Crack คาเฟ่น้องใหม่ในซอยสุขุมวิท 49 สร้างความแตกต่างด้วยการหยิบเมนูโปรดของกลุ่มเพื่อนนัก(ชอบ) กินอย่างวัฟเฟิลสูตรบรัสเซลส์แป้งกรอบเบา ไม่หวาน และแพนเค้กสไตล์ซัปโปโรเนื้อนุ่มฟูแบบฟลัฟฟีมาครีเอตเป็นเมนูบรันช์และของหวานที่ไม่เหมือนใคร เมื่อสั่งแล้วอาจต้องอดใจรอสักนิด เพราะทำใหม่แบบจานต่อจาน แต่รับรองว่าความอร่อยคุ้มค่าต่อการรอคอย แนะนำให้กินคู่กับกาแฟเบลนด์พิเศษที่เจ้าของร้านตั้งใจให้ออกมานุ่มละมุนและไม่ขมจนเกินไป          เมนูแนะนำ Brussels Crack Waffle วัฟเฟิลราดน้ำผึ้งแบบคลาสสิก เพิ่มความอร่อยด้วยไอศกรีมรสน้ำผึ้งหอมหวาน   Madagascan Creamy Sapporo Pancake แพนเค้กราดครีมวานิลลามาดากัสการ์หอมละมุน โรยแมกคาเดเมียอบและครัมเบิลกรุบกรอบ เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมรสคาราเมล   Nara Wasabi Smoked Salmon Waffle วัฟเฟิลชีสหอมมันท็อปด้วยแซลมอนรมควัน ผักไวด์ร็อกเก็ต และไข่ปลาแซลมอน ราดซอสวาซาบิมาโยโฮมเมด   Homemade Crack Ice Cream ความลงตัวของไอศกรีมรสคาราเมลและไวต์ช็อกโกแลต โอรีโอครัมเบิล และซอสมัตฉะเข้มข้น กินคู่กับวัฟเฟิลกรอบยิ่งอร่อย

ฟังชื่อ Grind Size Bangkok แล้วหลายคนอาจมีคำถามว่าเกี่ยวข้องกับกาแฟอย่างไร ฟังผิวเผินอาจมองว่าไม่เกี่ยว แต่คอกาแฟที่ผ่านการชงกาแฟแบบโฮมบริวอย่างเราทราบดีว่าขนาดของการบดเมล็ดกาแฟ (Grind Size) มีส่วนสำคัญในการชงกาแฟให้มีรสชาติต่างกันหากเราปรับการบดเมล็ดให้หยาบหรือละเอียดขึ้น      คุณเซน-ฌาณวิทย์ ไชยศิริวงค์ จริงจังกับเรื่องกาแฟจึงทั้งฝึกมือเป็นบาริสตาและพิธีกรงานแข่งขันบาริสตามาแล้ว ทำให้เขาเก็บรายละเอียดทุกเม็ดจนกลายเป็นร้านกาแฟในแบบคอนเซ็ปต์สโตร์ที่ไม่เพียงสนับสนุนเมล็ดกาแฟไทย แต่ยังสนับสนุนโรงคั่วท้องถิ่นขนาดเล็ก แน่นอนสินค้ากาแฟที่เลือกเข้ามาเป็นสิ่งที่คุณเซนเลือกมาแล้วว่าดี “เราเลือกสิ่งที่เรากินให้กับลูกค้า”      Grind Size มาในดีไซน์สีสันของ Pantone Teal Green ซึ่งกำลังเป็นที่นิยม สีสันสดใสสบายตาทั่วทั้งร้าน สลับกับภาพวาดบนผนังที่นำสตอรี่ของกาแฟมาสร้างบรรยากาศที่ดูอบอุ่น    ทางร้านใช้กาแฟเบลนด์ 2 เบลนด์ BKK เมล็ดกาแฟไทยเบลนด์กับลาว อินโดนีเซีย และเอกวาดอร์ โดยโรงคั่วขนาดเล็กในกรุงเทพฯ และ CNX จากโรงคั่วในเชียงใหม่ ซึ่งดีไซน์โดยอาศัยวงล้อรสชาติ (Flavor Wheel) ส่วนเบเกอรี่โฮมเมดมาจากฝีมือเจ้าของร้าน อาทิ สคอน บานาน่าเบรด ซึ่งเตรียมนำไปแลกกับขนมปังของเพื่อนๆ ในกลุ่มร้านกาแฟในรูปแบบของเฟรนด์เทรด      เริ่มที่อาหารเช้า สัมพันธมิตร ออน ดิช เฟรนช์โทสต์ปะทะเอ้กเบเนดิกต์ ขนมปังนุ่มชุ่มไข่ที่หอมซินนามอนและวานิลลา กินกับไข่ดาวน้ำ ราดฮอลลันเดสและเบคอน      แนะนำให้สั่งกาแฟ Latte ที่ใช้กาแฟเบลนด์ BKK หรือจะลองเบลนด์ CNX คุณเซนก็จัดให้ได้      และที่พีคมากคือเมนูใหม่อย่างเยาวราชที่คุณเซนไปตระเวนหาซื้อวัตถุดิบในเยาวราชทำเป็นหัวเชื้อที่มีกลิ่นรสเฉพาะตัวผสมกับกาแฟโคลด์บริว CNX เป็นเยาวราชออนเดอะร็อกที่ยังคงมีกลิ่นรสของกาแฟแต่ก็หอมความเป็นเยาวราช    แต่ถ้าผสมโซดาก็เป็นม็อกเทลดีๆ อย่างเยาวราชออนไอซ์   เครื่องดื่มเย็นที่ยังน่าลองเป็นอัญชันพลาดิโซ่โซดา ชาดอกอัญชัน ไซรัปชาดอกอัญชัน และโซดา ซ่าๆ หวานพอดี   

คาเฟ่ขนาดกะทัดรัดของบริษัททัวร์ Joy Travel จากเกาหลีที่ต้องการให้ลูกค้ามีที่นั่งพักจิบกาแฟระหว่างการติดต่อ แต่ไปๆ มาๆ โปรเจ็กต์นี้ได้พัฒนาอย่างจริงจังจนกลายเป็นคาเฟ่ที่ดีงามทั้งบรรยากาศ เครื่องดื่ม และขนมหวาน โดดเด่นด้วยการดึงเอาสิ่งฮอตฮิตของเอเชียและบ้านเรา โดยเฉพาะกล้วยผสมกัน ออกมาเป็นความอร่อยที่ไม่เหมือนใคร แถมในตอนนี้ยังมีอีกสาขาที่ชั้น 1 ศูนย์การค้า Show DC อีกด้วย       เมนูแนะนำ Banana Soboru ขนมปังก้อนกลมไส้กล้วยสไตล์เกาหลีที่ได้แรงบันดาลใจจากเมลอนปังของญี่ปุ่น จนได้ขนมปังฟูๆ แต่แฝงด้วยความนุ่มหนึบ   Banana Cake เค้กกล้วยหอมเนื้อแน่นตกแต่งหน้าด้วยบัตเตอร์ครีมรสออกหวาน ก่อนจะตัดรสชาติด้วยสตรอว์เบอร์รีสดชิ้นเล็ก   New York Banana Pudding เมนูยอดฮิตติดตลาดในเกาหลีและอเมริกา ทำจากครีมคัสตาร์ดผสมวิปปิงครีม วานิลลาคุกกี้ เนื้อมะม่วง และกล้วย เสิร์ฟแบบเย็นฉ่ำ   Sea Salt Coffee กาแฟดำที่เติมเต็มความเข้มข้นด้วยฟองครีมนุ่มผสมเกลือทะเลจากยุโรป ให้รสเค็มนิดๆ ขมน้อยๆ ได้ใจไปเต็มๆ   

หลังจากแฟนคลับคนรักช็อกโกแลตรอกันมาพักใหญ่ (จนเหงือกแห้ง) ในที่สุดร้านช็อกโกแลตเก่าแก่จากเบลเยียมซึ่งขึ้นชื่อว่าอร่อยที่สุดในโลกก็ได้เดินทางมาถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย พร้อมด้วยสาขาที่เปิดไล่เลี่ยกันถึง 3 สาขา เริ่มด้วยสาขาแรกที่เซ็นทรัลเวิลด์ สยามพารากอน และเซ็นทรัลชิดลม ตามลำดับ เอาเป็นว่าใกล้ที่ไหนก็ตามไปลองชิมกันได้     เมนูแนะนำ Dark Chocolate Decandence เมนูช็อกโกแลตปั่นหรือ Chocolixir ที่ยกความเข้มข้นของดาร์กช็อกโกแลตมาเต็มพิกัด พร้อมด้วยวิปครีมชุดใหญ่   Dark Chocolate Raspberry Decandence ช็อกโกแลตปั่นเติมซอสราสป์เบอร์รีลงไปให้มีรสเปรี้ยวอมหวานถูกใจสาวๆ ยิ่งขึ้น    Dark Chocolate Soft Serve ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟรสดาร์กช็อกโกแลตที่ทุกคนใฝ่ฝันถึง เนื้อไอศกรีมเนียมนุ่มที่พกพารสขมปมหวานอันเป็นเอกลักษณ์   Chocolate Twist Soft Serve ไอศกรีมที่ดึงจุดเด่นของซอฟต์เสิร์ฟรสดาร์กช็อกโกแลตและไวต์ช็อกโกแลตมารวมกันอย่างลงตัว   

หลังจากประสบความสำเร็จกับร้านแรกที่ลาดพร้าว-วังหินในรูปแบบ Coffee Bar ครั้งนี้ Bluetamp ขยับขยายมาเปิดสาขาใหม่ในสไตล์ Specialty Coffee & All Day Brunch โดยเจ้าของร้านยังคงนำประสบการณ์จากการเป็นเชฟและบาริสตาในออสเตรเลียกว่า 7 ปี มากลั่นกรองและคัดสรรความอร่อย ทั้งเมล็ดกาแฟเบลนด์พิเศษจาก Campos ร้านกาแฟชื่อดังจากเมืองซิดนีย์ใช้สำหรับกาแฟนม ของหวานหน้าตาน่ากิน และเมนูบรันช์สูตรเด็ดที่พร้อมเสิร์ฟตลอดวัน       เมนูแนะนำ Egg's Benedict's Salmon ใช้ขนมปังบันเหนียวนุ่มจาก Conkey's Bakery วางโพชเอ้ก แซลมอนรมควัน และผักโขม ราดซอสฮอลลันเดสโฮมเมด   เบคอนผัดพริกแห้งกับเส้นแองเจิลแฮร์ เพิ่มรสชาติด้วยหอมหัวใหญ่ มะเขือเทศเชอร์รี และชีสพาร์เมซาน   Caramelized Banana Toast โทสต์หนานุ่มชุ่มเนย มาพร้อมกล้วยหอมตุ๋นคาราเมลและไอศกรีมวานิลลา ราดซอสคาราเมลหอมหวาน   Piccolo Latte ลาเต้แก้วเล็ก ใส่นมน้อยสไตล์ออสซี่ รสเข้มแต่นุ่มนวล

ขอยกให้ที่นี่เป็นคาเฟ่แสนสวยสุดฮิปประจำย่านลาดพร้าวกันเลยทีเดียว จากไอเดียการตกแต่งให้ดูเหมือนโรงงานน้ำตาลที่แฝงความเนี้ยบเท่ของโครงสร้างเหล็กและไม้ รายล้อมด้วยบรรยากาศความร่มรื่นของต้นไม้ใหญ่ เรือนกระจกปลูกผักสวนครัว (ใช้ในร้าน) และเต็นท์ผ้าที่จำลองความสนุกอบอุ่นแบบบ้านนา แต่สิ่งที่เรารักยิ่งกว่ากลับเป็นอาหารจานเด็ดที่แม้หน้าตาจะดูฝรั่งแต่รสชาติกลับถูกใจคนไทยอย่างที่สุด       เมนูแนะนำ Spaghetti Seafood Heavyweight สปาเกตตีผัดฉ่าทะเลรสเผ็ดซี้ดที่ยกความอร่อยของกุ้งแม่น้ำตัวยักษ์ ปลาหมึก และหอยแมลงภู่ เสิร์ฟมาในถาดขนาดใหญ่ไซส์บิ๊ก แบ่งกิน 3-4 คนได้แบบสบายๆ   Pork Steak with Black Pepper Sauce พอร์กชอปเนื้อนุ่มราดซอสพริกไทยดำหอมๆ   Brownie Waffle Strawberry Crumble วัฟเฟิลแป้งบราวนี่ที่เน้นรสเข้มของช็อกโกแลต ทั้งยังแอบซ่อนเปรี้ยวด้วยเนื้อสตรอว์เบอร์รีและซอส พร้อมครัมเบิลเคี้ยวกรุบกรอบ   Lychee Mojito เย็นซ่าชื่นใจด้วยความหวานอมเปรี้ยวจากส่วนผสมของของน้ำเชื่อมลิ้นจี่ มะนาว ใบมินท์ โซดา และเหล้ารัม   

แม้ว่าต้องออกนอกเมืองไปไกลสักหน่อย แต่คาเฟ่เท่สะดุดตาแห่งนี้ก็ควรค่าแก่การมาเยือน ด้วยคอนเซ็ปต์การออกแบบซึ่งได้แรงบันดาลใจจากป่าสีดำแห่งเทพนิยายกริมม์ ทั้งการใช้โครงเหล็กดัดลวดลายแบบอาร์ตนูโวที่ช่วยสร้างแสงเงาร่มรื่นผ่านผนังกระจกใสรอบร้าน ไปจนถึงอาหารสไตล์ยุโรปที่มีกลิ่นอายความดาร์กแบบผู้ใหญ่ และเครื่องดื่มสุดครีเอตที่แอบซ่อนแอลกอฮอล์ไว้กระตุ้นความคึกคัก เราแนะนำ Wild Sheep Chase ฟองนมนุ่มๆ เชกผสมวอดก้าก่อนตบด้วยเอสเปรสโซช็อตเข้มข้น       เมนูแนะนำ Jaeger สเต๊กเนื้อสันในย่างกับเนย สุกด้านนอกเนื้อในฉ่ำ เสิร์ฟพร้อมมันอบและซอสสูตรโฮมเมด   Fries มันฝรั่งทอดคลุกเคล้าปาปริกาและพาร์สลีย์ รสเผ็ดนิดๆ กินเพลิน   Blair Rose อัฟโฟกาโตที่เก๋ตรงไอศกรีมนมสีแดงสวย โรยเรดเวลเวตครัมเบิลกรุบกรอบและใบชากุหลาบหอมละมุน   White Crow เติมนมแล้วแนะนำให้ดื่มช้าๆ ละเลียดรสชาติของเอสเปรสโซบอลแช่แข็งที่ค่อยๆ ละลายเข้ากับวิปครีมผสม Schnapps (ลิเคียวร์)  

Tag: , คาเฟ่,

ร้านเบเกอรี่ราคาน่ารักที่นำเอาสัญลักษณ์ความขยันขันแข็งของผึ้งตัวน้อยมาบอกเล่าเรื่องราวความอร่อยซึ่งเกิดจากความรักและตั้งใจของคุณอ้อ-ธัญญาพันธ์ เจ้าของร้านและเชฟคนเก่งที่อยากให้ทุกคนได้ลิ้มลองขนมปังเพสตรีนานาชาติในสูตรต้นตำรับ ทำให้ที่นี่มีขนมหมุนเวียนมาให้เลือกชิมกันจนเต็มอิ่ม พร้อมด้วยเครื่องดื่มอย่างชา กาแฟ สมูทตี และไอศกรีม แถมในช่วงกลางวันยังมีข้าวกล่องไว้บริการอีกด้วย        เมนูแนะนำ Scone สคอนสูตรซิกเนเจอร์เสิร์ฟอุ่นๆ ส่งกลิ่นหอม มีให้เลือก 3 รส ได้แก่ รสเนย เชอร์รี และโรสแมรี่กินคู่กับแยมและครีมคอตเตจนำเข้า   Cinnamon Pull-Apart ซินนามอลโรลรูปดอกกุหลาบ ความอร่อยอยู่ที่ซอสคาราเมลสุดหอมหวาน   Sausage Puff พัฟแป้งกรอบเนื้อบางเบาหอมเนย สอดไส้ไส้กรอกเนื้อแน่น   Cherry Clafoutis ขนมหวานต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส หน้านุ่มคล้ายคัสตาร์ดสอดไส้เชอร์รีเชื่อมหอมๆ อร่อยเกินห้ามใจ

“พาโบล” ชีสทาร์ตร้านดังจากโอซากาที่ระบาดความอร่อยมาแล้วทั่วเอเชีย กลายเป็นอีกหนึ่งร้านใหม่ที่สร้างปรากฏการณ์การต่อคิวยาวเหยียดในบ้านเรา จุดเด่นความอร่อยคงต้องยกให้กับแป้งทาร์ตกรอบฟูผสมผสานกับเนื้อชีสเนียนนุ่มที่เลือกระดับความเยิ้มได้ ระหว่าง Rare (เยิ้มมาก) และ Medium (เยิ้มน้อย) ก็เป็นอะไรที่ถูกใจขั้นสุด แม้ในสาขาต่างประเทศจะมีเพียง Medium Rare (เยิ้มกลาง) แค่ระดับเดียวก็ทำให้เหล่าแฟนคลับหลงรัก เช่นเดียวกับหลากเมนูอร่อยหลายรสชาติ จนเรากล้าพูดเลยว่าที่นี่มีดีกว่าเพียงชีสทาร์ต       เมนูแนะนำ Freshly Baked Cheese Tart ชีสทาร์ตซิกเนเจอร์ขนาด 15 เซนติเมตร อบสดๆ ก่อนส่งถึงมือ เนื้อชีสนุ่มๆ ทาทับด้วยแยมแอปริคอตบางๆ ให้รสอมเปรี้ยว   Freshly Baked Cheese Tart with Shiratama & Azuki ชีสทาร์ตชาเขียวที่พกพากลิ่นหอมละมุน แถมสร้างเซอร์ไพรส์ด้วยโมจิชิ้นเล็กๆ และถั่วแดงบดกลางชิ้น PABLO Mini ชีสทาร์ตไซส์มินิที่ย่อความอร่อยของไซส์ใหญ่ลงมา แต่รสชาติกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง แป้งทาร์ตที่เนื้อหนากว่า เช่นเดียวกับเนื้อชีสที่เข้มข้นกว่าทั้งกลิ่นและรส   Cheese Soft Serve ไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟเนื้อนุ่มหอมนมรสหวานละมุน เสิร์ฟมาในโคนวัฟเฟิลเคี้ยวกรุบกรอบ

แน่นอนว่าหนึ่งในความสุขของสาวๆ ทุกคนคงไม่พ้นการได้เลือกซื้อเสื้อผ้า พลางละเลียดอาหารอร่อยๆ สักจาน มาตอนนี้การรอคอยสิ้นสุดลงแล้ว เมื่อ FABLAB ร้านเสื้อผ้าสุดแนวที่เป็นเสมือนห้องทดลองทางแฟชั่นที่คัดสรรผลงานของดีไซน์เนอร์รุ่นใหม่ได้ลองเปิดคาเฟ่เป็นครั้งแรกในชื่อ FABLAB Café ไลฟ์สไตล์คาเฟ่ที่ผสมผสานอาหารและแฟชั่นเอาไว้ด้วยกันอย่างเหมาะเจาะ     สำหรับ FABLAB Café นับเป็นส่วนหนึ่งของแฟลกชิพสโตร์ โดยยึดฐานที่มั่นประจำการอยู่ที่ชั้น 1 ในขณะที่ชั้น 2 จะเป็นส่วนของร้านเสื้อผ้า และชั้น 3 จะเป็นส่วนของ Working Space พื้นที่พิเศษกับกิจกรรมเวิร์คช็อปต่างๆ จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน แก้มแดงกล้ารับประกันเลยว่าถ้ามาที่นี่แล้ว นอกจากจะได้กินของอร่อย คงไม่พ้นได้ของฝากติดไม้ติดมือกลับบ้านกันอีกต่างหาก       คอนเซปต์ความอร่อยของ FABLAB Café จะเน้นการผสานความเป็นแฟชั่น วิทยาศาสตร์ และการปรุงอาหารเอาไว้ด้วยกัน จนออกมาเป็นอาหารไทยกินง่ายที่มีหน้าตาและรสชาติที่ไม่เหมือนใคร ที่สำคัญที่นี่ยังได้รวบรวมวัตถุดิบเด็ดจากร้านในอินสตราแกรมมาหมุนเวียนให้ได้ลิ้มลองกันด้วย เรียกว่าสอบถามน้องๆ ที่ร้านกันได้เลย     เรามาเริ่มกันที่ Green Curry Tonkatsu (280 บาท) เมนูไทยแท้ที่ผสานความเป็นญี่ปุ่นด้วยการนำหมูทอดทงคัตสึชิ้นใหญ่หนานุ่มกรุบกรอบมาราดด้วยซอสแกงเขียวหวานรสเผ็ดปลายลิ้น (เผ็ดจริงไม่หลอก) วางบนข้าวสวยร้อนๆ ยิ่งตักกินยิ่งอร่อย     ตามด้วย Eggy Seafood Noodle (260 บาท) เส้นใหญ่คั่วทะเลที่อร่อยเป็นพิเศษจากเส้นที่ผ่านการคั่วจนได้ความกรอบนอกนุ่มในส่งกลิ่นหอมกรุ่น ผัดกับปลาหมึกและกุ้งตัวโต ก่อนจะตอกไข่ออนเซ็นเยิ้มๆ ให้คลุกเคล้าจนทั่ว (และนัว) ก่อนกิน     หากใครคอแห้งก็ต้องมาเข้าห้องทดลองกับเมนูที่มีชื่อว่า FABLAB Ice Chocolate Cube Tube (200 บาท) ช็อกโกแลตเย็นเสิร์ฟในแก้วทดลองเพื่อให้ทุกคนครีเอตรสชาติได้ตามใจ จากแผงชุดหลอดทดลองที่มีทั้งนม ช็อกโกแลต และนมข้น     ส่วนคอขนมหวานก็ห้ามพลาดกับ Cup F (220 บาท) เมนูยอดฮิตที่ใครๆ ก็ชื่นชอบ คุกกี้อบอุ่นๆ ในถ้วยกาแฟใบโต ท็อปปิงด้วยไอศกรีมวานิลลา เสิร์ฟเคียงคู่กับเมอร์แรงก์และช็อกโกแลตครัมเบิลมาตัดรสชาติ   ขอแนะนำว่าอย่าถ่ายรูปกันนานนะ เพราะคุกกี้ตักกินตอนอุ่นๆ รสละมุนอยู่ในปากนี่แหละฟินที่สุด

จากที่เราเห็นร้านกาแฟ D’Oro ตามห้างร้านต่างๆ มานานก็ถึงเวลาที่ร้านกาแฟ D’Oro จะมีสาขาแฟล็กชิปสักที ร้านสาขานี้ตั้งอยู่ที่ถนนสุขาภิบาล 5 สายไหม ตัวอาคารชั้นเดียวสีเขียวอมน้ำเงินสไตล์โมเดิร์นนั้นดูโดดเด่นจนไม่มีทางมองข้ามไปได้แน่ๆ ที่จอดรถกว้างขวาง เรียกว่าสัญจรสะดวกทีเดียว เมื่อเดินเข้ามาสัมผัสแอร์เย็นฉ่ำและบรรยากาศน่ารักๆ โปร่งสบายด้านในก็รู้สึกได้เลยว่า นี่แหละที่นั่งจิบกาแฟสุดชิล!     เริ่มจากสั่งเครื่องดื่มกับเบเกอรี่ที่มุมเคาน์เตอร์กันก่อน เราขอแนะนำ D’coffee กาแฟเย็นสูตรใหม่ที่รสนุ่มนวลกลมกล่อมมากๆ ไม่หวานจนเกินไป เห็นว่ามีส่วนผสมลับที่ทำให้รสละมุนละไมกว่ากาแฟเย็นสูตรเดิม และอีกเมนูสำหรับคนที่ชอบทานหวานหน่อย Malt x Coffee ที่ได้รสมอลต์หวานมันและท็อปด้วยวิปครีมอีกที      ส่วนขนมหวานซิกเนเจอร์ของร้านต้อง “เค้กช็อกโกแลต” สูตรที่คุณแม่ของคุณนีน่าเจ้าของร้านเป็นผู้คิดค้นขึ้นตั้งแต่เริ่มเปิดร้านใหม่ๆ เค้กช็อกโกแลตเนื้อนิ่มรสเข้มข้น โรยด้วยผิวส้ม และ “ช็อกโกแลตบราวนี่” ซึ่งเป็นเมนูขายดีที่สุดของร้าน นอกจากนี้ยังมีขนมหวานที่คิดขึ้นมาใหม่สำหรับร้านสาขานี้คือ “ช็อกโกแลตมูส” เนื้อมูสได้รสช็อกโกแลตเข้มข้นทีเดียว       นอกจากเมนูประจำแล้ว ในแต่ละช่วงของปีเรายังจะได้ลิ้มรสเมนูประจำฤดูกาลจากการรังสรรค์ของเชฟ อย่างช่วงซัมเมอร์ก็มีเมนูขนมหวานที่ผสมผสานรสชาติแบบไทยๆ มาให้ลิ้มลองกัน อาทิ เค้กสังขยาไบเตย เอแคลร์กระเจี๊ยบ และเดนิชลูกตาล เครื่องดื่มพิเศษก็มีให้เลือกสั่งด้วยเช่นกันอย่างอเมริกาโน่กระเจี๊ยบ ดื่มแล้วได้รสเปรี้ยวหวานสดชื่นของกระเจี๊ยบเข้ามาเสริมรสกาแฟ ส่วนในฤดูกาลต่อไปจะมีเมนูใหม่อะไรมาเสนอต้องติดตามดู       เมนูของหวานที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งคือ Bread Butter Banana Coffee เนื้อขนมเป็นเหมือนลูกครึ่งระหว่างครัวซองต์และบริออช คือมีความนุ่มเนียนและหอมเนยมากๆ เนื้อสัมผัสเป็นชั้นๆ กรอบนอกนุ่มในแบบครัวซองต์ ท็อปด้วยกล้วยหอมเฟลมเบ้หอมหวานคาราเมลและอมเปรี้ยวนิดๆ เสิร์ฟกับเอสเปรสโซ สเฟียร์ กาแฟรสเข้มที่อัดแน่นอยู่ในสเฟียร์ เมื่อทานเข้าไปทั้งคำก็จะแตกโพละเป็นรสกาแฟในปาก ชวนให้ทานเพลินจนหมดจานไม่รู้ตัว!     ที่สำคัญสาขานี้ยังสามารถสั่งแบบ Drive-thru ได้ด้วย คือโทรสั่งล่วงหน้าเพื่อแวะรับกาแฟและขนมหวานไปทานต่อที่อื่นได้เลย เป็นอีกทางเลือกสำหรับใครที่มีเวลาจำกัด ลองแวะไปดูกันนะ   

ขอเอาใจสาวๆ สายแบ๊วกันอย่างเต็มที่ เพราะวันนี้เราจะพาไปเยือน “TKT’s Row House” คาเฟ่เล็กๆ แต่ความน่ารัก(ของขนมและเครื่องดื่ม)ไม่แพ้ที่ไหนเลย โดยเฉพาะเมนูของหวานสุดฮิตอย่าง “โดนัท” ที่ไม่ได้มีดีแค่ความมุ้งมิ้ง แต่ยังใส่ใจสุขภาพกันสุดๆ ด้วยสูตรพิเศษจากเจ้าของร้านสาวสวยที่อยากให้เหล่านักชิมได้อร่อยกับของหวานที่ไม่ทำร้ายร่างกาย โดยร้านนี้ใช้แป้งโฮลวีตผสมนมถั่วเหลือง เนื้อสัมผัสของโดนัทจึงหนึบแน่นกว่าโดนัตทั่วไป เมื่อผสานกับกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของนมถั่วเหลืองยิ่งอร่อยไม่เหมือนใคร       ก่อนจะไปเลือกโดนัท เราแนะนำให้สั่งเครื่องดื่มที่ชอบกันก่อน แต่ถ้าไม่รู้จะชิมเมนูไหน ลองซิกเนเจอร์อย่าง Chocolate Strawberry ช็อกโกแลตเย็นเข้มข้นผสมนมสตรอว์เบอร์รีหอมหวาน รสชาติกลมกล่อมเข้ากั๊น...เข้ากัน ส่วนคอกาแฟเป็นต้องโดนใจกับเมล็ดกาแฟที่ร้านนี้สลับหมุนเวียนมาให้ชิมตลอด อาทิ กาแฟจากบราซิล โคลัมเบีย ฯลฯ เราลอง Ice Café Latte แล้วเบาๆ กำลังดีและไม่หวานเกินไป     ได้เครื่องดื่มแก้วโปรดแล้วก็ได้เวลาไปเลือกโดนัทแสนอร่อยกันแล้ว ไม่รอช้าเราพุ่งตัวไปหยิบ Animal Whole Wheat Soy Milk Donuts ลายกุ๊กกิ๊กรูปสัตว์นานาชนิด อาทิ แมวน้ำ แมวเหมียว ลูกเจี๊ยบ ลูกหมู กระต่าย และกบน้อยตาโตมาจับคู่กับกาแฟและช็อกโกแลตสตรอว์เบอร์รีแล้วถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน       สำหรับสาวหวาน Whole Wheat Soy Milk Donuts with Chocolate ลายดอกไม้เล็กๆ หรือลายหัวใจกุ๊กกิ๊กเป็นต้องโดนใจ แต่หากไม่ชอบความหวาน ลองสั่ง Plain Whole Wheat Soy Milk Donuts โดนัทรสออริจินอล(ไม่มีหน้าที่ทำจากช็อกโกแลต)ก็อร่อยได้แบบคลีนๆ     นอกจากโดนัทสุดฮิต TKT’s Row House ยังมีขนมอีกหลากหลายชนิดให้ชิม อาทิ เค้ก ทาร์ต และพุดดิงหน้าตาน่ากิน ไปจนถึงเครื่องดื่มซาบซ่าอย่างอิตาเลียนโซดาหลากรส เช่น มะม่วง เสาวรส แอปเปิลสตรอว์เบอร์รี และราสพ์เบอร์รี รวมทั้งชาผลไม้หอมๆ อีกด้วย เรียกว่าใครอยากเติมความสดชื่นให้ชีวิตแวะไปที่ซอยศาลาแดง ถนนสีลมกันได้เลย  

หลังจากปั้น Kyo Roll En เป็นร้านขนมหวานขวัญใจมหาชนไปเป็นที่เรียบร้อย ล่าสุดก็มาพร้อมกับคอนเซ็ปต์ใหม่ที่ทำให้เหล่าสวีทเลิฟเวอร์ดี๊ด๊ายิ่งกว่าเก่า เพราะตอนนี้เราสามารถนั่งรอกินขนมสวยๆ แบบ Chef Table กันที่ชั้น G ศูนย์การค้าสยามพารากอนกันได้แล้วค่ะคุณผู้ชม   เชฟเดช คิ้วคชา ผู้อยู่เบื้องหลังความอร่อยมาแต่อ้อนแต่ออก เล่าให้ฟังว่าคอนเซ็ปต์ของ Kyo Bar คิดขึ้นมาเพื่อให้พื้นที่นี้เป็นโชว์เคสของขนมหวานที่เปิดโอกาสให้เชฟและลูกค้าได้พูดคุยกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นก็สะท้อนผ่านบรรยากาศของบาร์ขนมหวานที่มีหน้าตาคล้ายซูชิบาร์แบบเป๊ะๆ แต่ความอร่อยช่างแตกต่าง เมื่อเราจะได้สัมผัสกับกระบวนการทำขนมหวานจานใหญ่ที่แก้มแดงเชื่อว่าต้องร้องว้าว! อย่างแน่นอน               แม้จะเป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ แต่แก้มแดงอยากบอกว่าวิธีสั่งไม่ได้ยากอย่างที่คิด ขนมหวานจะถูกสับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล โดยแบ่งออกเป็น Appetizer ขนมหวานจานเล็กกินหมดใน 3-4 คำ Main ขนมหวานจานใหญ่อิ่มกำลังดี และ Beverage เครื่องดื่มแสนอร่อยตามใจคุณ ซึ่งวิธีสั่งนั้นก็ต้องระลึกไว้ว่าทุกคนต้องสั่งกันอย่างน้อย 1 เซ็ตแบ่งตามระดับราคาและความอิ่ม เริ่มตั้งแต่ UME ที่ให้เลือก Main 1 จาน + Beverage 1 แก้วในราคา 300 บาท ตามด้วย TAKE ที่ให้เลือก Appetizer 1 จาน และ Main 1 จาน ราคา 350 บาท และชุดใหญ่สุด MATSU ที่เราได้เลือกเมนู Appetizer, Main และ Beverage ได้อย่างละหนึ่ง ในราคา 400 บาท แต่ถ้าใครยังไม่จุใจก็สามารถสั่งเพิ่มเติมกันได้     พูดมากกว่านี้เดี๋ยวจะไม่ได้เห็นขนมกันพอดี แก้มแดงเลยขอเริ่มด้วย Appetizer สุดเก๋อย่าง BBQ ที่หลอกเรากันตั้งแต่เสิร์ฟ ด้วยหน้าตาเหมือนขาปูทาราบะย่างบนเตา แต่นี่คือร้านขนมหวานจะแทะปูก็จะดูไม่ดี ดังนั้น สิ่งที่เราจะได้ชิมกลับเป็นถ่านไม้เมอร์แรงก์เนื้อกรอบนุ่มในที่ซ่อนอยู่ข้างล่าง (ถ้าไม่อยากโดนสปอยล์ขอให้ไถผ่านไป) ให้จิ้มกับซอสชาเขียวรสเข้ม หรือซอสมะม่วงหวานอมเปรี้ยว หรือจะลอง EGG พุดดิ้งวานิลลาที่เสิร์ฟมาในไข่ไก่ใบย่อม       แต่ถ้าคิดว่านี่อลังการแล้วเมนู Main ก็มีทีเด็ดไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น Zen Garden เมนูซิกเนเจอร์ที่จำลองความสวยงามของสวนหินอันเลื่องชื่อของเมืองเกียวโตมาไว้ในจานได้อย่างน่าทึ่ง ประกอบด้วยชีสเค้กงาดำนุ่มๆ ทำเป็นหินก้อนยักษ์ ตามด้วยคุกกี้จากถ่านไม้ไผ่เป็นหินก้อนเล็กก้อนน้อย ส่วนทางเดินริ้วๆ ก็ทำมาจากชีสที่เพิ่มความเค็มมาตัดรส แถมด้วยกรานิต้ารสงาดำคล้ายปุยหิมะมาราดตกแต่งสวนให้ตักชิมกินคู่กัน     สำหรับคนที่ชอบรสเปรี้ยวเหมือนแก้มแดง ขอเชียร์ Oops! เมนูที่ทำให้แอบร้องเสียงหลงว่าเขาทำแก้วพาร์เฟต์สตรอว์เบอร์รี่แสนอร่อยของเราหกหรือเปล่า!?! แต่ความจริงแล้วนี่คือความตั้งใจของเชฟเดชที่อยากให้เราได้เห็นส่วนผสมในแก้วกันแบบชัดๆ ตั้งแต่ มูสเนื้อนุ่ม ไอศกรีมเบอร์รี่ โยเกิร์ต เยลลี่ พร้อมด้วยเกล็ดน้ำแข็งสกัดจากดอกไฮบิคัส (ดอกชบา) มาช่วยเพิ่มความสดชื่น               แล้วอย่าลืมปิดท้ายด้วยความเข้มข้นของ Cacao Story ที่จำลองเรื่องราวของช็อกโกแลตตั้งแต่เริ่มปลูกจนกระทั่งร่วงหล่น จานนี้จึงมีตั้งแต่บิสกิตรูปต้นไม้ทำจากใบมิโสะรสออกเค็มๆ มีช็อกโกแลตทำเป็นเงาพาดผ่าน ใกล้กันนั้นมีเมล็ดช็อกโกแลตที่ทำมาเค้กช็อกโกแลตสอดไส้เฮเซลนัตพาลีน ร่วมด้วยเห็ดเมอแรงก์ชิ้นเล็กๆ และดินจากผงช็อกโกแลต วิธีกินก็ให้นำส่วนผสมทั้งหมดคลุกเคล้าให้เข้ากัน ก่อนละเลียดอย่างช้าๆ เอาเป็นว่าแก้มแดงทำใจอยู่นานเชียว กว่าจะตัดใจล้มต้นไม้สุดน่ารักนั้นได้            

4th Floor Drip Bar หรือชั้น 4 ร้านกาแฟใหม่เอี่ยมที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่ถึงเดือน ตั้งอยู่บนชั้น 4 ของร้าน Baker Gonna Bake ซอยสุขุมวิท 26 ร้านนี้ดูแลโดยกลุ่มเพื่อน 4 คน คือ คุณอิฐ-คุณยู-คุณจักร และคุณแป้งที่ชาว G&C คงพอคุ้นกันอยู่แล้ว      ทันทีที่เปิดประตูไม้เข้าไป เราก็รู้สึกเหมือนได้เจอ Hidden Place แห่งใหม่กับบรรยากาศที่เป็นส่วนตัวอย่างที่สุด โดยเฉพาะกลิ่นหอมของกาแฟและเสียงเพลงที่เปิดคลอช่วยให้ลืมอากาศร้อนด้านนอกไปซะดื้อๆ  ตัวร้านอบอุ่นด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ มีบาร์เล็กๆ ให้นั่งจิบกาแฟไป ชวนคุณอิฐคุยไปด้วย (คุณอิฐความรู้แน่นมาก คุยสนุกด้วยนะ) นอกจากที่นี่จะมีกาแฟดริปเป็นตัวชูโรง ยังมีเมนูพิเศษที่นำดอกไม้หรือผลไม้ไทยมาเพิ่มลูกเล่น ซึ่งคุณอิฐบอกว่านำประสบการณ์หลายปีเมื่อครั้งยังเป็นบาริสตามาคิดค้นสูตรใหม่ๆ ให้กาแฟน่าสนใจมากขึ้น ทุกแก้วของที่นี่จึงไม่ใช่แค่รสชาติดีเท่านั้น แต่ยังมองแล้วสวย กลิ่นก็หอมรัญจวนใจ       เริ่มแก้วแรก ช่อกินรี แก้วนี้สีแดงเข้มสวย ทางร้านใช้เมล็ดกาแฟม่อนแจ่ม ชงด้วยวิธีดั้งเดิมตามความถนัดของคุณอิฐ คือนำเมล็ดมาทุบแล้วต้มในหม้อ แต่ต้องใช้ความชำนาญเป็นพิเศษ ใส่ไซรัปทำจากกระเจี๊ยบและขิง จิบแล้วสดชื่นแปลกใหม่ ประดับแก้วด้วยขิงสดและดอกกระเจี๊ยบ เวลายกจิบจะอยู่ใกล้จมูกเราพอดี      ต่อด้วยแก้วโปรดของเรา มงกุฎสุมาลา ชื่อหมายถึงมงกุฏดอกไม้สีขาว เมื่อนำมาสวมแล้วจะได้กลิ่นหอมจรุงใจ แก้วนี้ใช้ชาขาวดอกมะลิ ใส่วุ้นว่านหางจระเข้ หยดด้วยน้ำปรุงทำเองจากกระเจี๊ยบและทับทิม ช่วยเรื่องกลิ่นและรสชาติ เพิ่มลูกเล่นด้วยเมล็ดทับทิมและส้ม ประดับด้วยใบเตย กลิ่นหอมมาก จิบแล้วชื่นใจหายเหนื่อย แถมมีเมล็ดทับทิมกรุบๆ ให้ได้เคี้ยว       ปิดท้ายด้วยแก้วเด็ด เสน่ห์วันทอง แค่ชื่อก็กินขาด คุณอิฐจับมะขามคลุกบ้านเรามาทำเป็นเครื่องดื่ม เติมไซรัปพริกเกลือ และจิงเจอร์เอลเล็กน้อย แก้วนี้ครบทั้งเปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด แต่งปากแก้วด้วยเกลือและพริกสด...ยกขึ้นจิบแล้วได้รสเผ็ดนิดๆ ให้พอปากเจ่อ   

ขอยกตำแหน่งโอเอซิสแห่งใหม่ใจกลางซอยทองหล่อให้ไปเลย สำหรับ The Blooming Gallery Tea Cafe & Bar ของ 2 สาวเพื่อนสนิทที่ชอบดอกไม้ หลงใหลการดื่มชา และรักการทำขนมเป็นชีวิตจิตใจ โดยเธอทั้งสองนำความชอบทั้งหมดมาผสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นสถานที่ชิลเอาต์สุดสวยที่เต็มไปด้วยความสุขสมกับนิยามน่ารักๆ ของที่นี่อย่าง "A place where happiness blooms like flowers"     ด้วยบรรยากาศสไตล์ Sweet Rustic ที่แฝงความร่มรื่นผ่านการจัดวางดอกไม้สวยๆ ในแทบทุกมุม อาทิ ไฮเดรนเยีย พีโอนี ซึ่งถ้าชอบช่อไหนก็สามารถซื้อกลับไปชื่นชมที่บ้านได้ด้วย รวมทั้งความโปร่งสบายของร้านที่ใช้หลังคากระจกรับแสงแดดธรรมชาติ แต่ไม่ต้องกลัวผิวเสีย เพราะที่นี่ติดฟิล์มกรองความร้อนและรังสียูวี เรียกว่าโดนใจ(สาวๆ)เหล่าคาเฟ่ฮอปเปอร์ไปเต็มๆ     นั่งชิลกับบรรยากาศดีๆ แล้วต้องลองชิมเมนูโฮมเมดของ The Blooming Gallery ที่ไม่เหมือนใคร เริ่มด้วย Home Fries with Truffle Sauce มันหวานญี่ปุ่นทอดกรอบนอกนุ่มใน กินคู่กับซอสทรัฟเฟิลโฮมเมดสูตรเด็ด          แล้วอิ่มกำลังดีกับ Tomyum Quinoa with King Prawns เมนูเฮลท์ตี้อร่อยเกินคาดที่ใช้ควินัวแทนข้าวผัดกับซอสต้มยำรสจัดจ้าน มาพร้อมกุ้งแม่น้ำตัวโตและเลมอนให้บีบเพิ่มสำหรับคนชอบความเปรี้ยว     ก่อนจบด้วยของหวานสุดฮิต A Path in the Forest การผสมผสานซอฟต์ชีสเค้กหอมมัน มูสชาเขียวหอมหวาน ครัมเบิลกรุบกรอบ และครีมสดนุ่มลิ้น ก่อนโรยหน้าด้วยผงชาเขียวอีกชั้นที่รับประกันว่าคนรักชาเขียวต้องเลิฟสุดๆ     แต่ถ้ายังไม่อิ่มต้องเพิ่มความฟินด้วย Freshly Made Scones สคอนกรอบนอกเนื้อในนุ่ม เสิร์ฟคู่กับคอตเทจครีมพรีเมียมจากอังกฤษและแยมสตรอว์เบอร์รีโฮมเมด แถมยังมีให้เลือกถึง 6 รสชาติ ทั้งออริจินอล เอิร์ลเกรย์ ลาเวนเดอร์ กุหลาบ น้ำผึ้ง และชาเขียว     เราแนะนำให้เพิ่มความรื่นรมย์อีกนิดด้วยชาเบลนด์สไตล์อังกฤษหอมหวานอย่าง My Dear Rose ชากุหลาบผลไม้ที่ดื่มแล้วเหมือนอยู่ท่ามกลางสวนกุหลาบ ผสานรสเปรี้ยวนิดๆ ของผลไม้นานาชนิดยิ่งทำให้อารมณ์ดี และ My Last Blue Valentine ชามิกซ์เบอร์รีที่ดื่มแล้วสดชื่นจนแทบลืมทุกเรื่องเศร้าสมกับชื่อเลยทีเดียว ซึ่งทั้งสองเมนูนี้คือซิกเนเจอร์สุดพิเศษที่ดื่มได้แค่ที่ร้านเท่านั้น    

แม้จะเปิดตัวมานานหลายปี แต่ Riva Floating Café คาเฟ่ลอยน้ำภายในปานเทวี ริเวอร์ไซด์รีสอร์ทแอนด์สปา จังหวัดนครปฐม ยังคงเป็น Secret Place ในหัวใจของใครหลายคน ด้วยวิวสวยสงบริมแม่น้ำท่าจีน บวกกับโซนด้านนอกที่ให้ได้จุ่มขาลงไปในน้ำได้สบายใจ     กลับมาครั้งนี้ ที่นี่เพิ่งเปิดตัวเรือนลอยน้ำหลังใหม่ ดีไซน์คล้ายหลังเดิมแต่ดูโฮมมี่กว่า ตัวร้านยังเป็นกระจกใสล้อมรอบ พร้อมที่นั่งด้านนอกเหมือนเคย ส่วนหลังเก่ากำลังรีโนเวททำเป็นห้องสัมมนาลอยน้ำซึ่งกำลังจะเปิดตัวเร็วๆ นี้       แน่นอนว่าไฮไลต์ของร้านนี้ยังคงเป็นเมนูกาแฟ กาแฟเฮ้าส์เบลนด์มีคาแรกเตอร์เฉพาะตัวมาก เพราะเบลนด์จากเมล็ดกาแฟทางเหนืออย่าง ดอยอมก๋อย ดอยช้าง และเมล็ดจากต่างประเทศอย่างเอธิโอเปีย บราซิล รวมถึงอินโดนีเซีย แต่เราอยากให้ลองเมนูเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ทางร้านทำออกมาได้เก๋ไม่แพ้กัน อาทิ Emerald Summer Tea ชาผลไม้สีสวยไร้คาเฟอีน รสออกเบอร์รี่ จิบแล้วสดชื่นคลายร้อน Coco Blue Frappe น้ำมะพร้าวอัญชันปั่น ตกแต่งด้านบนด้วยสายไหม หรือจะลอง Raspberry Rosé ราปส์เบอรรี่โซดาซาบซ่า หอมกลิ่นกุหลาบ แถมมีเนื้อราสป์เบอรรี่ให้ได้เคี้ยว       ขยับมาที่ของคาวกันบ้าง เริ่มด้วยเมนูกินเล่นอย่างหมูทอดเสิร์ฟกับน้ำจิ้มแจ่ว สันคอหมูนุ่มๆ หมักจนเข้าเนื้อ มีมันติดนิดๆ เรียกน้ำย่อยได้ดีเชียว ต่อด้วย Salami Pizza พิซซ่าแป้งบางกรอบ หน้าซาลามี่อย่างดีนำเข้าจากอิตาลี หอมเค็มกำลังดี ซอสพิซซ่าทำเองรสดีเชียว Smoked Salmon Rocket Salad สลัดแซลมอนรมควันและผักร็อกเก็ต ราดด้วยน้ำยำรสแซบจัดจ้าน กินได้เพลินๆ ไม่เลี่ยน         ปิดท้ายด้วยขนมหวานเมนูใหม่ (ต้อนรับเรือนลอยน้ำใหม่) Pomelo Sorbet Ice cream served with Glutinous Rice Roasted in Bamboo Joints นำของขึ้นชื่อของ นครปฐมมาเสิร์ฟพร้อมกัน คือข้าวหลามมะพร้าวอ่อนกับไอศกรีมส้มโอโฮมเมด ท็อปด้วยเปลือกส้มโออบแห้ง อร่อยชื่นใจมาก หรือจะลอง Passion fruit Tart ทาร์ตเสาวรสที่ทางร้านผสมเนื้อเสาวรสลงไปในแป้งทาร์ตด้วย รสเปรี้ยวๆ หวานๆ  ท็อปด้วยเบอร์รี่และสตรอว์เบอร์รี่     

ธีมคอนเซ็ปต์ของ Pooltime Café ดีไซน์ออกมาตามชื่อร้าน เพียงแต่ว่าไม่มีสระว่ายน้ำอยู่จริง เฉพาะป้ายชื่อร้านก็เด่นด้วยบันไดขึ้นจากสระน้ำ ส่วนเก้าอี้และโต๊ะก็ดีไซน์เหมือนเก้าอี้ริมสระน้ำ ผนังเป็นกระเบื้องสีขาวรอบตัว ดูยังไงก็สระว่ายน้ำ ส่วนธีมรองเป็นคาเฟ่แรคคูนที่มีห้องสำหรับเล่นกับแรคคูนที่ชั้น 2 เสียค่าเข้า 150 บาท (100 บาทใช้เป็นส่วนลดค่าอาหาร) เพื่อเล่นกับแรคคูนทั้ง 3 ตัว คนละ 15 นาที เฉพาะเวลา 13.00-15.00 น. และ 16.30-18.30 น. สำหรับอาหารคงเอาอาหารง่ายๆ สไตล์คาเฟ่ที่เป็นสูตรของคุณแม่ของเจ้าของร้าน       เมนูแนะนำ Pooltime Blue Burger แป้งบันสีฟ้าให้ร้านขนมปังอบใหม่ตามสูตรของร้านทุกวัน มีจำกัดเพียงวันละ 20 ชิ้น     Spaghetti Carbonara สปาเก็ตตี้สูตรซอสครีมฉ่ำๆ แถมไข่แดงอีกฟอง ใครชอบซอสริชๆ ต้องจานนี้แหละ   Pancake Strawberry Fresh Cream แพนเค้กครีมสด ราดเมเปิลไซรัปและสตรอว์เบอร์รี   Tea มีให้เลือกทั้งมัตฉะลาเต้ และโฮจิฉะลาเต้ มาแนวชาญี่ปุ่น   Coffee ใช้เมล็ดกาแฟจากแม่สรวยที่เบลนด์จากเมล็ดกาแฟคั่วเข้มและคั่วกลาง ให้รสชาติกาแฟดำดีมาก ส่วนกาแฟนมอาจจะต้องปรับเบลนด์หน่อย

เมื่อพูดถึง “ชานม” เราก็คงนึกถึงไต้หวันเป็นที่แรกๆ แต่คงไม่ใช่กับ “Heekcaa” เพราะร้านชาน้องใหม่สุดฮิตเปิดไม่ถึงเดือน บนชั้น 2 Siam Discovery เป็นแฟนไชส์จากประเทศจีน และที่สำคัญการมาของฮีคค่า หรือ “เฮย์ที” (Heytea) ตามการเรียกในภาษาจีนกวางตุ้ง ก็ได้สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการชานมที่ดูเงียบเหงาให้กลับมาสดใสขึ้นอีกครั้ง จนสื่อจีนต่างกล่าวขวัญถึงความฮอตฮิต เพราะสาขาแรกที่เริ่มเปิดในเซี่ยงไฮ้เมื่อต้นปีก็ได้สร้างสถิติคนรอนานกว่า 2 ชั่วโมงแล้ว!! (ช็อคมั้ยล่ะ)       โชคดีที่คนไทยต่อแถวไม่นานก็ได้ลองลิ้มชิมชาที่มีต้นกำเนิดจากมณฑลกว่างตงกันแล้ว แน่นอนจุดเด่นของชาแบรนด์นี้ก็คือการนำเอาวิปครีมชีสข้นๆ มาวางบนชาแก้วโปรด พร้อมเพิ่มทอปปิงให้ดูน่ารัก ซึ่งนับเป็นการนำเครื่องดื่มที่คุ้นเคยของชาวจีนมาทำให้ดูเทรนดี้ขึ้น หลังจากที่ไข่มุกเนื้อนุ่มเด้งเคยทำมาแล้ว นอกจากนี้โลโก้ของเฮย์ทียังกลายเป็นมีม หรือภาพการ์ตูนล้อขวัญใจชาวจีนอีกด้วย ดังนั้นคงไม่ต้องบอกแล้วล่ะว่าเฮย์ทีเขามีดีขนาดไหน     ก่อนจะไปชิม แก้มแดงขอพาทุกคนมาติววิธีกินกันก่อน โดยตามหลักที่ถูกต้องเขาว่ากันว่าต้องยกแก้วขึ้นซด 45 องศาตามโลโก้ร้าน อันเป็นองศาเหมาะที่จะทำให้ชากะชีสผสมกันอย่างลงตัว แต่หลังจากแก้มแดงลองดูก็พบว่าวิธีนี้คงได้กินแต่ชีสเสียมากกว่า ก็เลยเปลี่ยนมาลองใช้หลอดดูด (ที่เขาห้าม) มาชิมชีสที่ผิวหน้าสุดก่อน แล้วจึงค่อยๆ กดหลอดดันลงไปอย่างช้าๆ เพื่อชิมเครื่องดื่มข้างล่าง ซึ่งวิธีนี้ก็ดีเลยล่ะ ขอแนะนำ แต่ถ้าอยากได้หนวดครีมนมแล้วล่ะก็ ต้องยกซดเท่านั้น     แก้มแดงขอเริ่มด้วยซิกเนเจอร์เมนู Heekcaa Cheese (90 บาท) ชาอู่หลงหอมๆ สีเหลืองทองเปล่งประกายรสออกหวานท็อปด้วยครีมชีสหนาๆ โรยด้วยผงชาเขียว ซดแล้วสดชื่น ตามด้วย Matcha Cheese (120 บาท) ที่น่าจะคว้าใจคนรักชาเขียวไปแบบเต็มๆ จากความเข้มข้นปนฝาดน้อยๆ ของชาเขียวมัทฉะ เมื่อเข้าคู่กับครีมชีสข้นๆ รสเค็มก็ดูเหมาะเจาะ       หรือจะลอง Milo Cheese (95 บาท) เมนูที่ทำให้นึกถึงเครื่องดื่มในวัยเด็กอีกครั้ง แต่เด็กในอดีตคงต้องอิจฉา แต่ถ้าชอบแนวผลไม้ก็ห้ามพลาด Mango Cheese (120 บาท) เมนูเบสต์เซลเลอร์ที่ขอบอกว่ามันนัวดีจัง ให้อารมณ์เหมือนกินชีสเค้กมะม่วงเย็นเจี๊ยบ โดยที่เราไม่ต้องใช้ช้อน       แล้วอย่าลืมปิดท้ายกับ Cha – Thai Cheese (120 บาท) เมนูที่มีเฉพาะที่ไทยแลนด์แดนสไมล์เท่านั้น ที่นำชาไทยรสนวลๆ (อาจไม่เข้มข้นเท่าที่รู้จัก) เททับด้วยครีมชีสหนาๆ โรยหน้าด้วยฝอยทองให้ละเลียดเล่นแบบเพลินๆ        

นอกจากจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดฮิตของเหล่าฮิปสเตอร์ในยุคนี้แล้ว ปีนังยังเป็นต้นกำเนิดร้านเบเกอรียอดนิยมขวัญใจชาวมาเลย์อย่าง Love A Loaf ที่ตอนนี้มาเปิดสาขาแรกในเมืองไทยที่ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ให้สายขนมปังได้อร่อยกันง่ายๆ ด้วยคอนเซ็ปต์ Bakery & Dessert Cafe เสิร์ฟขนมปังสไตล์ฝรั่งเศสอบสดใหม่วันต่อวัน ที่สำคัญคือทุกชิ้นทำจากวัตถุดิบธรรมชาติที่ดีต่อสุขภาพในราคาย่อมเยา       แต่หากมาถึงร้านแล้วละลานตากับบรรดาขนมปังหน้าตาน่ากินที่วางเรียงรายจนเลือกไม่ถูก เราแนะนำให้เริ่มต้นด้วย Croissant Donut โครนัตสูตรเด็ดกรอบนอกนุ่มใน เมนูยอดนิยมอันดับหนึ่งที่ไม่ว่าจะกินแบบสอดไส้ต่างๆ เช่น เบคอน ชาเขียว ไปจนถึงทุเรียน หรือจะกินคู่ไอศกรีมโฮมเมดหลากรสชาติก็อร่อยไม่แพ้กัน         ส่วนขนมปังชนิดอื่นๆ ก็เด็ดไม่แพ้กัน โดยเฉพาะครัวซองต์และเดนิชที่ไม่ควรมองข้าม(ความอร่อย) เราชอบ Salted Egg Golden Lava Croissant ครัวซองต์หอมกรุ่นสอดไส้ไข่เค็มลาวาเยิ้มๆ หอมเนยสุดๆ และ Fruitiest Danish เดนิชแป้งกรอบหน้าผลไม้หลากสีสัน ทั้งสตรอว์เบอร์รี กีวี พีช และสับปะรด หากใครกลัวฝืดคออย่าลืมสั่งซิกเนเจอร์สมูทตี้มาเพิ่มความสดชื่น อาทิ Passion Fruit และ Chocolate Mixed berry     สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย 

ช่างหยิบจับคำมาตั้งชื่อร้านได้สะดุดใจ สำหรับเดย์ดรีม บีลีฟเวอร์ (Daydream Believer) คาเฟ่แห่งใหม่ในซอยพหลโยธิน 12 ของกลุ่มเพื่อนรักต่างอาชีพที่เปิดร้านขึ้นมาเพื่อเป็นพื้นที่รวมความฝันของทุกคนไว้ด้วยกัน     นอกจากเป็นคาเฟ่ในสวนอังกฤษ ยังออกแบบให้เป็น Creative Space สำหรับให้คนรักงานอาร์ตมาใช้เป็นที่นั่งทำงาน เปิดคลาสเวิร์คชอป จัดอีเวนต์ ฯลฯ ตัวร้านรีโนเวตจากบ้านเก่ายุค 70 ซึ่งมีโครงสร้างสวยคลาสสิกอยู่เป็นทุนเดิม (ขอใช้คำว่าเป็น "บ้านในฝัน" น่าจะอธิบายได้ชัดที่สุด) แล้วสร้างเรือนกระจกเพิ่มอีก 2 หลัง ด้านในมีต้นไม้ต้นเล็กๆ แขวนไว้ให้พักสายตา ความน่ารักคือรายละเอียดยิบย่อยที่ซ่อนไว้ตามมุมร้าน ทั้งของสะสมโบราณ จาน ชาม ช้อน ส้อม เรียกว่ามองไปทางไหนก็เพลิดเพลินไปหมด           เมนูของที่นี่ครบครันทั้งอาหาร เบเกอรี่โฮมเมด และเครื่องดื่ม เชฟจัดอาหารออกมาทั้งไทยและฝรั่ง จานแรกข้าวคลุกน้ำพริกปลาทู-ไข่พะโล้ เมนูประจำบ้านที่ส่งกลิ่นหอมชวนน้ำลายสอมาแต่ไกล น้ำพริกรสจัดใช้ได้ เข้ากับเนื้อปลาทูอย่างดี มีไข่และหมูพะโล้ชามเล็กเสิร์ฟคู่มาตัดรสกัน     ต่อด้วยจานฝรั่ง Angel Hair Pesto Avocado เส้นแองเจิลแฮร์ผัดกุ้งซอสเพสโตอะโวคาโด ซอสเพสโตรสเข้มข้นไปได้ดีกับเส้นพาสต้ากรุบๆ และความหอมมันของเนื้ออะโวคาโด     และอีก 1 จานเด่น Grilled Chicken with Garlic Sauce น่องไก่ย่างซอสกระเทียมเสิร์ฟพร้อมมันบด น่องไก่ย่างมาดีมาก หนังกรอบ เนื้อด้านในชุ่มฉ่ำ ไม่แห้ง รสชาติดีกินกับมันบดนุ่มๆ แล้วชอบมาก     อิ่มคาวแล้วตบท้ายด้วยของหวาน Brownoffee ลูกผสมระหว่างบราวน์นี่และบานอฟฟี่ เสิร์ฟมาในแก้วใส ด้านล่างเป็นชิ้นบราวน์นี่โฮมเมดเนื้อแน่นๆ ราดด้วยซอสคาราเมลทำเอง ท็อปด้านบนด้วยผลกล้วยและวิปครีม