิดให้ชิมแบบสบายๆ ที่ชั้น G ศูนย์การค้าสยาม พารากอนกันแล้ว     แม้จะเป็นร้านแบบโอเพ่นที่มีที่นั่งไม่มากนักและอาจต้องรอคิวกันสักหน่อย (โดยเฉพาะช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์) แต่ขอบอกว่าความอร่อยคุ้มค่าแก่การรอคอยแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเมนูสุดฮิตอย่างแพนเค้ก วัฟเฟิล เครป เฟรนช์โทสต์ แซนด์วิช ไปจนถึงออมเล็ต สลัด และเครื่องดื่มแสนสดชื่น อาทิ ชา กาแฟ และอิตาเลียนโซดา ซึ่งทุกเมนูใช้วัตถุดิบและส่วนผสมเหมือนกับสาขาออริจินอลทั้งหมด เรียกว่าแฟนคลับ IHOP ฟินกันได้เต็มที่เลยทีเดียว     ถ้าถามว่าเมนูเด่นหลากหลายละลานตาขนาดนี้จะเลือกกินอะไรก่อนดี เราแนะนำซิกเนอเจอร์อย่าง Original Buttermilk แพนเค้กแป้งหนานุ่มชุ่มเนยเป็นเอกลักษณ์ ท็อปด้วยเนยก้อนโตที่ละลายเยิ้มน่ากิน ถ้าแพนเค้กสองชั้นยังไม่สะใจก็สามารถสั่งเพิ่มเป็นทาวเวอร์ได้ตามใจ (เพิ่มชั้นละ 50 บาท) และที่เราชอบมากคือ ซอสราดแพนเค้กที่จัดไว้ประจำโต๊ะให้เลือกรสชาติได้ถึง 4 แบบ ทั้ง Old Fashioned (เมเปิลไซรัป), Blueberry, Strawberry และ Butter Pecan หอมมัน     อีกหนึ่งเมนูเด็ดที่มีเฉพาะสาขาไทยแห่งเดียวในโลกอย่าง Chunky Chocolate แพนเค้กช็อกโกแลตสอดไส้ผงช็อกโกแลตชังค์เข้มข้น ท็อปด้วยไอศกรีมช็อกโกแลตอีกชั้นก็อร่อยไม่แพ้กัน บอกได้คำเดียวว่าสาวกช็อกโกแลต...ฟิน!     ส่วนเมนูอื่นๆ ก็ไม่ธรรมดา ไม่ว่าจะเป็น Banana Strawberry Nutella Waffle เบลเยียมวัฟเฟิลหนานุ่ม(มาก)เพิ่มความอร่อยด้วยกล้วยหอม สตรอว์เบอร์รี ราดนูเทลลาหอมหวาน Berries Crumbles Cream Cheese Crepes เครปแป้งนุ่มบางราดครีมชีสและซอสบลูเบอร์รี โรยครัมเบิลกรุบกรอบ และ Berry Berry Brioche French Toast ขนมปังบริยอชกรอบนอกนุ่มในสไลด์เป็นแผ่นกลม หน้าสตรอว์เบอร์รีสด ราดซอสบลูเบอร์รี ซอสสตรอว์เบอร์รี และวิปครีม         ส่วนใครอยากเริ่มมื้อเช้าด้วยเมนูอาหารคาว ต้องลอง Spinach & Mushroom Omelette ออมเลตผักโขม เห็ดหอม และชีส ราดซอสฮอลันเดซและมะเขือเทศ หรือ Egg Cheese Ham Stack แซนด์วิชไส้แฮมและชีส หน้าไข่ดาวสุกกำลังดี เวลาตัดแล้วไข่แดงไหลเยิ้มลงมาอร่อยสุดๆ อีกหนึ่งเมนูที่มีแค่สาขานี้เท่านั้น ส่วนสายผักต้องลอง Caesar Salad ทีเด็ดอยู่ที่เดรสซิ่งสลัดสุดเข้มข้นไม่เหมือนใคร         แล้วอย่าลืมสั่ง IHOP Splashers อิตาเลียนโซดาซ่าสดชื่นมากินคู่กันตัดความหวาน มีให้เลือกทั้งรสบลูเบอร์รี ราสพ์เบอร์รี แอปเปิลเขียว พิงค์เกรฟฟรุต และทับทิม    

เชื่อว่าคงมีหลายคนคงจำไอศกรีมแซนวิชรูปตัวการ์ตูนสุดน่ารักหนักเครื่องจากร้านเล็กๆ ที่มีชื่อว่า Bonca กันได้ ตอนนี้เรามีข่าวดีมาบอก เพราะตอนนี้คุณสาวๆ และเหล่าสวีทเลิฟเวอร์สามารถมาเก็บภาพสวยได้จุใจได้มากกว่าเก่า ด้วยทำเลและชื่อใหม่ ณ สยามสแควร์ซอย 7 ในตึกสีชมพูของ Matchbox มัลติแบรนด์ที่สโตร์ที่รวบรวมเสื้อผ้าหลากแบรนด์มาให้เลือกซื้อ และแน่นอนบนชั้น 3 ชั้นบนสุดก็เป็นที่ประจำการของ Pinkplanter X Bonca Cafe     แม้การปีนบันไดวนขึ้นไป 3 ชั้น จะทำเอาแก้มแดงมึนหัวอยู่นิดๆ ไม่นับอาการปวดเข่าที่ถามหา (ยังไม่แก่นะ จริงๆ) แต่ขอบอกเลยว่าการลงทุนนี้คุ้มค่าอย่างที่สุด เพราะความมุ้งมิ้งสีชมพู พร้อมด้วยมุมสวยๆ โดยเฉพาะภาพวาดนกฟลามิงโกกำลังรอให้เราไปถ่ายรูปด้วย ที่สำคัญแสงที่นี่เลอค่ามาก เมื่อด้านหนึ่งเป็นกระจกใสที่อนุญาตให้แสงธรรมชาติเข้ามาแบบเนียนๆ แชะภาพตรงไหนแบบไหนก็สวย       ว่าแล้วมาเปิดเมนูกันดีกว่า แก้มแดงขอเริ่มด้วย Teddy Milkshake (145 บาท) นมปั่นผสมไอศกรีมที่มีให้เลือกทั้งหมด 8 รสชาติ เสิร์ฟในขวดแก้วจับเหมาะมือ มาพร้อมข้าวพองรูปหมีสุดน่ารักที่ทำให้เกิดอาการลังเลว่าจะแกะหูหรือตากินก่อนดี (มากินทั้งทีไม่มีคำว่าปราณีค่ะ)     ตามด้วย Smiley in the Bathtub (125 บาท) น้ำแข็งไสนมสดราดด้วยคาราเมลทอปปิงด้วยซีเรียลกรุบกรอบให้อารมณ์เหมือนกินบิงซูขนาดมินิ แต่ก็แอบแฝงความคิวท์ด้วยมาการองรูปสไมลี่รสเลมอนเปรี้ยวนิดๆ มาให้กินตัดรส     หรือจะลองของใหญ่อย่าง Macaron Ice Cream Sandwich (125 บาท) มาการองชิ้นใหญ่ทำเป็นรูปหน้าการ์ตูนตัวโปรดสอดไส้ด้วยไอศกรีม ทอปปิงที่ให้เลือกตามชอบ อย่างแก้มแดงก็ขอเลือกเป็นน้องมินเนี่ยนตาเขหน่อยๆ ทำใจอยู่นานกว่าจะกล้ากิน     หลังจากลองของหนักมาเยอะ ลืมไปว่าที่นี่ก็มีเครื่องดื่มให้สั่งกันด้วย เลยขอปิดท้ายด้วย Peach Soda (95 บาท) โซดารสเปรี้ยวซ่าหอมนิดๆ     กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็นั่งเพลินจนลืมเวลาเลยล่ะ

หยิบจับอะไรก็ดูเซอร์ไพร์สไปเสียหมด เมื่อล่าสุดร้านของหวานขวัญใจมหาชนอย่าง After You เปิดร้านใหม่ในชื่อ After You Durian เอาใจคนไทยและนักท่องเที่ยวที่หลงเสน่ห์ (และเป็นทาส) ราชาแห่งผลไม้กันโดยเฉพาะ ส่วนทำเลนั้นก็ไม่ใกล้ไม่ไกล เพราะติดกับ After You สาขาสยามพารากอน (จุดเดิมที่เคยรอคิวนั่นแหละ)     แน่นอนว่าบรรยากาศภายในยังคงความเป็น After You ที่เราหลงรัก แต่สิ่งที่เพิ่มเติมก็คือ กลิ่นหอมอบอวลที่ช่วยยืนยันว่าทุกเมนูที่ล้วนทำมาจากทุเรียนอย่างแท้จริง ใครที่เคยบ่นอุบหรืออดอยากปากแห้งจากทุเรียน แก้มแดงขอรับประกันว่าโรคนี้จะลาจากคุณไปอย่างถาวร ด้วยเมนูสุดเก๋ที่ผ่านการครีเอตมาอย่างสร้างสรรค์และตั้งใจ เพราะเพียงแค่ยกมาก็ทำให้อยากหยิบมือถือขึ้นมาแชะภาพกันแล้ว     มาวอร์มอัพกันด้วย Durian Crumbstick ไอศกรีมแท่งที่มาในแพ็คเกจสุดน่ารัก แถมยังจำลองพูทุเรียนได้แบบเหมือนเป๊ะ กระทั่งเยื่อขาวๆ ก็ทำมาจากไอศกรีมกะทิ ส่วนรสชาติก็ทุเรี้ยนทุเรียนจ๋า แต่ดีกว่าตรงที่เคี้ยวหนึบ ชื่นใจอย่างที่สุด     แล้วมาเติมความอร่อยกับ Durian Sticky Rice Kakigori น้ำแข็งไสทุเรียนเนื้อเนียนแน่นท็อปปิ้งด้วยครีมกะทิ โรยด้วยอัลมอนด์กรุบกรอบ แต่ทีเด็ดอยู่ที่ข้าวเหนียวทุเรียนที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน แต่ถ้ายังไม่จุใจก็สามารถเติมซอสทุเรียนเพิ่มความเข้มข้นกันได้     อีกหนึ่งไอเท็มเด็ดที่รวมข้าวเหนียวทุเรียนได้อย่างลงตัวคงไม่พ้น Durian Sticky Rice Toast ขนมปังโทสต์เสิร์ฟร้อนๆ พร้อมกิน ท็อปปิ้งด้วยไอศกรีมรสทุเรียน 2 สกู๊ปใหญ่และวิปปิงครีมให้เราตักกินจนฉ่ำใจ ก่อนที่จะไปเจอข้าวเหนียวทุเรียนที่แอบอยู่ในโทสต์ พร้อมด้วยขนมปังปิ้งเนยสดชิ้นเต๋า ยิ่งตักกินก็ยิ่งเพลิน     หลังจากลิ้มลองรสชาติของราชาผลไม้กันมาจนพุงกาง ก็ได้เวลาปิดท้ายกับ Mangosteen Frappe น้ำมังคุดสดปั่น รสหวานอมเปรี้ยวนิดๆ มาตัดรสชาติ ก็นอนอิ่มตาหลับ  

ได้ยินแว่วๆ ว่า 94°Coffee กำลังปรับโฉมใหม่ จากร้านกาแฟธรรมดาให้กลายเป็นคาเฟ่สุดอบอุ่นที่เสิร์ฟทั้งเครื่องดื่ม ขนม และอาหารคาวแบบ Breakfast All Day แถมได้เชฟตูน - ธัชพล ชุมดวง เซเลบริตี้เชฟคนดังมาออกแบบเมนูใหม่ให้อีกด้วย หญิงใหญ่ (ที่กำลังหิวโหย) จึงรับหน้าที่พาไปชิมกันให้ครบทั้ง 5 เมนูที่สาขา Golden Place เลียบทางด่วนรามอินทรา   เริ่มด้วยจานแรก Egg Benedict 94°Coffee อิงลิชมัฟฟินอบใหม่ เลือกได้ระหว่างแซลมอนรมควันหรือพาร์มาแฮม ท็อปด้านบนด้วยโพชเอ้กแล้วราดด้วยซอสฮอลลันเดซสูตรเฉพาะของเชฟตูน ใช้มีดสะกิดเบาๆ ให้ไข่แดงไหลเยิ้ม หญิงใหญ่ชอบแซลมอนรมควันมากกว่านิดหน่อย ส่วนสลัดร็อคเก็ตที่เสิร์ฟมาคู่กันอร่อยมาก ตัดเลี่ยนได้ดี     ต่อด้วยจานที่ 2 Pulled Pork Waffle จานนี้แปลกดี พูลพอร์คหรือสะโพกหมูอบคลุกเคล้ากับซอสบาร์บีคิวให้มีรสเข้มข้น เผ็ด เค็ม หวาน กินคู่กับวัฟเฟิลนุ่มๆ แล้วรสกำลังพอเหมาะ เคียงด้วยโคลสลอว์และโปเตโต้ชิป     จานถัดมาเป็นจานโปรดของหญิงใหญ่ Spicy Salted Egg Carbonara ที่ส่งกลิ่นหอมยวนใจมาตั้งแต่ยังไม่ทันเสิร์ฟถึงโต๊ะ เส้นเฟตตูชินี่ผัดคลุกเคล้ากับซอสไข่เค็ม ได้ทั้งความมัน ความหอมที่ทิ้งอวลอยู่ในปาก ที่สำคัญคือไม่เลี่ยนเพราะแอบมีรสเผ็ดนิดๆ อยู่ด้วย     จบของคาวขอชิมของหวาน Strawberry Croissant Pudding with Madagascar Vanilla Ice Cream สาวๆ น่าจะปลื้มสตรอว์เบอร์รี่แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย ครัวซองต์พุดดิ้งผสมซอสสตรอเบอร์รี่อบร้อนๆ ราดซอสสตรอเบอร์รี่ โปะด้านบนด้วยไอศกรีมวานิลลา       และเมนูสุดท้าย Flourless Chocolate Cake with Madagascar Vanilla Ice Cream เค้กช็อกโกแลตแบบไร้แป้ง โปะไอศกรีมวานิลลาแล้วราดด้วยซอสช็อกโกแลตปิดท้าย  ขอชมว่าทำได้เข้มข้นเหลือเกิน ทั้งขมและหวานในคำเดียว  (นี่เค้กหรือความรัก)     หลังจากชิมจนอิ่มแปล้ สรุปว่าเมนูใหมจากเชฟตูนสร้างความหวือหวาให้ 94°Coffee ได้ดีทีเดียว ใครอ่านแล้วท้องร้องก็แวะไปชิมได้เลยตั้งแต่วันนี้ที่สาขาใกล้บ้านค่ะ  

เป็นชาวอารีย์นี่มีโชค (เรื่องกิน) จริงๆ เมื่อหนึ่งในร้านขนมสุดรักของแก้มแดงอย่าง Fat Beaver ได้กลับมาให้เหล่าแฟนคลับได้ชื่นใจอีกครั้งกับทำเลใหม่ในอารีย์ซอย 1 การกลับมาครั้งนี้เรียกว่าไม่ธรรมดาเสียด้วย เพราะมาพร้อมชื่อสุดเท่ห์ Frank Cake Bar ในป้ายสีชมพูสุดหวานที่ทำเอาอดใจไม่ไหวต้องรีบผลักประตูบานเล็กเข้าไป     คุณดิว เจ้าของร้านคนสวยเล่าให้แก้มแดงฟังว่า การกลับมาคราวนี้เป็นการเริ่มต้นใหม่เกือบทั้งหมด คอนเซปต์ หน้าตาขนม ชื่อร้าน ไปจนถึงทำเล แต่สิ่งที่ยังคงเดิมคือ "ความอร่อย" ที่เกิดจากความตั้งใจและตรงไปตรงมา จนมาจบลงที่ชื่อผู้ชายแมนๆ อย่าง "แฟรงค์" จากนั้นจึงค่อยแต่งเติมความสดใสด้วยสีชมพูอ่อนที่ทำให้ร้านไซส์มินิน่าเอ็นดูขึ้นอีกเท่าตัว       จากร้านที่มีขนาดเล็กถึงเล็กมาก (3 คน ยืนแน่น) ที่นี่จึงสถาปนาตัวเองว่าเป็น Cake Bar ที่มีขนมเค้กชิ้นกะทัดรัดในรูปทรงเหลี่ยมและทรงกลมแพ็คใส่กล่องอย่างดีให้เค้กเลิฟเวอร์พกพากลับบ้านได้อย่างสะดวก แต่ถ้าอยากจิบเครื่องดื่มแล้วล่ะก็ ที่นี่ก็มีกาแฟในรูปแบบ Slow Bar มานำเสนอ โดยใช้เมล็ดกาแฟจากห้วยน้ำดัง จังหวัดเชียงใหม่ และแม่เทย จังหวัดลำพูน มีให้เลือกทั้งแบบดริป ดริปใส่นม และดริปแบบปรุงรส พร้อมด้วย โกโก้ ชา และโซดาแสนอร่อย   เริ่มต้นกันด้วย เค้กที่กำลังฮอตที่สุดอยู่ในตอนนี้ Black Sesame Cake เค้กงาดำที่ได้แรงบันดาลใจจาก "ขนมข้าวโปง" (ขนมไทยที่ทำจากแป้งข้าวเหนียวปั้นเป็นลูกรีๆ สอดไส้ถั่ว คลุกเคล้ากับงา) เค้กชิ้นนี้จึงมาพร้อมรูปลักษณ์สีเทาหม่น โดดเด่นด้วยงาดำที่ผสานในเนื้อเค้กเคี้ยวหนึบ ซุกซ่อนด้วยไส้งารสหวานละมุน ตกแต่งด้วยครีมสดชุดใหญ่เพิ่มความหวานมัน     แต่ถ้าใครว่างาไปไม่สดใสก็ต้อง Red Velvet Cake เค้กเรดเวลเว็ตสีแดงสดเนื้อนุ่มแน่นสลับชั้นด้วยครีมชีสนุ่มๆ รสเปรี้ยวนิดๆ ยิ่งกินยิ่งเพลิน (ตัวโปรดของแก้มแดงเอง) หรือจะลอง Chocolate Trifle ที่นำความอร่อย 3 อย่างมาประสานกัน เค้กช็อกโกแลตไร้แป้ง ซอสสตรอว์เบอร์รี่โฮมเมด และครีมสดรวมมาในถ้วยเดียว บอกได้หลายคำว่า เลิฟ เลิฟ เลิฟ       พูดมากเริ่มคอแห้ง แก้มแดงเลยขอลองเมนูล่าสุดที่ไม่มีในร้านเก่าอย่าง Ispahan กาแฟดำที่เติมความสดชื่นอมเปรี้ยวนิดๆ ด้วยน้ำเชื่อมลิ้นจี่และกุหลาบ ซดแล้วสดชื่น และ Shizuoka Matcha Latte ชาเขียวสุดเข้มข้นจากชิซูโอกะ ไม่ลองไม่ได้เด็ดขาด       ว่าแล้วก็กลับไปลองเค้กอีกชิ้นดีกว่า 555

เรียกว่าชายจุกไปเกาะขอบสนามรอดูการแข่งขันบริวเวอร์คัพเกือบทุกปี ชายอยากรู้ว่าเค้าชงกันยังไงถึงรสชาติดีกว่าที่ชายชงดื่มเองที่บ้าน ปีก่อนชายพบคุณแพด-จรัญญา จันทร์วงษ์ เจ้าของร้าน Simple Coffee, Simple Life ในการแข่งขันเช่นกัน แม้ว่าเธอไม่สามารถคว้าแชมป์มาครองได้ในปีก่อน แต่ในปีนี้เธอไม่พลาด เธอคว้าแชมป์ National Thailand Brewers Cup ปี 2017 มาครอง และเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าแข่งขันชิงแชมป์โลก World Brewers Cup จากงาน World Coffee Event 2017 ที่จัดแข่งขันในประเทศฮังการีเมื่อสองเดือนก่อน แม้ว่าเธอจะไปไม่ถึงตำแหน่งแชมป์โลกแต่ความตั้งใจของเธอกลับสัมผัสได้ผ่านกาแฟของเธอ   ชายมีโอกาสได้ชิมกาแฟที่เธอคว้าแชมป์ประเทศไทย (ชายคิดว่าน่าจะไม่เหลือแล้ว) เธอเลือก Panama Geisha ที่คัดมาเพียง 1 จาก 30 สายพันธุ์ เธอยอมรับว่าไม่ใช่เมล็ดกาแฟที่ดีที่สุดของเกอิชา แต่เป็นตัวที่เธอมีกำลังทรัพย์ซื้อได้ นำมาพรีเซนต์ด้วยฝีมืออีกทีหนึ่ง เธอเลือกใช้โรงคั่วถึง 3 แห่ง Phil Coffee, Duck You และ Bottomless ในการคั่วกาแฟเพียงตัวเดียวให้มีโปรไฟล์ของรสชาติที่ต่างกัน ซึ่งคาแรกเตอร์กาแฟตัวนี้จะมีความเป็นกรีนที ตะไคร้ ส้ม มะลิ และลาเวนเดอร์ แต่วันที่ได้แชมป์เธอเลือกใช้เมล็ดกาแฟจากโรงคั่วฟิลคอฟฟี่ กาแฟตัวนี้ดีมาก ชายได้ลองมีกลิ่นรสของลาเวนเดอร์และตะไคร้จริงๆ     ถ้าอยากเรียนรู้เรื่องกาแฟ คุณแพด และคุณณัฐ เจ้าของร้านทั้ง 2 คน เปิดสอน Private Barista Class ที่รับนักเรียนไม่เกิน 2 คน รับรองว่าอยากรู้อะไรเกี่ยวกับกาแฟก็ได้รู้แน่นอน แถมยังได้จิบกาแฟแชมป์อีก

ชายจุกบอกเลยว่าสายกาแฟห้ามพลาดร้านนี้ เพราะที่นี่ Red Diamond Cafe มีครบจบในที่เดียว ตั้งแต่เวิล์คชอป โรงคั่ว ไปจนถึงเครื่องชงกาแฟสุดล้ำที่มีเฉพาะที่นี่ ออกจะเป็นร้านกาแฟที่แปลกกว่าชาวบ้านอยู่สักหน่อย หากใครเคยเข้าออกร้านกาแฟอยู่บ่อยๆ คงสังเกตได้ถึงความเหนือล้ำในเรื่องเครื่องชงกาแฟของที่นี่ อาจด้วยความเป็น Intercof บริษัทซึ่งนำเข้าเครื่องชง จึงครบวงจรในที่เดียว สำหรับชายแม้ว่าเครื่องชงจะเหนือล้ำ แต่สุดท้ายก็ต้องพึ่งพา คุณนิโคลัส โฮล (Nicholas Haw) บาริสต้ามาช่วยควบคุมปัจจัยบางอย่างที่เทคโนโลยีไม่สามารถทำได้ นิโคลัสคือคนที่จะชิมรสชาติของกาแฟและบอกเล่าผ่านลายมือของเขาลงบนกระดาษ Panama Geisha Lotus N2 ที่ผ่านเครื่อง Steampunk ลูกผสมของเครื่องชงกาแฟไซฟอนและเฟรนซ์เพรส นิโคลัสบอกว่าการชงกาแฟด้วยสตรีมพังค์จะให้กาแฟที่ร้อนกว่ากาแฟดริป จึงต้องรอให้อุณหภูมิลดลงก่อนดื่ม ให้กลิ่นของดอกไม้ รสของเชอรี่อบแห้งและราสพ์เบอร์รี่ Ethiopia Nekisse ที่ผ่านการชงด้วย V60 นิโคลัสก็เริ่มหยดน้ำร้อนลงบนผงกาแฟที่บดใหม่และจบลงด้วยการชิมแล้วเขียนบรรยายรสชาติ มันดูสนุกดี กาแฟตัวนี้กลิ่นรสของผลไม้เบอร์รี่หนักๆ หน่อย ปนกับโกโก้และคาราเมล            อีกเครื่องที่เก๋คือ Trinity 1 หน้าตาคล้ายเครื่องดริป แต่ใช้วิธีการชงกาแฟได้หลายแบบ อาทิ เฟรนซ์เพลส แอโร่เพลส และโคลด์ดริป นิโคลัสเลือกโคลด์ดริป เขาใส่น้ำแข็งลงในกระบอกที่ใช้ทำกาแฟได้หลายวิธี กระบอกจะกักเก็บน้ำร้อนที่ผ่านกาแฟลงไปในน้ำแข็งให้กาแฟถูกสกัดออกมาก่อนปล่อยให้ไหลลงสู่เบื้องล่าง และแน่นอนว่ากาแฟเอสเพรสโซ่ก็ต้องมา Mavam Espresso Machine หนึ่งในเครื่องเอสเพรสโซ่ที่ดีที่สุดจากเมืองซีแอตเติ้ล (ร่วมกับแบรนด์อย่าง Synesso และ Slayer) ตอนนี้มีเพียงเครื่องเดียวในประเทศไทย สามารถดึงช็อตเอสเพรสโซ่ได้ยาวนานกว่า 1 นาที 

ไม่ว่าจะเป็นแฟนคลับของเจ้ากระต่ายน้อยจากแดนกังหันลมหรือไม่ แต่เราเชื่อว่าหากได้มาถึงแหล่งรวมความบันเทิงของทุกคนในครอบครัวที่มีทั้งสวนสนุก สวนน้ำ และโรงแรมอย่าง "ซานโตรินี พาร์ค ชะอำ" แล้ว น้อยคนคงอดใจไม่มาเยี่ยมเยือนโซนใหม่ "Miffy's Garden" ที่ยกคาเฟ่แสนน่ารัก สวนสวย และร้านของที่ระลึกที่เต็มไปด้วยกระต่ายน้อย Miffy และผองเพื่อนจากประเทศเนเธอร์แลนด์ไม่ไหวอย่างแน่นอน สายกินอย่างเราขอพุ่งตรงไปที่ "Miffy's Garden Cafe" กันก่อนเลยดีกว่า แค่เห็นด้านหน้าก็ต้องกรี๊ดดังๆ ให้กับความน่ารักมุ้งมิ้งของรูปมิฟฟีขนาดยักษ์ที่คอยต้อนรับเหล่าคาเฟ่เลิฟเวอร์ และเมื่อเปิดประตูเข้าไปก็ได้พบกับการตกแต่งที่น่ากรี๊ดยิ่งกว่า เพราะที่นี่สอดแทรกความน่ารักของมิฟฟีไว้แทบทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ หมอนอิง โคมไฟ ถ้วยชาม ไปจนถึงป้ายจองโต๊ะ โดยเฉพาะไฮไลต์สำคัญอย่างเมนูเด่นที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของเจ้ากระต่ายน้อยและเพื่อนๆ แสนน่ารักเหล่านี้ มาถึงแล้วต้องขอชิม 3 เมนูใหม่ล่าสุด เริ่มด้วย Corn Soup ซุปข้าวโพดรสชาติกลมกล่อมนุ่มลิ้น เสิร์ฟคู่กับขนมปังกระเทียมหอมเนย ต่อด้วยของหวานอย่าง Miffy Budou Cheese Pie ชีสพายองุ่นหอมหวานกำลังดีแต่งด้านบนเป็นหน้ามิฟฟี มาพร้อมสตรอว์เบอร์รีสด และ Strawberry Butter Cake Kakigori คากิโกริสไตล์ญี่ปุ่น เนื้อน้ำแข็งนมละเอียดมาก ราดซอสสตรอว์เบอร์รีและนมยิ่งอร่อย ถ้าอยากอิ่มแบบเต็มๆ ต้องสั่ง Miffy Fruity Pancake แพนเค้กหนานุ่มรูปมิฟฟี มาพร้อมวิปครีมและผลไม้สดหลากชนิด อาทิ สตรอว์เบอร์รี กีวี มะม่วง และกล้วยหอม รวมทั้งแยมและน้ำผึ้งให้เพิ่มความหวานได้ตามใจ แต่หากอยากละเลียดเครื่องดื่มเบาๆ อย่าลืมลอง Miffy Signature Hot Chocolate ช็อกโกแลตร้อนเข้มข้นแก้วโต กินกับคุกกี้มิฟฟีโฮมเมดที่ขอบอกว่าอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว หรือจะเพิ่มความสดชื่นด้วย Miffy Iced Lemon Tea ก้อนชามะนาวแช่แข็งมาพร้อมขวดชามะนาวให้เติมเพิ่มความเข้มข้นไปอีกขั้น แถมมาพร้อมคุกกี้เคลือบช็อกโกแลตให้เคี้ยวกันเพลินๆ อีกด้วย ส่วนใครที่ยังฟินไม่พอ เราขอแนะนำ My D.I.Y. Pancake เซตทำแพนเค้กสไตล์ดีไอวายที่มาพร้อมอุปกรณ์และทอปปิงต่างๆ อย่างครบครันให้เราออกแบบลวดลายแพนเค้กด้วยตัวเอง จะวาดเป็นมิฟฟีหรือครีเอตลายสุดเก๋อื่นๆ ก็ไม่ว่ากัน ที่สำคํญเซตนี้ยังแถมตุ๊กตามิฟฟีกลับไปนอนกอดที่บ้านด้วยอีก 1 ตัว (กรี๊ดดด) อิ่มอร่อยจนหนำใจกันแล้ว อย่าลืมออกมาเดินเล่นย่อยอาหารกันที่ Miffy's Garden หมู่บ้านกระต่ายน้อยมิฟฟีและผองเพื่อนที่อยู่ไม่ไกลกับคาเฟ่ โดยแบ่งออกเป็น 3 โซน ทั้งโซนมิฟฟีในบ้านเกิดเนเธอร์แลนด์ มิฟฟีเยือนซานโตรินี พาร์ค ชะอำ และโซนที่เราว่าน่ารักเก๋ไก๋มากๆ อย่างโซนมิฟฟีเยือนประเทศไทย ที่จับเจ้ามิฟฟีมาถ่ายทอดวัฒนธรรมแบบไทยๆ ทั้งมิฟฟีลอยกระทง มิฟฟีฉลองวันสงกรานต์ มิฟฟีกับทุเรียน และมิฟฟีขี่รถตุ๊กตุ๊กที่ทำออกมาได้น่ารักน่าเซลฟีสุดๆ ก่อนออกจากสวนหมู่บ้านกระต่าย ยังมีร้านขายของที่ระลึกลิขสิทธิ์แท้ของมิฟฟี ทั้งเสื้อยืด แก้วน้ำ อุปกรณ์เครื่องเขียน ไปจนถึงไอศกรีมโคนสุดกุ๊กกิ๊กที่ขอเตือนว่าระวังจะเดินตัว(และกระเป๋าสตางค์)เบาออกมาแบบเราเลยทีเดียว...(ฮา)        

เอาเข้าจริงเมื่อถึงอารมณ์หนึ่งที่เราอยากปลีกตัวออกมานั่งกินข้าวในสถานที่ซึ่งคนไม่พลุกพล่าน มีอาหารอร่อยๆ แบบโฮมเมดเมดให้รองท้องในบรรยากาศอบอุ่นและร่มรื่นแล้ว ร้าน Magpie Cafe คือร้านอาหารกึ่งคาเฟ่อีกแห่งหนึ่งที่เรานึกถึงและอยากแนะนำให้ทุกคนรู้จักไปพร้อมกัน      อย่างแรกที่เราชอบคือความกระทัดรัดของขนาดร้านที่จำกัดจำนวนคนได้พอเหมาะ ตามด้วยการจัดร้านแบบผสมผสานสไตล์โมเดิร์นและวินเทจเข้าด้วยกัน นอกจากกลิ่นอายความคลาสสิกจากลวดลายเพ้นท์ผนังพร้อมของตกแต่งที่มาจากของสะสมรวมถึงเฟอร์นิเจอร์เก๋ๆ ที่ทางร้านทำขึ้นเองแล้ว อาหารโฮมมีฟิวชันสูตรประจำบ้านของคุณนพปฎล พหลโยธิน เจ้าของร้านก็น่าสนใจ โดยเฉพาะเมนูพายที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น กินคู่กับชาออร์แกนิคดอกไม้หรือสมุนไพรที่เราเลือกเบลนด์ได้เองก็เหมาะแล้วกับช่วงหน้าฝนแบบนี้     เมนูแนะนำที่มาถึงแล้วห้ามพลาดคือ Hokkaido Chicken เป็นพายไก่ไส้แกงกะหรี่ญี่ปุ่น แป้งกรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นน้ำผึ้งและแอปเปิ้ลจากน้ำเกรวีกินได้เพลินๆ ต่อด้วย Asian Beouf Bourguignon ยำเนื้อต้มกะทิ ใช้เนื้อวัวอย่างดีเคี่ยวกับน้ำกะทิ 6 ชั่วโมง กินกับสมุนไพรนานาชนิด มะนาว และพริกสด เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ       ส่วนใครที่รักสุขภาพเราอยากให้ลอง Detox Smoothies เครื่องดื่มหวานหอมชื่นใจจากส้ม มะม่วง กล้วย เสาวรส และผัก อย่าลืมปิดท้ายด้วย Dark Chocolate Mousse มูสช็อกโกแลตเข้มข้น หวานติดขมปลายลิ้นเล็กน้อย กินกับผิวส้มแล้วอร่อยลงตัวทีเดียว        ในอนาคตที่ร้านมีแพลนจะเปิดพื้นที่ขายเฟอร์นิเจอร์ที่ทำขึ้นเองด้วย ติดตามรายละเอียดได้ทาง FB ของที่ร้านได้เลยนะ

หากอยากดื่มด่ำช่วงเวลาในการจิบชาให้สมดุล เราว่านอกจากสถานที่และบรรยากาศเงียบสงบจะพาเราดำดิ่งสู่รสชาติชาที่แท้จริงแล้ว อีกหนึ่งไคลแม็กซ์สำคัญเลยคือชาหอมๆ นี่ล่ะ เป็นเหมือนยาใจชั้นดีช่วยผ่อนคลายอารมณ์สุนทรีย์ให้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว Tea Lover คนไหนกำลังมองหาสถานที่พักใจไปกับชาหอมกรุ่นเราว่าร้าน Sense Tea ตอบโจทย์ทีเดียว เพราะคุณหมวย เจ้าของร้านออกแบบที่นี่เป็นทีเฮ้าส์ มีความเป็นส่วนตัว พ่วงมุมกว้างขวางโปร่งสบายให้ทุกคนเข้ามานั่งจิบชาออร์แกนิคเต็มใบที่เลือกเองกับมือ แถมยังมีโซนขายชากว่า 62 ชนิด เครื่องชงชาน่ารักกุ๊กกิ๊ก และแก้วชาใบสวยให้เราซื้อกลับไปฟินต่อที่บ้านได้ด้วย  คุณหมวยบอกว่าชาที่ร้านส่งตรงจากไร่ชาเล็กๆ ทางภาคเหนือเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรในบ้านเรา และบางส่วนนำเข้าจากแถบเอเชียอย่างจีน ศรีลังกา อินเดียซึ่งเป็นแหล่งผลิตชามีชื่อชนิดต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ผ่านการฉีดน้ำหอม ใช้วิธีหมักชากับผลไม้ ดอกไม้ หรือสมุนไพรแทนเพื่อให้ได้กลิ่นหอมจางๆ แต่ปราศจากสารเคมี  สิ่งที่เราชอบที่สุดในร้านคือไอเดียการทำ D.I.Y Tea Blend Studio เพราะเราสามารถเลือกชาที่ใช่แล้วให้ทีมาสเตอร์เบลนด์รสชาติในแบบที่ชอบได้เลย ใครชอบชาดำรสเข้ม ชาเขียวหอมละมุน ชาอู่หลงชุ่มคอ หรือชาขาวที่มีวิตามินสูงสุด ก็จิ้มชนิดที่เหมาะใจแล้วมามิกซ์แอนด์แมทช์กับสมุนไพรหรือดอกไม้หอมๆ ราคาจะคิดตามชนิดของชาและปริมาณมากน้อยที่เราต้องการ  นอกจากเมนูชามากมายที่คุณหมวยขยันคิดกลิ่นและรสใหม่ๆ ให้คนรักชาได้ตื่นเต้นอยู่เสมอ ก็ยังมีอาหารและขนมที่นำชามาเป็นส่วนผสมด้วยนะอย่าง Lavender Blossom Waffle วาฟเฟิลนุ่มๆ ที่ผสมชากลิ่นลาเวนเดอร์ลงไป พร้อมเพิ่มความหวานหอมด้วยไอศกรีมลาเวนเดอร์อีก 1 สกู๊ป ส่วนใครที่ไม่ถูกจริตกับชาเท่าไหร่ก็มีจานอื่นๆ น่าลองทั้ง ข้าวผัดต้มยำทะเลแห้งรสแซ่บและสลัดหอยเชลล์ย่างกับน้ำสลัดวาซาบิ รับรองว่าอิ่มไปถึงใจ

เย็นอากาศ ย่านฮิปล่าสุดที่ชายจุกว่ามันมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ก่อนหน้านี้มีร้าน Suhring ที่เพิ่งได้ร้านอาหารอันดับที่ 13  ของ Asia's 50 Best Restaurants 2017 เปิดมาได้ปีกว่า ตามด้วย Akart Bistro & Bar ในพื้นที่เดียวกัน แต่ชายชอบที่นี่มากกว่าอากาศบิสโทรตรงที่ยังคงโครงสร้างของบ้านไม้เก่าอายุเกือบ 90 ปี เอาไว้  แม้แต่สีดั้งเดิมอย่างสีเขียวตองอ่อนก็ไม่ได้ทาทับให้ใหม่ขึ้นจากเดิมเลย แถมชายยังได้ยินมาว่าบ้านหลังนี้เจ้าของคนแรกเป็นหลานของรัชกาลที่ 4 โอ้โหมีตำนาน ชายทราบข่าวจากพี่ที่ Graph Café เชียงใหม่ ที่ส่งข่าวมาเป็นระยะว่ามาช่วยเป็นที่ปรึกษาให้ แถมที่นี่ยังไม่ใช่ร้านกาแฟหน้าใหม่ ทำให้เป็นร้านกาแฟที่ชายอยากไปเยือนมากที่สุดร้านหนึ่ง คอฟฟี่คราฟท์แมน เป็นสาขาใหม่และคอนเซปต์ใหม่ที่ขยายจากบาร์กาแฟเล็กๆ บนถนนพระราม 6 ซอย 23  ที่นี่ยังคงจุดเด่นเรื่องกาแฟมีเมล็ดกาแฟมากถึง 3 เบลนด์ ซึ่งเหมาะสำหรับชงกาแฟแต่ละแบบ กาแฟร้อน กาแฟนม กาแฟเย็น และดริป ชายได้ลองจิบ Caffe Latte รสนมนวลๆ ตัดกับรสขมของกาแฟ อาหารมีจุดเด่นที่พาสต้าเส้นสดอย่างเส้นเฟตตูชินี่ฟักทองและเส้นเฟตตูชินี่มะละกอ จานเด่นเป็น Fettuccine Pesto “Karna” ใช้เส้นเฟตตูชินี่ฟักทองผัดกับเพสโต้ซอสที่ทำจากผักคะน้า รสชาติจึงนุ่มนวลกว่าโหระพา ที่นี่ยังมีพิซซ่าแป้งโฮมเมดและอาหารสูตรพิเศษอย่าง Hakka Pork Stew with Rice ข้าวหมูอบสูตรอาม่า ตำรับจีนแคะ และ Pork Burger เบอร์เกอร์หมูที่มาพร้อมชีสและผักดอง 

อากาศดีแบบนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะที่สุดสำหรับการเดินสำรวจหาคาเฟ่ใหม่ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ตามตรอกซอกซอย  ก่อนลมเย็นๆ จะพัดหนีจากเราไปอีกรอบ ครั้งนี้หญิงใหญ่เดินลัดมาในตรอกสะพานญวณ บนถนนทรงวาด ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Pieces Cafe & Bed คาเฟ่กึ่งโฮสเทล เจ้าของเมนูขนมปังหัวนมที่กำลังสร้างความฮือฮาอยู่ตอนนี้ (ชื่อเมนูชวนเขินมากจริงๆ) เมื่อมาถึงเราพบว่าที่นี่เล็กจิ๋ว ชวนให้นึกถึงคาเฟ่ไซส์ S ในโตเกียว แต่จัดวางของภายในร้านได้เหมาะเจาะและไม่รู้สึกอึดอัดเลย มีเคาน์เตอร์ยาวสำหรับชงกาแฟ เสิร์ฟขนม และมีเฟอร์นิเจอร์ทำเองเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น  ซึ่งคุณเหมียว สาวเก๋ที่เป็นทั้งเจ้าของร้านและกราฟฟิกดีไซเนอร์อิสระบอกเราว่าเป็นคนช่างประดิษฐ์อยู่แล้วเลยหยิบเอาของเฟอร์นิเจอร์เก่าๆ มาประกอบใหม่ ทั้งโต๊ะ ถาด เก้าอี้ เป็นที่มาของชื่อร้าน "Pieces" หมายถึงชิ้นส่วนเล็กๆ น้อยๆ ที่มาอยู่รวมกันจนกลายเป็นความ "พิเศษ" ขึ้นมา  ด้วยพื้นที่จำกัด เมนูของร้านจึงเน้นแค่กาแฟกับขนมเป็นหลัก อีกหนึ่งความพิเศษที่เราเห็นคือใช้วิธีชงกาแฟด้วย Moka Pot หม้อต้มกาแฟสไตล์อิตาลีที่เธอหลงรักมาพักใหญ่ ส่วนเมล็ดกาแฟรับตรงจากโรงคั่ว Happy Espresso ที่คุ้นเคยกัน เธอเล่ายิ้มๆ ว่าจะลงมือชงกาแฟแต่ละแก้วรู้สึกเหมือนตัวเองได้ทดลองวิทยาศาสตร์ไปในตัว เพราะ Moka pot ค่อนข้างคุมยาก ต้องรู้ว่าบดกาแฟแบบไหน ใช้น้ำเท่าไหร่ ต้มนานกี่นาที ซึ่งกาแฟที่ได้จะต่างจากเครื่องชงกาแฟทั่วไปตรงที่ดื่มง่าย แต่จะได้ความหอมของเมล็ดกาแฟได้แบบเต็มๆ  ระหว่างชวนคุย คุณเหมียวทำเมนูแรกให้เราได้ลองชิม Moka Pot Affogato อัฟโฟกาโตแบบ "พิเศษ" ช็อตกาแฟราดบนไอศกรีมกะทิมะพร้าวแทนไอศกรีมวานิลลา แอบถามได้ความว่า รับไอศกรีมจากคุณป้าคนสนิทละแวกนี้ เพราะติดใจในรสชาติแบบเฉพาะตัว ตักเข้าปากจะได้อารมณ์เหมือนกินเชอร์เบทเพราะใส่นมน้อย เนื้อไอศกรีมไม่หนักไปและเหนียวเกิน เข้ากันกับกาแฟมากทีเดียว หากชอบรสละมุนหน่อยแนะนำ Caramel Macchiato ชงด้วย Moka Pot เช่นเคย คุณเหมียวนำคาราเมลกับนมมาเช็คเข้าด้วยกันก่อน แล้วค่อยๆ เติมกาแฟลงไป  ต่อด้วยเมนูสุดกิ๊วก๊าวอย่างขนมปังหัวนม หรือ Breast Milk Bread with Ice-cream ที่ตอนแรกเธอตั้งใจให้เป็น "ขนมปังหัวโน" แต่ด้วยรูปทรงบางอย่าง ขนมปังหัวโนก็เลยกลายเป็นขนมปังหัวนมไปเสียอย่างนั้น (ฮา) ผ่าครึ่ง ทาเนย แล้วอบให้กรอบนอกนุ่มใน โปะด้วยไอศกรีมกะทิมะพร้าว โรยอัลมอนด์ ปิดฝาด้านบนเป็นอันเสร็จพิธี เราชอบที่เนื้อขนมปังจะมีความเหนียวนิดๆ กินกับไอศกรีมแล้วไม่เละ แถมฉ่ำเนยมาก ควรค่าแก่การมาลองชิม  ส่วนใครไม่ใช่คอกาแฟ ไม่ต้องน้อยใจ เพราะที่นี่มี Lemon Tea Granita ชามะนาวเปรี้ยวจี๊ดสดชื่น เกล็ดน้ำแข็งรสมะนาวแบบเข้มข้นท็อปด้านบนให้เคี้ยวกรุบๆ แก้วนี้เหนื่อยๆ มาจิบเดียวรู้เรื่อง รับประกันว่าตื่นเต็มตา 

Tag: , คาเฟ่,

ต้องบอกว่าสิ้นสุดการรอคอยสำหรับเหล่าคาเฟ่ฮอปเปอร์และคนรักของหวานกับสาขาแรกในเมืองไทยของ "Patissez" คาเฟ่ชื่อดังจากเมืองแคนเบอร์รา ประเทศออสเตรเลีย เจ้าของสูตร Freakshake มิลค์เชคแปลกใหม่ที่มาพร้อมท็อปปิ้งสุดอลังการซึ่งผ่านการคิดค้นมาแล้วว่ากินเข้ากันได้อย่างอร่อยลงตัว แถมยังตกแต่งอย่างสวยงามเหมาะกับการถ่ายรูปแชร์เป็นที่สุด ไม่เพียงแค่ Freakshake หลากรสชาติ ทั้งช็อกโกแลตนูเทลล่า บานอฟฟี่ มินต์ เบอร์รี รวมทั้งชาไทย (รสชาติพิเศษที่มีเฉพาะสาขานี้) ที่เรียกความว้าวจากเราเท่านั้น แต่บรรยากาศอบอุ่นสไตล์รัสติกที่เน้นความโปร่งสบาย ตกแต่งด้วยไม้และโครงเหล็ก ด้านหน้าร้านเป็นกระจกใสให้แสงแดดลอดเข้ามาสร้างความเป็นธรรมชาติ รวมทั้งการใช้สีฟ้าเทอร์ควอยซ์ สัญลักษณ์ของร้านที่ช่วยเพิ่มความสบายตา ไปจนถึงเมนูบรันช์สไตล์ออสเตรเลียนที่ใส่ใจทั้งการเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพ รสชาติ ขั้นตอนการทำที่พิถีพิถัน และรูปลักษณ์สวยงามน่ากินแบบที่ทำให้เราอดใจแชะแล้วแชร์ไม่ได้กันเลยทีเดียว นอกจากนี้ Patissez สาขาสุขุมวิท 39 ยังเพิ่มเติมเมนูดินเนอร์สไตล์ยุโรป อาทิ สเต๊ก พาสต้า และอาหารทะเลให้อร่อยกันอีกด้วย สำหรับสายเบอร์เกอร์ เราแนะนำให้เริ่มด้วย Freak Burger เมนูซิกเนเจอร์ที่ใช้ขนมปังบริออชหนานุ่มประกบกับเนื้อบดโฮมเมดสองชิ้นโต ชีส เบคอนกรอบ ตัดความมันด้วยหอมหัวใหญ่ มะเขือเทศ และผักกาดหอม เพิ่มรสชาติด้วยซอสบาร์บีคิวสูตรเด็ด เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอดและสเปเชียลซอสสูตรพิเศษ แต่ถ้าชอบอาหารทะเลต้องจานนี้ Pasta Clam เมนูใหม่ล่าสุดที่หยิบหอยตลับมาผัดแห้งกับเส้นสปาเกตตีและเห็ดหอม เชฟแอบกระซิบว่าปรุงรสด้วยไวน์ขาว เกลือ และพริกไทย แต่ขอบอกว่ารสชาติกลมกล่อม กินเพลิน...นัวสุดๆ ส่วนคนรักสุขภาพ Crispy Skin Salmon ตอบโจทย์ได้แน่นอน แซลมอนจากนอร์เวย์ย่างกำลังดี ราดซัลซ่าอะโวคาโด มายองเนส และมะนาว รสเปรี้ยวเผ็ดนิดๆ เข้ากับแซลมอนได้อย่างลงตัว แล้วอย่าลืมสั่ง French Toast ที่ร้านนี้ครีเอตแบบไม่เหมือนใครด้วยการนำขนมปังบริออชอบกรอบนอกนุ่มในไปชุบไข่ทอดอีกครั้ง มาพร้อมเนื้อมะม่วงสุก ส้ม และไอศกรีมวานิลลา ราดซอสมะม่วงคาราเมลที่ใส่แซฟฟรอนหรือหญ้าฝรั่นเพิ่มความหอม ก่อนปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มสุดฮิตห้ามพลาดอย่าง Pretzella ช็อกโกแลตนูเทลล่าปั่นหอมหวานกำลังดี ท็อปด้วยมูสวานิลลานุ่มๆ กินคู่กับ Salted Pretzels กรอบๆ รสเค็มนิดๆ จะกินพร้อมมิลค์เชคด้านล่างหรือจะดิปกับนูเทลล่าที่ขอบแก้วก็อร่อยฟินไม่แพ้กัน (เห็นขนาดแก้วไม่ต้องกลัวเลี่ยนหรือกินไม่หมด เพราะแว่บแรกเราก็คิดแบบนั้น จนรู้ตัวอีกทีก็...หมดแก้วซะแล้ว (ฮา)

ในวันหยุดสบายๆ ใครกำลังมองหาสถานที่ชิลเอาต์ดีๆ ไม่ต้องฝ่าการจราจรที่แสนติดขัดเพื่อไปถึงใจกลางเมืองอย่างสุขุมวิท ทองหล่อ หรือเอกมัยอีกต่อไป เพราะเรากำลังจะแนะนำคาเฟ่น่านั่งของ 3 เพื่อนสนิทที่นำประสบการณ์และความถนัดคนละสไตล์ทั้งด้านธุรกิจ อาหาร และเครื่องดื่ม มาผสมผสานกับความตั้งใจที่อยากให้คาเฟ่สุดเก๋ได้ขยับขยายออกมาอยู่นอกเมืองกันบ้าง โดยเฉพาะในย่านลาดพร้าวที่มีชาวชุมชนมากมาย จนกลายเป็น Cold Spring Cafe ที่กำลังมาแรงในโลกออนไลน์ขณะนี้ ที่นี่มาพร้อมคอนเซ็ปต์น่ารักที่เราชอบมาก คือการนำดอกไม้สดและต้นไม้มาตกแต่งแทบทุกมุมในร้านดูสวยงามและอบอุ่น อาทิ กุหลาบ เดซี่ และคาร์เนชั่น ให้บรรยากาศแบบกลาสเฮาส์นิดๆ ด้วยการใช้กระจกเป็นกำแพงรอบร้าน และมีโซนเอาต์ดอร์ด้านหลังที่วางโต๊ะและเก้าอี้ชิงช้าให้เราได้นั่งรับลมและใกล้ชิดกับต้นลิปสติกที่ปลูกรายล้อมอยู่มากยิ่งขึ้น เรียกว่าไม่ว่าจะมาเยือนร้านนี้ในช่วงไหนก็จะได้สัมผัสกับ "ฤดูใบไม้ผลิที่แสนเย็นสบาย" สมกับชื่อร้านนั่นเอง ส่วนอาหารของ Cold Spring Cafe เน้นเมนูโฮมเมดกินง่ายสไตล์ฟิวชั่น ฝีมือเชฟหนึ่งในเจ้าร้านที่พกพาความเชี่ยวชาญด้านอาหารจากการทำงานที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและครัวของเลอ กอร์ดอง เบลอ มาคิดค้นดัดแปลงให้ทุกเมนูออกมาไม่เหมือนใคร เราขอเริ่มต้นเรียกน้ำย่อยกับ Mixed Fries มันฝรั่งทอดกรอบนอกนุ่มในหลากรูปทรง มาพร้อมดิปปิงซอส 3 สไตล์ ทั้งเพสโตมายองเนส ต้มยำมายองเนส และฮันนี่มัสตาร์ด ก่อนจะตามด้วย Four Chesse Carbonara สปาเกตตีคาโบนาราที่เพิ่มความหอมมันเข้มข้นด้วยการเพิ่มชีส 4 ชนิด ทั้งมอสซาเรลลา เชดด้า พาร์เมซาน และโปรโวโลนด้านบน แล้วเบิร์นให้เกรียมนิดๆ  อิ่มของคาวแล้วมีหรือเราจะยอมพลาดของหวานยอดนิยมอย่าง Cold Spring Jelly เจลลีใสเนื้อเด้งดึ๋งสอดแทรกด้วยผลไม้สด อาทิ สตอว์เบอร์รี องุ่น และส้ม พร้อมตกแต่งจานด้วยสตรอว์เบอร์รีและกลีบกุหลาบสีสวยดูสดชื่นและน่ากิน รวมทั้ง Rose Panna Cotta พานาคอตต้าเนื้อเนียนนุ่มที่ผสมกลิ่นกุหลาบหอมอ่อนๆ พร้อมโรยกุหลาบแห้ง ราดซอสราสพ์เบอร์รี วางลิ้นจี่และสตรอว์เบอร์รีสดให้กินคู่กัน  แล้วอย่าลืมสั่ง Smoothie 2 ways สมูทตี้สีสันสวยงาม ด้านล่างเป็นมะม่วงสดปั่น ก่อนเทสตรอว์เบอร์รีปั่นตามลงไปด้านบน จะกินทีละชั้นหรือคนผสมกันก็อร่อยลงตัว และ Rose Panna Cotta โซดาซิกเนเจอร์ที่มีกิมมิกอยู่ที่การนำแตงโม แคนตาลูป และเมลอนแช่เย็นจัดมาใช้แทนน้ำแข็ง แนะนำให้ค่อยๆ ตักกิน เพราะยิ่งแช่นานจะยิ่งดูดซึมความซ่าของโซดา เวลาเคี้ยวแล้วจะได้ความหวานของผลไม้ผสานความซาบซ่านิดๆ ที่ช่วยเพิ่มความสดชื่นให้มื้อนี้ฟินสุดๆ   

หลังจากห่างหายไปให้คิดถึงตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ในที่สุด Common Room X Ari ก็กลับมาให้พร้อมโฉมใหม่ในลุคคาเฟ่กล่องใสสีขาวสุดน่ารักที่คอยต้อนรับทุกคนด้วยเมนูยามเช้าสไตล์คอมฟอร์ทฟู้ด และกลิ่นกาแฟหอมๆ ทุกครั้งที่เปิดประตู สิ่งที่เพิ่มเติมสำหรับการกลับมาคราวนี้ คงต้องยกให้กับบาร์กาแฟ และที่นั่งกว้างๆ ริมหน้าต่างที่นอกจากจะช่วยเพิ่มพื้นที่ในการจิบกาแฟแล้ว เรายังได้เห็นทุกขั้นตอนของกาแฟแก้วโปรด ซึ่งคอนเซปต์ของกาแฟ คุณต้น นรฤทธิ์ หอมรังสฤษดิ์ เล่าให้ฟังว่าพยายามทำให้กาแฟเข้าถึงทุกคนได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันเรื่องของคุณภาพของกาแฟยังคงมีอยู่เช่นเดิมด้วยการเลือกใช้เมล็ดกาแฟ Single Origin จากร้านที่คุณต้นรักอย่าง Ceresia มาให้ได้ลองชิมกัน ส่วนเอสเพรซโซ่ก็จะเป็นของ Brave Roaster เป็นหลัก แต่ที่พิเศษยิ่งกว่านั้น คือ เมล็ดกาแฟที่ใช้ในร้านจะถูกหมุนเวียนและสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เพื่อให้คนรักกาแฟแถวอารีย์ได้จิบกันอย่างไม่รู้เบื่อ เริ่มต้นกันด้วย Espresso on Milk Cream Rock เอสเพรสโซ่เย็นที่นำเสนอออกมาได้อย่างน่ารักน่าหยิก ด้วยการนำความเข้มข้นหอมมันของครีมและนมข้นมาทำเป็นก้อนน้ำแข็ง วิธีกินก็เพียงแต่เทเอสเพรสโซ่ช็อตตามลงไป ก่อนจะรอให้ครีมนมละลายมาเจอกาแฟช็อตเข้มๆ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือความหอมมันลงตัว (ตื่นเลยค่ะ) แต่สำหรับคอกาแฟดริปพี่สาวบาริสต้าประจำร้านก็แนะนำเมล็ดกาแฟจากโคลัมเบียที่โดดเด่นด้วยกลิ่นหอมอ่อนๆ ติดเปรี้ยวนิดๆ มาให้ทีมงานนิตยสาร Gourmet & Cuisine เพิ่มความสดชื่น จิบกาแฟกันไปแล้วก็ได้เวลาของอาหารหน้าตาดีที่น่าจะถูกใจใครหลายคน โดยเฉพาะเมนูไข่ที่มีให้เลือกทั้งไข่ลวก ไข่คน และไข่กระทะ แต่เพื่อความอิ่มหนำอย่างจริงจังเราเลยเลือก Scramble Eggs on Toast, Smoked Salmon ไข่คนเนื้อฉ่ำวางบนขนมปังโทสต์เติมความอร่อยด้วยแซลมอนรมควันชิ้นโต ครีมชีส และสาหร่ายพวงองุ่นรสเค็มนิดๆ ส่งตรงจากฟาร์มของคุณต้นมาเพิ่มรสสัมผัส แต่สำหรับสายสุขภาพที่ไม่อยากอิ่มแน่นก็ต้องลอง Berry Yogurt Bowl with Mixed Seeds and Nuts เบอร์รี่โยเกิร์ตสูตรโฮมเมดที่มีส่วนผสมของกล้วยหอมและบลูเบอร์เบอร์รี่ปั่นรวมกัน มาจับคู่กินกับกราโนล่าเคี้ยวกรุบ และผลไม้สดอย่างบลูเบอร์รี่ แก้วมังกร และสตรอว์เบอร์รี่ ส่วนของหวานก็ห้ามพลาด Charcoal Waffle with Vanilla Ice Cream and Salted Yolk Custard วาฟเฟิลชาร์โคลสีดำสะดุดตาที่เคียงคู่มากับไอศกรีมวานิลลาหวานละมุน ตัดรสชาติด้วยซอสไข่เค็มรสเข้มข้นก็ขอบอกเลยว่าดีเชียวล่ะ  ที่สำคัญคุณต้นยังฝากบอกมาว่าในเร็วๆ นี้เตรียมพบกับเมนูดินเนอร์แสนอร่อยกันได้ แต่จะเป็นอะไรนั้น ทางทีมงานจะรีบอัพเดทให้ฟังกันอย่างแน่นอน