เวลาคิดอยากกินอาหารเกาหลีทีไร เชื่อเถอะว่าร้อยทั้งร้อยไม่พ้นไปจบตรงที่โคเรียนทาวน์แหล่งรวมความอร่อยสไตล์กิมจิหน้าปากซอยสุขุมวิท 12 แต่ตอนนี้เรามีตัวเลือกแห่งใหม่ให้ไปลองกัน แถมยังอยู่ใกล้รถไฟใต้ดินเหมือนเดิม เพราะเพียงแค่เดินออกจาก MRT ศูนย์วัฒนธรรม ทางออก 4 ข้างๆ ตึก RS Tower ก็จะถึง Dosirak จุดหมายของเรา     ที่ต้องเคลมว่าที่นี่เป็นคาเฟ่ลึกลับก็เพราะ ร้านนี้ซุกซ่อนตัวอยู่บนชั้น 2 ตึกเดียวกันกับ Jiduban G Market มินิมาร์ทที่รวบรวมสินค้าอาหารแห้งจากเกาหลีมาให้ช็อปกันอย่างฉ่ำใจที่เปิดให้บริการมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นวิธีเข้าร้านก็ให้มองหาบันไดแคบๆ ที่อยู่ทางซ้ายมือของมินิมาร์ทจากนั้นก็ให้เดินขึ้นไปก่อนจะได้พบกับคาเฟ่ที่ประดับประดาไปด้วยหลอดไฟแสนอบอุ่น     นอกจากแสงไฟเหลืองๆ เรืองรองที่เรารักแล้ว ความน่ารักของที่นี่ยังอยู่ที่การตกแต่งและการใช้พื้นที่ได้คุ้มค่ามากๆ เพราะมีโต๊ะให้เราได้เลือกทั้งแบบโต๊ะเดี่ยวสำหรับนั่งคนเดียว โต๊ะริมหน้าต่างให้มองวิวข้างนอก โต๊ะแบบนั่งรวมสำหรับคนมาเป็นกลุ่ม ไปจนถึงมุมสำหรับคนมาเป็นคู่ก็ดูโรแมนติก แถมอีกมุมหนึ่งยังเป็นมุมขายเสื้อผ้าสำหรับคนรักแฟชั่นแบบเกาหลีอีกด้วย (รักเลย...)     หากมองเผินๆ คงต้องบอกว่าเราแทบไม่รู้สึกว่าที่นี่เป็นร้านอาหารเกาหลี จนกระทั่งเจ้าของร้านชาวเกาหลีที่มาพร้อมเมนูอาหารเกาหลีเท่านั้นแหละ ถึงได้มั่นใจว่าเรามาถูกร้านแล้ว ก่อนจะเหลือบไปเจอกับซีรีส์เกาหลีเรื่องโปรดที่เปิดอยู่บนจอแอลซีดีก็เป็นอีกสิ่งที่ช่วยยืนยันอีกรอบ แต่อย่าดูซีรีส์เพลินไปล่ะ เพราะยังมีหลากหลายความอร่อยรออยู่     เรามาเริ่มกันด้วย Kimbap (150 บาท) เมนูสุดฮิตของชาวเกาหลีที่มีหน้าตาคล้ายกับข้าวห่อสาหร่ายสไตล์ญี่ปุ่น แต่คิมบับมักจะสอดไส้ด้วย หมู ไข่ และผักหลากสี และโรยด้วยงาอีกเล็กน้อย เรียกว่าคำใหญ่ชิ้นโตยิ่งกินยิ่งเพลิน ต่อด้วย Fried Mandu (100 บาท) เกี๊ยวทอดร้อนๆ เสิร์ฟพร้อมซอสคันจังหรือซีอิ๊วใส่ต้นหอมรสเค็มหน่อยๆ       แต่ถ้าสองจานแรกดูยังไม่จุใจก็ต้องลอง Bibimbap (218 บาท) บิบิมบับหรือข้าวยำเกาหลีที่เราคุ้นชื่อกัน สำหรับข้าวยำของที่นี่จะเสิร์ฟกับไข่ดาวอยู่ในชามทองเหลืองใบโตเพื่อให้เราได้สนุกกับการคลุกเคล้าข้าวเข้ากับส่วนผสมของผัดผักหลายสี หมูสไลซ์บาง และซอสโคชูจัง แม้สีข้าวจะแดงดูเหมือนเผ็ดแน่ๆ แต่คงต้องบอกว่ารสมือของร้านนี้ค่อนไปทางหวานหอม จนน่าจะถูกใจคนไทยเลยแหละ และที่สำคัญยังมาพร้อมน้ำซุปถ้วยเล็กซดคล่องคอ     สำหรับแฟนคลับคนรักมาม่าเกาหลีก็ห้ามพลาด Ramen (118 บาท) ที่เราคงต้องบอกว่าต้องให้คนเกาหลีต้มจริงๆ ถึงได้เส้นที่เหนียวนุ่มแบบนี้ (แอบต้มกินที่บ้านเส้นก็ไม่เป๊ะแบบนี้ หัวใจขอสารภาพ) แถมยังต้มได้ร้อนมากและร้อนนาน จนเกิดความสงสัยว่านี่อร่อยหรืออุปทานกันแน่ (ฮา) ร่วมด้วยเมนูสุดท้ายที่ฮิตไม่แพ้กันอย่าง Teokbokki (168 บาท) แป้งต็อกเหนียวๆ ผัดในซอสรสเผ็ด แต่จานนี้ค่อนข้างไปทางหวานหน่อยๆ ไม่เผ็ดเท่าที่คิด แต่พกความร้อนแรงมาเต็มพิกัด เพราะเสิร์ฟมาในกระทะร้อน       แล้วอย่าลืมปิดท้ายมื้อด้วยเครื่องดื่มเย็นๆ สักแก้วอย่าง Iced Caramel Macchiato (75 บาท) กาแฟใส่คาราเมลหวานหอมสดชื่นถึงใจ  

เชื่อว่ามิตรรักแฟนคลับร้าน Roots คงยิ้มกันแก้มปริ เมื่อร้านที่หลายคนนิยามว่าเป็นสวรรค์ของคอกาแฟได้ขยับขยายสาขามาใกล้ชิดกับย่านธุรกิจที่เต็มไปด้วยคนทำงานผู้กระหายกาแฟการอย่างแท้จริง แต่การมาครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการเปิดตลาดใหม่ๆ เท่านั้น หากยังเป็นการแนะนำ “กาแฟไทย” มาให้ทุกคนรู้จักกันอย่างเต็มตัวอีกด้วย       แน่นอนว่าบรรยากาศของยังคงให้ความอบอุ่นคุ้นเคยไม่แพ้สาขา The Common ทองหล่อ แต่สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาก็คือพื้นที่ที่มากกว่าเดิมเกือบเท่าตัว สาขานี้จึงมาพร้อมบาร์กาแฟขนาดใหญ่ใจกลางร้านที่มีที่นั่งรอบๆ ให้เราได้นั่งพูดคุยกับเหล่าพี่ๆ น้องๆ บาริสต้าที่พร้อมแสตนบายให้บริการ โดยกาแฟของที่นี่จะมาจาก 3 พื้นที่หลัก ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย และตาก ที่จะหมุนเวียนมาให้ชิมกัน       เฮาส์เบลนด์หรือกาแฟตัวหลักที่ใช้อยู่ตอนนี้จะมาจากหมู่บ้านปางขอน จังหวัดเชียงราย และหมู่บ้านเลอตอโกร จังหวัดตาก ผสมกันในอัตราส่วน 3 ต่อ 1 จนได้กาแฟรสเข้มหอมอมเปรี้ยวนิดๆ แต่ถ้าอยากลอง Single Origin ที่นี่ก็มีกาแฟจากพี่สมจิตต์ บ้านขุนลาว จังหวัดเชียงราย กาแฟรสเปรี้ยวสดชื่นอมหวานที่จะนำมาทำเป็นเอสเปรซโซ่       แต่ตัวที่เราได้ลองจะเป็นกาแฟช่างเปา จากหมู่บ้านเลอตอโกร จังหวัดตาก กาแฟรสเปรี้ยวแบบแบล็คเคอร์เรนท์ที่นำเสนอในรูปแบบของ Filter Coffee (120 บาท) ที่เราจะได้ความสนุกจากการเลือกแก้วกาแฟของตัวเอง เพราะแก้วแต่ละใบเป็นเซรามิคปั้นที่ทำมาจากดินอันเป็นแหล่งของกาแฟ หน้าตา ขนาด และลวดลายที่ออกมาจึงไม่เหมือนกันเลย     หากใครเบื่อกาแฟในรูปแบบเดิมก็มี Roots Coffee Shake (180 บาท) กาแฟโคลด์บริวที่ปั่นรวมกับไอศครีมนมกาแฟจากปางขอนจนได้ความละมุนเข้มข้นเย็นชื่นใจ หรือจะลอง Orange Tonic (100 บาท) กาแฟโคลด์บริวผสมโทนิคส้มโฮมเมดที่ยิ่งจิบก็ยิ่งสดชื่น       แต่ถ้ายังไม่จุใจก็ขอแนะนำให้ลองมาจับคู่โดนัทสดใหม่ที่ทอดสดกันวันต่อวัน หรือจะลองพร้อมกับครัวซองต์ก็ขอบอกว่าดีไม่หยอก       แล้วอย่าลืมเขียนให้กำลังใจเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟกันด้วยล่ะ

หลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตาแบรนด์เบเกอรี่สไตล์ฝรั่งเศสที่อบขนมปังสดใหม่หอมกรุ่นไปทั่วโลกอย่าง “อีริค เคย์เซอร์ (Eric Kayser)” กันดีอยู่แล้ว จากฝรั่งเศสสู่สาขาแรกที่ทองหล่อ ล่าสุด “อีริค เคย์เซอร์” ขยับมาให้ชาวสยามกลางเมืองได้ชิมเบเกอรี่สดใหม่หอมกรุ่นจากเตากับสาขาใหม่ที่สยามดิสคัฟเวอรี่       “อีริค เคย์เซอร์” สาขาสยามดิสคัฟเวอรี่ ชั้น M มาพร้อมกับรูปโฉมใหม่ในสไตล์ Art Nouveau Colonial ดึงดูดเราด้วยบาร์ที่มีขนมปังฝรั่งเศสละลานตาให้เลือกชิม พร้อมเมนูเครื่องดื่มและอาหารที่ผสมผสานระหว่างเมนูตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกันได้อย่างลงตัว อาทิ “สปาเก็ตตี้ต้มยำกุ้ง” และ “ครัวซองต์วากิวเบอร์เกอร์” รวมไปถึงเมนูใหม่ที่มีให้ชิมไม่ซ้ำกันทุกเดือน         มาถึงที่นี่จะพลาดเมนูขึ้นชื่ออย่าง ซิกเนเจอร์ครัวซองต์ (Signature Croissant) ได้อย่างไร เคล็ดลับความอร่อยของอีริค เคย์เซอร์ คือการใช้ยีสและหัวเชื้อออร์แกนิคที่อยู่ในเครื่องเลี้ยงของร้านเท่านั้น รวมไปถึงเนยชั้นดีที่นำเข้าจากต่างประเทศ และแป้งที่คัดสรรมาโดยเฉพาะ ทำให้ได้ครัวซองต์ที่มีชั้นเลเยอร์สวยงาม กรอบนอกนุ่มใน หอมกลิ่นเนยในทุกๆ คำที่กัด       อีกหนึ่งเมนูห้ามพลาดสำหรับคนรักขนมปังสไตล์ปาริเซียงแท้ๆ นั่นก็คือ บาแกตต์ มงต์ (Baguette Monge) ขนมปังทรงยาวรีปลายแหลมแต่ป่องตรงกลางอันเป็นเอกลักษณ์ของทางร้าน เปลือกนอกหอมกรอบ แต่เนื้อด้านในนุ่มอร่อยเป็นโพรงอากาศตรงกลาง สามารถคืนตัวกลับได้อย่างรวดเร็วเมื่อถูกกดหรือบีบอัด บอกได้คำเดียวว่า นี่แหละ! บาแกตต์ของชาวปาริเซียงแท้ๆ     นอกจากขนมปังและเบเกอรี่ที่มีให้ชิมอย่างจุใจแล้ว สาขานี้ยังหลอกล่อเราด้วยเค้กมูสหน้าตาสวยหวาน (ที่เหมาะกับสาวหวานอย่างเราเป็นที่สุด) กับเมนูใหม่ประจำเดือนกรกฎาคมอย่าง “Bouchée de Roses” (บูเช เดอ โรส) เค้กเนื้อมูสทรงโดมสีชมพูสวยที่ประกอบด้วย 3 ชั้นรสชาติคือ ลิ้นจี่ ราสป์เบอร์รี่ และกลิ่นกุหลาบ โดยจัดวางกลิ่นและรสสัมผัสตามลำดับการรับกลิ่นและรส ทำให้ยิ่งกินยิ่งอร่อย ยิ่งอร่อยยิ่งเพลิน รู้ตัวอีกที...เกลี้ยง     ส่วน Tea Lover อย่าลืมมาดื่มด่ำความสุขกับชุด Afternoon Tea ที่รวมความอร่อยจากเบเกอรี่ชั้นเยี่ยมไว้ในเซ็ตเดียว อาทิเช่น Mini Crab Cake Croissant, Tom Yam Goong Vol au Vent, Passion Fruit Panna Cotta, Mini Mont Blanc ทานคู่กับ Mariage Frères Tea เหมาะสำหรับผ่อนคลายเติมความสดชื่นยามบ่ายเป็นที่สุด     นอกจาก Flagship Store ที่สาขาทองหล่อ และสยามดิสคัฟเวอรี่แล้ว อีริค เคย์เซอร์ยังส่งขนมปังอบสดใหม่ในรูปแบบ Grab and Go ที่สาขาเกสรวิลเลจ และบลูพอร์ต หัวหินอีกด้วย แว่วมาว่าในปีนี้ทางร้านมีโครงการขยายสาขาไปตามคอนโดมิเนียม คอมมิวนิตี้มอลล์ และออฟฟิศใจกลางเมืองเพิ่มเติม เตรียมรับความอร่อยกันได้เลย

ไม่เพียงแค่ความสวยงามอลังการของดอกไม้นานาชนิดที่ประดับประดาให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในสวนสไตล์อังกฤษจะสะกดสายตาจนต้องหยุดชื่นชม แต่กลิ่นหอมธรรมชาติชวนผ่อนคลายเหมือนอยู่ในสปาแสนรื่นรมย์นั้นยิ่งทำให้เราอยากเข้าไปสัมผัสประสบการณ์ความอร่อยที่ “Divana Signature Café” พร้อมมอบให้ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส     โดยความตั้งใจของ คุณพีช-กานต์พิชชา เกียรติขจรฤทธิ์ ทายาทผลิตภัณฑ์สปา Divana และผู้ก่อตั้งคาเฟ่สวนดอกไม้สุดเก๋แห่งนี้คือ การเป็นสถานที่ชิลเอาต์ใจกลางเมืองที่จะพาทุกคนหลุดเข้าไปสู่โลกแห่งความอร่อยชวนฝัน ด้วยเมนูอาหารรสเลิศหน้าตาน่ากินที่คิดค้นและสร้างสรรค์มาเป็นอย่างดี โดยไม่ลืมนำจุดเด่นของสปาทั้งความเป็นไทยและกลิ่นหอมต่างๆ มาเป็นส่วนผสมสำคัญของทุกจาน       เราแนะนำให้ลองเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Afternoon Tea Set ชุดน้ำชายามบ่ายสุดหรูเสิร์ฟในภาชนะทองเหลืองแบบไทยๆ มาพร้อมขนมทั้งไทยและเทศ 11 ชนิด อาทิ สโคนหอมเนย พานาคอตตากุหลาบ อาลัวสดรูปดอกกุหลาบ ชูครีมชาไทย ไอศกรีมมะพร้าวอ่อน ข้าวเหนียวมะม่วง และไฮไลต์อย่างเจลลีรสลิ้นจี่ลวดลายดอกไม้ที่ทำจากโยเกิร์ตที่สวยจนแทบไม่กล้ากิน เสิร์ฟคู่กับชาร้อนซิกเนเจอร์เบลนด์พิเศษจากเยอรมนีที่เลือกได้ถึง 6 กลิ่น     ใครอยากอิ่มง่ายๆ ในจานเดียว Duck Confit Burger ทีเด็ดอยู่ที่เป็ดพะโล้ซูสวิดจนนุ่มราดซอสฮอยซินมาโย เพิ่มรสชาติด้วยขิง แตงกวา บีตรูต และแอปเปิลเขียว เสิร์ฟพร้อมสลัดและมันฝรั่งทอด หรือ Champignon Carbonara Divana Toast โทสต์เนื้อนุ่มฉ่ำเนยราดครีมซอสคาโบนารากลมกล่อมหอมมันที่ทำจากเห็ดแชมปิญองและเครื่องเทศหลากชนิด เพิ่มความอร่อยด้วยเบคอนกรอบและชีสพาร์เมซานตอบโจทย์ได้ดี ส่วนสายสุขภาพลองสั่ง Raya Vedic Rose Tea Leaf Salad เมนูเฮลต์ตีที่ได้แรงบันดาลใจจากสลัดพม่าซึ่งมีทั้งผักคอส กุ้ง อัลมอนด์ พิสตาชิโอ และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ราดน้ำสลัดใบชากุหลาบรสเปรี้ยวหวาน         หรือหากอยากมานั่งพักผ่อนจิบเครื่องดื่มเย็นๆ สักแก้ว เราแนะนำ Raya Vedic Lychee Smoothie สมูทตี้ลิ้นจี่ผสมไซรัปกุหลาบหอมหวาน มาพร้อมเจลลีกุหลาบและเนื้อลิ้นจี่สด และ Prana Lemongrass Honeycomb Smoothie สมูทตี้น้ำผึ้งมะนาวหอมกลิ่นตะไคร้ติดปลายลิ้นสดชื่นสุดๆ ส่วนคอกาแฟต้องลอง Dripped Coffee in Roasted Coconut Water ใช้เมล็ดกาแฟคั่วอ่อนและคั่วเข้มเบลนด์ผสมแบบกำลังดี ผสมน้ำมะพร้าวเผาสดให้รสชาตินุ่มเบาหอมหวานดื่มง่ายและสดชื่น      

ใครเป็นแฟนคลับอนิเมชั่นสุดตรึงใจเรื่องโทโทโร่เพื่อนรัก (My Neighbor Totoro) ผลงานชิ้นมาสเตอร์พีซจาก Studio Ghibli คงยิ้มจนแก้มปริ เพราะในที่สุดเราก็มีคาแรกเตอร์คาเฟ่ที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกในชื่อ May’s Garden House ที่นี่จึงไม่ได้เป็นเพียงคาเฟ่ธรรมดาเท่านั้น แต่ยังรวบรวมความฝันของหลายคนเอาไว้ด้วย     เรื่องเล่าจากปากคุณเฟรด (Federico Colpi Grimani) เจ้าของร้านชาวอิตาเลี่ยนถึงที่มาของการเปิดร้านนั้นทำเราแปลกใจไม่น้อย เมื่อได้รู้ว่าอาจารย์โทชิโอะ ซูซูกิ นั้นชื่นชอบธรรมชาติแถบต่างจังหวัดบ้านเราเป็นพิเศษ และเดินทางมาพักผ่อนอยู่หลายครั้ง และนั่นทำให้อาจารย์ได้เจอกับร้านอาหารที่ปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมาที่นอกจากอร่อยแล้ว เจ้าของร้านยังบังเอิญชื่อคุณเมย์ ตรงกับคาแรกเตอร์สุดรักอย่างเมย์จังในเรื่องโทโทโร่พอดิบพอดี จึงได้ชักชวนคุณเฟรด ยกความอร่อยนั้นมาไว้ในกรุงเทพเสียเลย     ความประทับใจแรกในการมาที่นี่ คงต้องยกให้โทโทโร่ตัวโต (กว่าเรา) ที่ยืนต้อนรับตั้งแต่หน้าประตู ด้านนอกเป็นสวนสีเขียวสบายตา ที่แว่วมาว่าเร็วๆ นี้จะมีเนโกะบัสคันใหญ่มาตั้งโชว์โฉม ส่วนด้านในเนรมิตให้รู้สึกเหมือนได้ก้าวเข้าสู่โลกของสตูดิโอจิบลิแบบเต็มตัว ทั้งรูปภาพบนผนัง กระจกลวดลายโทโทโร่ หนังสือ รวมไปถึงเหล่าโมเดลและตุ๊กตา และที่พิเศษยิ่งกว่าคือการหยิบเอาเสน่ห์แบบไทยๆ อย่างจานศิลาดลจากเชียงใหม่ลายท้องโทโทโร่มาใช้เสิร์ฟบนโต๊ะด้วย     อาหารคาวของที่นี่เน้นอาหารอีสานเป็นหลัก เสริมด้วยอาหารไทยบ้างในบางเมนู ลองสั่งข้าวผัดต้มยำซีฟู้ด รสชาติกลมกล่อม ตักเข้าปากแล้วสัมผัสได้ถึงเครื่องต้มยำเน้นๆ อีกทั้งเครื่องเคราอย่างกุ้ง ปลาหมึก และหอยแมลงภู่ก็ตัวใหญ่จุใจ ส่วนเมนูขนมหวาน  ทางร้านได้เชฟเปเปอร์ จาก Issaya Siamese Club มาออกแบบให้ แถมดึงคาแรกเตอร์จากโทโทโร่มาใช้ได้อย่างน่ารัก อาทิ Sleeping Totoro โทโทโร่หลับพุงพลุ้ยบนผืนหญ้า ด้านในเป็นมูสช็อกโกแลตเข้มข้น แอบซ่อนความเปรี้ยวของราสป์เบอร์รี่เอาไว้  ส่วน May’s Hat หมวกสีเหลืองผูกโบของเมย์จัง ด้านในเป็นมูสมะนาวรสเปรี้ยวหวานสดชื่น เราชอบที่ทำออกมาได้กำลังดี ไม่เปรี้ยวเกินไป ด้านล่างมีบิสกิตกรอบๆ ให้เคี้ยว ต่อด้วยเครื่องดื่ม ทะเลช็อกโกแลตมิ้นท์เย็น แก้วนี้สนุกมาก ก้อนน้ำแข็งช็อกโกแลตเข้มข้น เสิร์ฟพร้อมนมมินต์หอมๆ  และเค้กเจ้าฝุ่นสีดำ (มักคุโระคุโรสุเกะ) ด้านในแอบมีมาร์ชเมลโลและเยลลี่ให้เคี้ยวหนึบหนับไว้เซอร์ไพรส์เรา             กินคู่กับนมมินท์อร่อยเชียว

ถ้ามองเพียงผิวเผินเชื่อว่าหลายคนคงโดนหลอกเข้าเต็มเปา เมื่อร้านกาแฟสีชมพูที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้มีแค่ความสวย หากแต่ภายในยังมีกาแฟรสเข้มพร้อมเสิร์ฟที่ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกับภาพตรงหน้าอย่างที่สุด     แม้ชื่อและสไตล์การตกแต่งแสนหวานจะมีนัยบ่งบอกถึงความเป็นเกาหลีอย่างเต็มขั้น แต่ที่นี่คือหนึ่งในร้าน Specialty Coffee ที่คอกาแฟไม่ควรพลาดจดไว้ในลิสต์ เพราะคาเฟ่น้องใหม่ได้อิมพอร์ตเครื่องชงกาแฟยี่ห้อดังจากซีแอตเทิลอย่าง Mavam ราคาเจ็ดหลักมาเป็นที่แรกในประเทศไทย ซึ่งจุดเด่นของเครื่องชงกาแฟตัวนี้นอกจากจะควบคุมอุณหภูมิของเครื่องดื่มได้ถูกต้องชัดเป๊ะแล้ว ยังแอบซ่อนตัวเองอยู่ใต้เคาน์เตอร์บาร์ต่างจากเครื่องเอสเปรสโซแมชชีนที่เราคุ้นกัน เมื่อเจ้าเครื่องที่ว่าจะโผล่มาเพียงแค่ก๊อกสีทองจากบาร์เท่านั้น       ส่วนเรื่องกาแฟก็ขอรับประกันความประทับใจ เมื่อเฮาส์เบลนด์หรือกาแฟตัวหลักใช้กาแฟจากประเทศบราซิลและอเมริกาใต้จนได้คาแรกเตอร์กาแฟที่มีรสเข้มข้นชัดเจน ขณะเดียวกันก็แฝงความหอมกรุ่นในตัว พร้อมกับนำมาใส่ลูกเล่นอย่างสนุก จนน่าจะโดนใจคอฟฟี่เลิฟเวอร์อยู่ไม่น้อย พร้อมด้วยกาแฟจากทั่วโลกที่คุณแนท-นันทนัช เอื้อศิริทรัพย์ และคุณเกศ-ชุติมา เปรื่องเมธางกูร สองสาวเจ้าของร้านหอบหิ้วมา อย่างในตอนนี้จะมีกาแฟจากร้านกาแฟและโรงคั่วชื่อดังอย่าง Blue Bottle Coffee ประจำการรอทุกคนอยู่       เครื่องดื่มตัวแรกที่อยากให้ลองคงไม่พ้น Very Dirty Coffee (220 บาท) กาแฟยอดฮิตที่เราเห็นทุกคนต้องโพสต์ลงโซเชียลฯ กาแฟสุดเข้มข้นที่เติมเต็มรสชาติด้วยนมสดและครีม ก่อนจะสไลด์ดาร์คช็อกโกแลตและไวท์ช็อกโกแลตลงไป จนกาแฟล้นขอบแก้วสมชื่อเดอร์ตี้แต่กลับอร่อยอย่างที่สุด     ตามด้วย 24K Magic (350 บาท) คาปุชชิโนสุดเก๋ที่เพิ่มความเรียบหรูด้วยทองคำ 24K ปิดหน้าเอาไว้ ซึ่งน่าจะเข้าทางคุณสาวๆ เลยล่ะ เพราะนี่คือเคล็ดลับความงามหน้าใสของคนโบราณ ดังนั้น อย่าลืมมีสมาธิในการจิบอย่างตั้งใจ     ตามด้วยลาเต้สีสวยสลับชั้นอย่าง Purple Potato Latte (150 บาท) ที่เติมความหวานให้กาแฟแก้วโปรดด้วยนมมันม่วงญี่ปุ่นที่ฝนและชงกันสดๆ ก่อนกินให้ผสมรวมกันจนได้สีชมพูอ่อนๆ และ Marble Coffee (170 บาท) ที่เล่นสีของกาแฟด้วยเจลลี่น้ำตาลดำก้นแก้วและนมสีขาวนวล ก่อนกินก็ให้ค่อยๆ รินช็อตกาแฟเติมเต็มสีลายหินอ่อน       หรือจะลอง Popcorn Latte (190 บาท) กาแฟลาเต้ที่จัดหนักด้วยครีมสดสีชมพูชุดใหญ่ ก่อนจะท็อปปิงด้วยป๊อปคอร์นคาราเมลเคี้ยวกรุบกรอบ ส่วนคอไอศกรีมก็ขอแนะนำ Golden White Truffle (280 บาท) ซอฟต์เสิร์ฟนมเนื้อนุ่มผสมความหอมของเห็ดทรัฟเฟิลกินคู่กับธัญพืชกรุบกรอบ       แต่ถ้ายังไม่จุใจก็ยังมี Pink Croissants (170 บาท) ครัวซองต์ชิ้นกะทัดรัดสอดไส้ซอสราสป์เบอร์รีและสตรอว์เบอร์รี โรยด้วยกลีบกุหลาบเหมาะกับคนสวยหวานอย่างเราๆ และ Fresh Strawberry Cheese Pie (210 บาท) สตรอว์เบอร์รีชีสพายที่มาพร้อมครีมสดหนานุ่มและสตรอว์เบอร์รี่สดถมจนเต็มก็ให้อารมณ์และรสชาติเหมือนกินที่เกาหลีเป๊ะๆ       และที่สำคัญอย่าลืม เตรียมรอพบกับโฉมใหม่ของคาเฟ่แสนสวยในเร็วๆ นี้

KOF คอฟฟี่บาร์ดีไซน์เก๋ที่แฝงความเท่ไว้ทุกอณู เปิดตัวในคอนเซปต์ Grab & Go เอาใจคนรักกาแฟย่านสาทร มองเผินๆ ไม่หวือหวาแต่ดาเมจแรงมาก แค่ลองครั้งเดียวก็ตกหลุมรักเพราะจัดเต็มวัตถุดิบพรีเมียมตั้งแต่เมล็ดกาแฟอราบิก้า 100%  นมสด นมถั่วเหลือง ช็อกโกแลต และมัตฉะเจ้าตำรับจากญี่ปุ่น แนะนำให้เตรียมพร้อมรับมือกับประสบการณ์ความตื่นเต้นจาก Single Origin จากทั่วโลกที่จะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้ได้ลิ้มลอง เพราะเรารู้ว่านี่คือที่สุดแห่งความสุขของคอกาแฟตัวจริง         เมนูเด่น KOF Kone จิบเครื่องดื่มสุดล้ำไม่ซ้ำใครในโคนที่มีให้เลือกถึง 3 รสชาติ ได้แก่ ลาเต้ ช็อกโกแลต และมัตฉะ ตัวโคนเคลือบด้วยช็อกโกแลตฟัดจ์ตั้งแต่ต้นจรดปลาย เคี้ยวกรุบกรอบหวานมันอย่างลงตัว Morocchino ดีต่อใจช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ด้วยกาแฟเข้มข้นผสมช็อกโกแลตแท้ ท็อปด้วยช็อกโกแลตขูดใส่ให้กินแบบเน้นๆ Coffee Pudding Latte กาแฟลาเต้เย็น ด้านล่างมีพุดดิ้งรสกาแฟเครมบูเล่ หวานหอมละมุนลิ้น Ruby Fizz เครื่องดื่มสีหวานที่ออกแบบหน้าตาและรสชาติมาเพื่อเติมความสดใสระหว่างวัน จิบเบาๆ ก็เบิกบาน สาขาแรก ชั้น G โรงแรม So Sofitel Bangkok สาทร สาขาล่าสุด J Avenue ทองหล่อ พร้อมเมนูใหม่ๆ ให้ไปลิ้มลอง          

ลองย้อนไทม์ไลน์ ตั้งแต่วันแรกที่มีข่าวการฟอร์มวงน้องสาวจาก 48 Group อย่างเป็นเรื่องเป็นราวในบางกอกบ้านเรา ซึ่งมาพร้อมคำถามที่หลั่งไหลเป็นกระบุงโกยว่าเมืองไทยจะทำ BNK48 ได้จริงหรือไม่ ด้วยข้อจำกัดที่ละเอียดยิบ ไล่ไปตั้งแต่แนวเพลง จำนวนเมมเบอร์ วิธีการซัพพอร์ต รวมถึงอีเวนต์พิเศษอีกร้อยแปด     ไม่น่าเชื่อว่า ผ่านไปแค่พริบตาเดียว BNK48 ก็เกิดขึ้นจริง แถมสร้างแรงกระเพื่อมให้วงการเพลงไทยได้มากโขเสียด้วย     ไม่ใช่แค่เพลงจะฮิตแบบฉุดไม่อยู่เท่านั้น (เต้นโอนิกิริกันทั้งเมือง) เมมเบอร์ก็พิชิตใจโอตะชาวไทยไปได้เต็มๆ อีเวนต์จับมือถูกจัดขึ้นแล้วหลายครั้ง และล่าสุดกับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ BNK48 The Campus ที่ชั้น 4 เดอะมอลล์ บางกะปิ ซึ่งน่าจะเรียกว่าเป็นดินแดนของ BNK48 ได้อย่างเต็มปาก เพราะที่นี่เป็นทั้งเธียร์เตอร์สำหรับแสดงของสาวๆ (ใช้ระบบสุ่มที่นั่งแบบญี่ปุ่นเป๊ะ) มีช็อปขายของออฟฟิเชียล และเป็นที่ตั้งของ BNK48 Café อยู่ในบริเวณเดียวกัน ซึ่งทั้งแคมปัสถูกคลุมโทนด้วยสีชมพูเห็นแล้วชื่นตาชื่นใจ สดใสเหมือนเหล่าเมมเบอร์นั่นเอง         เมนูของคาเฟ่มีทั้งอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นเมนูที่กินง่ายๆ อาทิ สปาเกตตี้ คาโบน่าร่า (140-) ทำที่ออกมาได้ครีมมี่ดี มีเบคอนหอมๆ กรอบๆ ใช้ตะเกียบสาวเส้นยาวๆ แล้วเอาเข้าปากได้เลย ส่วนราเมง (120-) เราค่อนข้างชอบ ด้วยน้ำซุปกลมกล่อมดีจากกระดูกหมูเคี่ยวเอง ส่วนหมูที่เป็นท็อปปิ้ง ทางร้านหมักและตุ๋นเองเช่นกัน มีติดมันนิดๆ นุ่มดีเชียว อีกเมนูที่ญี่ปุ๋นจ๋ามากๆ คือไก่คาราอาเกะ (75-) เสิร์ฟร้อนๆ พร้อมซอสสไปซี่มาโย         ขยับมาที่เครื่องดื่มบ้าง ที่นี่มีซิกเนเจอร์หลายตัวด้วยกัน ซึ่งทุกแก้วครีเอตออกมาได้สีสวยน่าจิบ (ถ่ายรูปก็สวย) เริ่มแก้วแรก Lychee Rose Soda น้ำลิ้นจี่กุหลาบโซดา สีชมพูสดใส รสหอมหวานจิบเพลินๆ  Virgin  Mojito Passion Fruit แก้วนี้เปรี้ยวซ่า มีเนื้อเสาวรสให้เคี้ยวกันด้วยนะ  (ใครง่วงอยู่สั่งด่วน) นอกจากนี้ยังมี Mango Peach Soda, Strawberry Soda Mix Berry Soda ฯลฯ ให้เลือกสั่งกันตามถนัด           แต่หากใครชอบความเข้มข้นหน่อย แนะนำ Premium Chocolate ช็อกโกแลตเย็นสุดเข้มข้น หรือจะลอง Kyoto Uji Matcha Latte ผงมัทฉะนำเข้าจากญี่ปุ่น ความเข้มและความฝาดที่มาเจอกับนมแล้วลงตัวดี ซึ่งตอนนี้ใครอยากแวะมา แอบบอกไว้ก่อนว่าคนข้างค่อนเยอะหน่อย เนื่องจากทางร้านมีอีเวนต์พิเศษ แถมที่รองแก้วรูปเมมเบอร์แบบสุ่มทันทีเมื่อซื้อเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ เรียกความคึกคักของโอตะได้ดีทีเดียว       ใครเป็นโอชิใครต้องลุ้นกันเอาเองนะ    

ขอยกให้ Acai Story เป็นคาเฟ่ที่สาวๆ และสายเฮลธ์ตี้ทุกคนจะต้องตกหลุมหลงรัก เพราะที่นี่ได้อิมพอร์ตซุปเปอร์ฟู้ดที่กำลังมาแรงและฮอตที่สุดอยู่ในขณะนี้อย่าง “อาซาอิเบอร์รี่” (Acai Berry) จากป่าอะเมซอนมาให้ลิ้มลองกันในรูปแบบพูเรหรือบดละเอียดมาใส่ในทุกเมนูอัดแน่นจนเต็มถ้วย     ประโยชน์ของอาซาอิเบอร์รี่นั้น นักโภชนาการหลายคนกล่าวตรงกันว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างเข้มข้น ทำให้คุณดั๊กกี้ ศรัณย์พร (น้องสาวแท้ๆของนักร้องนักแสดงสาวสวย ลิเดีย ศรัณย์รัชต์) เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำซุปเปอร์ฟู้ดค่าเฟ่เพื่อส่งมอบความอร่อยที่พ่วงด้วยคุณประโยชน์ให้กับทุกคน โดยวัตถุดิบที่ใช้ล้วนเกิดจากการคัดสรรอย่างตั้งใจและเป็นโฮมเมดแทบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น กราโนลา น้ำตาลมะพร้าว น้ำผึ้ง เนยถั่ว ไปจนถึงซอสต่างๆ       ทีเด็ดของที่นี่หนีไม่พ้น Unicorn Bowl (215 บาท) เมนูซิกเนเจอร์ที่ถูกการคิดค้นมาแล้วว่าอร่อยครบรสและให้ประโยชน์สูงสุดจากผลไม้หลากสี ไม่ว่าจะเป็น มะม่วง แก้วมังกร โกจิเบอร์รี่ กีวี่ และถั่วต่างๆ เสิร์ฟในถ้วยโลโก้ยูนิคอร์นสุดน่ารัก ถือกินสะดวกสุดๆ     หรือจะมาอร่อยกรอบเคี้ยวเพลินกับ Crunchy Nutty Bowl (165/235 บาท) เมนูเอาในสายฟิตเต็มไปด้วยพลังงานที่อัดแน่นอยู่ในถ้วยจากส่วนผสมของกราโนล่า ถั่วนานาชนิด ก่อนจะท็อปปิงด้วยกล้วยหอม เนยถั่ว และมะพร้าวอบแห้งหวานหอม     สำหรับใครรักช็อกโกแลตต้องสั่ง Unstoppa-Bowl (165/235 บาท) ที่นอกจากจะมีอาชาอิเบอร์รี่ตัวเด่นแล้วแต่พอมันมารวมกับช็อกโกแลตฟัดจ์สูตรเด็ดที่ทำจากโกโก้ ครีม และเนยฝรั่งเศสแท้ๆ ก็เป็นความลงตัวอย่าสูงสุด แถมยังมีกล้วย และกราโนล่าให้เคี้ยวกรุบกรอบ     แต่ถ้าอยากลองอาซาอิเบอร์รี่แบบเข้มข้นเน้นๆ คงไม่มีอะไรดีไปกว่า Classic Acai Smoothie (215 บาท) อาซาอิเบอร์รี่ปั่นพร้อมกับสตอรว์เบอร์รี่และกล้วย จนได้สมูตตี้รสหวานอมเปรี้ยวเนื้อเนียนนุ่มเหมือนไอศกรีมที่แก้มแดงขอรับประกันว่ากินเสร็จแล้วสวยเลย! (ฮ่าๆ)  

เมื่อเอ่ยถึง “เต้าหู้” หลายคนอาจจะนึกถึงรสชาติอันแสนจืดชืดหรือไม่ก็อาหารสุขภาพที่ดูอย่างไรก็ไม่หวือหวาเอาเสียเลย แต่ถ้าได้มาคาเฟ่น้องใหม่อย่าง Umeno Café แล้วล่ะก็ เชื่อว่าอาจจะต้องเปลี่ยนใจเสียใหม่     ความจริงแล้ว คาเฟ่สุดน่ารักแห่งนี้เป็นเครือเดียวกับ Umenohana ร้านดังจากญี่ปุ่นที่มาเปิดสาขาในประเทศไทยที่ทองหล่อซอย 13 ซึ่งแน่นอนว่าชื่อเสียงความอร่อยเด็ดก็อยู่ที่เมนู “เต้าหู้ญี่ปุ่น” แต่เมื่อเปลี่ยนโฉมมาเป็นคาเฟ่ทั้งที หน้าตาของเมนูเต้าหู้จึงถูกปรับให้เข้าถึงง่ายและมีความเทรนดี้ยิ่งขึ้น ขณะที่คุณภาพของเต้าหู้นั้น แก้มแดงก็ขอรับประกันความพอใจ เพราะทางร้านได้อิมพอร์ตเมล็ดพันธุ์ถั่วเหลืองออร์แกนิคจากฮอกไกโด ก่อนจะนำมาลงเพาะที่บ้านเรา ทำให้ได้รสชาติความเข้มข้นกลมกล่อมไม่ต่างจากที่นู่นเลยทีเดียวเชียว       เริ่มกันด้วยเมนูสุดฮิตที่ใครๆ ต้องลองอย่าง DIY Yuba (220 บาท) ชุดทำฟองเต้าหู้สดที่นำเอาน้ำเต้าหู้มาผสมกับดีเกลืออุ่นลงในหม้อทรงสี่เหลี่ยม ก่อนจะรอประมาณ 10-15 นาทีเพื่อให้น้ำเต้าหู้จับตัวกันเป็นแผ่น จากนั้นก็ให้ใช้ตะเกียบคีบฟองเต้าหู้ขึ้นมาช้าๆ แล้วปรุงรสด้วยขิงบด งา และโชยุ คีบเข้าปากเป็นอันเสร็จเรียบร้อย ส่วนรสชาตินั้นก็ขอบอกว่ามีทั้งความกรอบกรุบของฟองเต้าหู้เจือรสเค็มของโชยุ ผสานความหอมซ่าของขิง ได้ประสบการณ์แปลกใหม่ไม่เหมือนใครเลยล่ะ       หรือจะลอง Katsu Don (220 บาท) ข้าวแกงกะหรี่เต้าหู้ชุบแป้งทอดที่หน้าเหมือนข้าวหน้าหมูทอดแบบไม่ผิดเพี้ยน (ฮ่าๆ) เมนูนี้เขาจะนำเอาเต้าหู้เนื้อนุ่มหอมละมุนมาชุบเกล็ดขนมปังทอด จนได้ความกรอบนอกนุ่มใน ราดด้วยด้วยแกงกะหรี่หอมๆ รสเผ็ดปลายลิ้น     ตามด้วย Spaghetti Tonyu Cream Sauce with Seared Scallops (220 บาท) ที่แปลงสูตรสปาเก็ตตี้คาโบร่าฉ่ำซอสครีมชีสที่เราคุ้นเคยให้กลายมาเป็นซอสน้ำเต้าหู้สุดเข้มข้นที่ทำได้อร่อยจนแอบแปลกใจ ด้วยครีมซอสสุดนุ่มเจือรสเค็มนิดๆ จากไข่ปลาก็เข้าคู่กับสปาเก็ตตี้เส้นเหนียวนุ่มได้อย่างเหมาะเจาะ อีกทั้งยังมีหอยเชลล์เนื้อนุ่มเด้งเต็มปากเต็มคำมาเพิ่มความอร่อย     สำหรับคออาหารญี่ปุ่นที่นี่ก็มี Sushi Ball Set 9 pcs (580 บาท) ซูชิบอลลูกกลมๆ พอดีคำที่มีให้เลือกกันถึง 9 หน้า 9 รสชาติ ได้แก่ แซลมอน ปลาหมึก กุ้ง หอยเชลล์ ปลาทูน่า ปลาคัมปาจิ ปลาซาบะดอง ไข่กุ้ง และไข่ปลาแซลมอน     ส่วนของหวานและเครื่องดื่มก็ดีงามไม่แพ้ของคาว ที่อยากให้ลองคงไม่พ้น Tonyu Custard with Kuromisu (85 บาท) คัสตาร์ดเต้าหู้รสวานิลลาเนื้อนุ่มเด้งเสิร์ฟพร้อมวิปปิงครีม แล้วราดด้วยน้ำเชื่อมคูโรมิตสุหวานละมุน     หรือจะลอง Honey Tonyu (105 บาท) น้ำเต้าหู้รสเข้มข้นที่เพิ่มความหวานน้อยๆ ด้วยน้ำผึ้งของไทย ที่เราขอรับประกันความหวานละมุน เพียงแค่จิบก็ชื่นใจอย่างสุดๆ เลยล่ะ  

ใครเป็นแฟน “Yellow Spoon Pastry” ร้านขนมเจ้าของคอนเซ็ปต์ Honest Artisan Wholesome ที่หลายคนติดใจ อย่าลืมไปเยือนบ้านหลังใหม่ในโครงการเอกมัยคอมเพล็กซ์ ซอยเอกมัย 19 ที่คุณวี เจ้าของร้านไม่ได้ตั้งใจให้ที่นี่เป็นเพียงคาเฟ่ แต่เป็นสถานที่ที่(อร่อย)ครบครันสำหรับคนรักขนม     ไม่เพียงพื้นที่นั่งสบายจะมีมากขึ้นแล้ว ที่นี่ยังมีทั้งครัวกลางร้านที่เราสามารถเห็นกระบวนการทำขนมที่พิถีพิถันทุกขั้นตอน ห้องปาร์ตี้รูมที่สามารถจัดงานปาร์ตี้แบบส่วนตัว ห้องเวิร์กชอปที่คุณวีบอกว่านอกจากคลาสสอนทำขนมแล้วยังมีกิจกรรมอื่นๆ หมุนเวียนมาให้ร่วมสนุกอีกมากมาย ไปจนถึงบาร์เครื่องดื่มที่พร้อมเสิร์ฟชา กาแฟ สมูทตี้ และน้ำผลไม้คั้นสดที่เน้นใช้ผลไม้ตามฤดูกาล ที่สำคัญร้านใหม่แห่งนี้ยังมาพร้อมที่จอดรถเพื่อความสะดวกสบายของเหล่านักชิมอีกด้วย       มาเยือนร้านช้อนสีเหลืองโฉมใหม่ทั้งที นอกจาก Canele ขนมสัญชาติฝรั่งเศสที่ยังคงความกรอบนอกนุ่มใน หอมคาราเมล และหวานน้อยไม่เหมือนใคร เมนูซิกเนเจอร์ยอดนิยมที่ไม่ว่าใครก็ต้องสั่ง เราก็ไม่พลาดชิมเมนูใหม่ที่มีเฉพาะที่นี่อย่าง Mackerel Fish Fried Rice with Red Chili Paste ข้าวผัดปลาทู รากผักชี กระเทียม และหอมแดง ผัดแห้งๆ ออกรสเค็มนิดๆ กำลังดี กินกับน้ำพริกตาแดงสูตรเด็ด Mascapone Bacon Spaghetti สปาเกตตีเบคอนผัดคลุกเคล้ากับซอสชีสมาสคาโปเนหอมมันกลมกล่อม เพิ่มความอร่อยด้วยผักร็อกเกตและมะเขือเทศ         ต่อด้วยของหวานสุดเก๋ Froyo Crème Brulee แครมบรูเลที่ไม่ต้องกลัวหวานเลี่ยน เพราะใช้โฟรเซนโยเกิร์ตที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล ผสมผสานกับครัมเบิลและซอสมิกซ์เบอร์รี เสิร์ฟพร้อมเบอร์รีสดหลากชนิด แล้วเพิ่มความสดชื่นด้วย Strawberry Cheesecake Smoothie ที่หยิบชีสเค้กสูตรเด็ดของร้านมาปั่นกับสตรอว์เบอร์รีและโยเกิร์ตได้อร่อยลงตัว       ส่วนคอกาแฟ เราแนะนำให้ตบท้ายด้วย Hot Latte รสนุ่มนวล เสิร์ฟพร้อมคุกกี้โฮมเมดรูปแมวสุดน่ารักอีกสักแก้ว...รับรองว่าฟิน!  

ด้วยบรรยากาศร่มรื่นสบายตาจากสีเขียวของต้นไม้มากมายที่รายล้อมบริเวณคาเฟ่และร้านอาหารสไตล์โฮมเมดของครอบครัวคุกกิงเลิฟเวอร์ที่นำความหลงใหลในการทำอาหาร ขนม และกาแฟมาผสมผสาน จึงไม่แปลกใจที่ Terrace Dontum จะกลายเป็นโอเอซิสความอร่อยและแหล่งชิลเอาต์ยอดนิยมของชาวนครปฐมมานานกว่า 10 ปี         ไม่เพียงคอกาแฟจะได้ดื่มด่ำกับรสชาติกลมกล่อมเป็นเอกลักษณ์ของเมล็ดกาแฟที่เบลนด์และคั่วเป็นพิเศษ แต่เหล่านักชิมก็พลาดไม่ได้กับเมนูเด่นสไตล์ฟิวชันที่เน้นรสชาติถูกปากคนไทย โดยเฉพาะสเต๊กปลากะพงยำส้มโอ เนื้อปลากะพงชิ้นโตทอดกับเนยจนหนังปลากรอบกำลังดี กินคู่กับยำส้มโอรสจัดจ้าน โดยเลือกใช้ส้มโอหอมหวานของดีของจังหวัดนครปฐม และพาสต้าโบโลเนสเนื้อ ทีเด็ดอยู่ที่การใส่เนยลงไปในซอสเนื้อที่เคี่ยวจนเข้มข้นเล็กน้อยก่อนตักใส่จานเสิร์ฟเพิ่มความกลมกล่อมหอมมัน     ส่วนคนรักของหวานต้องลองฟรุตเค้ก เนื้อแน่นนุ่มหอมเนย สอดแทรกผลไม้แห้ง อาทิ พีช พลัม สตรอว์เบอร์รี และอินทผลัมแบบจัดเต็ม รวมทั้งเค้กเผือกที่อัดแน่นไปด้วยเนื้อเผือก เพิ่มความอร่อยด้วยครีมละมุนลิ้นที่ทำจากวิปปิงครีมคุณภาพดีผสมกะทิหอมหวานไม่เหมือนใคร       สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย

รื่นรมย์แบบสบายๆ ได้ตลอดวันที่ช็อกโกแลต บูติก โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ ไลฟ์สไตล์ช็อกโกแลตคาเฟ่ในลุคใหม่ที่ให้คุณได้นัดพบปะสังสรรค์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา โดยมีขนมอบและขนมหวานให้เลือกรับประทานมากมายตั้งแต่ขนมคลาสสิกอย่างครัวซองต์เนยสดเนื้อนุ่ม ไปจนถึงขนมที่มีการผสมผสานรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น ขนมปังนุ่มรสหวานแชงโอบันเบคอนนูเทลล่าและพราลีนกรอบ และเซาร์แมชวิสกี้พราลีน พร้อมด้วยขบวนขนมแสนอร่อยอีกกว่า 100 ชนิด หมุนเวียนให้บริการทุกวันจากฝีมือการสร้างสรรค์ของเชฟใหญ่ใจดีผู้มีแต่รอยยิ้มตลอดเวลา มร. เคลาส์ โอลเซ็น ชาวเดนมาร์ก       ด้วยความรักในศิลปะล้วนๆ ที่นำพาผู้ชายคนนี้เดินทางจากบ้านเกิดไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทั่วโลก ทั้งยุโรป สหรัฐอเมริกา และประเทศต่างๆ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเขาได้ซึมซับวัฒนธรรมด้านอาหารและขนมนมเนยที่น่าตื่นตาตื่นใจมากมาย         เป็นเวลากว่าสองทศวรรษในวงการขนมอบและขนมหวานที่เชฟเคลาส์ไม่เคยหยุดนิ่งในการคิดค้นสูตรช็อกโกแลตและท้าทายตัวเองด้วยการพัฒนาขนมรสชาติใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังสนุกกับการค้นหาและคัดสรรส่วนผสมที่มีคุณภาพดีที่สุดจากทั่วโลก เพื่อนำมาสร้างสรรค์ขนมในแบบของเขา อาทิ สั่งซื้อช็อกโกแลตที่ดีที่สุดจากฝรั่งเศสเป็นจำนวนมากถึง 25,000 กิโลกรัมเป็นประจำทุกปี เพื่อผลิตพราลีนและช็อกโกแลตโฮมเมดที่โดดเด่นทั้งรูปแบบและรสชาติ หรืออัลมอนด์สั่งตรงจากซาน รามอน วัลเลย์ แหล่งเพราะปลูกอัลมอนด์ที่ดีที่สุดในโลก       การได้ชิมขนมของเชฟเคลาส์จึงเหมือนเราได้ร่วมเดินทางท่องไปในโลกกว้างพร้อมกับเชฟ ซึ่งแน่นอนว่าจะเต็มไปด้วยเรื่องราวอันแสนสนุกและชวนประทับใจตั้งแต่คำแรกที่กัดเข้าปากเลยทีเดียว และนอกจากจะได้เพลิดเพลินไปในโลกของช็อกโกแลต ขนมหวาน และเครื่องดื่ม ที่ช็อกโกแลต บูติกยังมีบริการอาหารเช้าและอาหารกลางวันให้คุณแวะมานั่งชิลได้ตั้งแต่เช้าจรดค่ำอีกด้วย    

เรียกว่าตามกันมาแบบติดๆ เลยทีเดียว เพราะหลังจากที่ STYLENANDA และ 3CE แบรนด์แฟชั่นเสื้อผ้าและเครื่องสำอางชั้นนำจากเกาหลี ได้เปิดตัว STYLENANDA PINK HOTEL ช็อปแรกที่ย่านเมียงดง ประเทศเกาหลีไปเมื่อปีที่แล้ว STYLENANDA PINK HOTEL FLAGSHIP STORE แห่งที่ 2 ของโลกก็ได้ถือกำเนิดขึ้นแล้วที่เมืองไทย ณ ใจกลางสยามสแควร์ ซอย 5 ภายใต้ชื่อ “PINK HOTEL BANGKOK” ซึ่งนับเป็นร้านแรกในเมืองไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (กรี๊ด!!)     แน่นอนจุดเด่นก็คือ สีของตึกที่คุมโทนความชมพูตั้งแต่ภายนอกไปจนถึงภายใน พร้อมกับชวนให้นึกถึงโรงแรมในภาพยนตร์เรื่อง The Grand Budapest Hotel (2014) และเพื่อสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งให้สาวๆ แต่ละชั้นจึงมาในคอนเซปต์ที่แตกต่างกันออกไป โดยชั้นแรกมาในคอนเซ็ปต์สวนสนุกที่มีทั้งจุดขายตั๋วและเครื่องเล่น พร้อมกับโชว์ความน่ารักของเครื่องสำอางหลากสีสัน       ขณะที่ชั้นที่ 2 ก็มาพร้อมกับกล่องนมขนาดใหญ่ ทำตู้โชว์เครื่องสำอางให้เหมือนตู้กดนม ทีเด็ดของชั้นนี้คือมุมถ่ายรูปน่ารักๆ ที่จำลองโลกของ 3CE ทั้งลิปสติก แท่งใหญ่ ตลับแป้งขนาดยักษ์ พร้อมด้วยลูกโป่งให้โยนเล่นอย่างสนุก ส่วนชั้น 3 ก็ถูกออกแบบเป็นห้องซักผ้าให้ทุกคนได้เลือกเสื้อผ้าที่ชอบแบบไม่เกร็ง ก่อนจะมาต่อที่ชั้น 4 PINK POOL CAFÉ อันเป็นจุดหมายหลักของเรา             PINK POOL CAFÉ เป็นร้านคาเฟ่ที่พกพาคอนเซ็ปต์สระว่ายน้ำ ที่นี่จึงมีตั้งแต่ป้ายเตือนน้ำลึก ร่มบังแดด เก้าอี้ชายหาด ให้เราได้เก็บภาพถ่ายรูปเพลิดเพลินเหมือนกับชิลล์ริมสระว่ายน้ำ คุยกับเพื่อน กินขนม จิบกาแฟอร่อยๆ       เริ่มต้นเมนูแรกกันด้วย Pink Hotel Bangkok (160 บาท) เครื่องดื่มสูตรซิกเนเจอร์สีส้มคอรัลจากส่วนผสมของน้ำสตรอว์เบอร์รี่และเลมอนรสชาติเปรี้ยวหอมสดชื่น มาพร้อมกับสายไหมสีรุ้งฟูฟ่องให้เราละเลียดความหวาน     หรือจะลอง Cotton Candy Coffee (150 บาท) กาแฟลาเต้รสนุ่มที่ขอเติมความหวานด้วยสายไหมปุยเล็กๆ หากชอบสายไหมแบบเน้นๆ ก็ต้อง Cotton Candy Ice Cream (150 บาท) ไอศกรีมรสโปรดที่ซุปซ่อยภายใต้สายไหมสีสวย       แต่ถ้ามากันหลายคนแล้วล่ะก็ เราขอแนะนำ Cotton Candy Slush (150 บาท) นมปั่น 3 รสชาติที่ได้สายไหมสีคู่ใจมาประกบคู่ ไม่ว่าจะเป็น รสมะม่วง รสบลูโซดา และรสสตรอว์เบอร์รี่     อย่าถ่ายรูปจนเพลินล่ะ 

ไม่เพียงแค่การตกแต่งเก๋ไก๋สไตล์ลอฟต์วินเทจที่ผสมผสานกำแพงอิฐ กระจกหน้าต่างแบบโกธิค เฟอร์นิเจอร์ไม้ ไปจนถึงของประดับตกแต่งอย่างตุ๊กตาผ้า ดอกไม้แห้ง และต้นไม้ตามมุมต่างๆ อย่างลงตัวจะดึงดูดให้ใครหลายคนแวะเวียนมาที่ “B-Story Café” คาเฟ่และร้านอาหารด้านหน้าโครงการ Coco Walk ราชเทวีเท่านั้น แต่เมนูอร่อยมากมายสไตล์ตะวันตกและฟิวชัน รวมทั้งเบเกอรีสูตรโฮมเมดของที่นี่ยังอร่อยเด็ดถูกใจนักชิมอีกด้วย         หากเลือกไม่ถูก เราแนะนำเมนูชีสหอมมันกินเพลินอย่าง Mac’n Cheese มะกะโรนีอบชีสมอสซาเรลลา เพิ่มความเข้มข้นกลมกล่อมด้วยกราแตงชีสด้านบน โรยเบคอนกรุบกรอบ และ Quesadilla แป้งตอร์ติญาสอดไส้ไก่ เห็ดแชมปิญอง ผักโขม และชีสมอสซาเรลลาเข้มข้นหอมมัน เพิ่มรสชาติด้วยซอสพิซซาโฮมเมด       สำหรับของหวานก็อร่อยไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น Strawberry Shortcake เนื้อเค้กนุ่มเบาเข้ากับครีมสดละมุนลิ้นทำจากวิปปิงครีมคุณภาพดีผสมวานิลลา ตัดความหวานด้วยบลูเบอร์รีและสตรอว์เบอร์รีสดลูกโต หรือ Banoffee ในขวดแก้วสุดเก๋ อัดแน่นไปด้วยโอรีโอบด กล้วยหอม ถั่ว และครีมคาราเมลหอมหวานที่มีส่วนผสมของวิปปิงครีมคุณภาพดีเช่นกันมากินคู่กาแฟหรือ B-Healthy Smoothies สมูทตี้คะน้าปั่นกับผลไม้แสนสดชื่นก็ไม่เลวเลยทีเดียว          สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย

คงต้องบอกว่าหนึ่งในเทรนด์ที่ฮิปที่สุดในเวลานี้ก็คือ การนำเอาสไตล์ ไอเดีย เสื้อผ้า และอาหารมาไว้ด้วยกัน และหากใครกำลังมองหาสถานที่แบบนี้อยู่ล่ะก็ เราขอฝาก Spotlight คาเฟ่สุดฮิปหน้าปากซอยเอกมัย 12 ไว้ในอ้อมใจ       ที่มาของร้านนี้ คุณเจย์ ดีไซน์เนอร์ชาวเกาหลีที่หลงรักเสน่ห์ของเมืองไทยเล่าให้ฟังว่าอยากให้ที่นี่เป็นตัวกลางของโลกแฟชั่นและอาหาร ทำให้ชั้น 2 ของร้านนี้เต็มไปด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ส่งตรงมาจากเกาหลี โดยบางส่วนเป็นแบรนด์ของเพื่อนๆ คุณเจ ทำให้เรากล้ารับประกันว่า ซื้อแล้วใส่ไม่ซ้ำใครอย่างแน่นอน       ขณะที่ชั้นล่างก็ถูกจำลองให้เป็นโลกของอาหารที่กรุ่นกลิ่นหอมของกาแฟและอาหารแสนอร่อยสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ดที่ทำง่ายอร่อยด้วย เรามาเริ่มกันด้วย Could Latte (120 บาท) ลาเต้สุดเก๋ที่อร่อยแบบไม่ต้องเติมน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมให้เสียเวลา เพราะเราจะมาสนุกกับการราดกาแฟและนมลงบนสายไหมที่เหมือนปุยเมฆลอยฟูฟ่อง หรือจะเป็น Green Espresso (100 บาท) ชาเขียวลาเต้ที่เพิ่มรสเข้มๆ ด้วยช็อตกาแฟเอสเพรสโซ่ลงไป     มาถึงบ้านโอปป้าถ้าไม่ได้ลอง Ramyeon (100 บาท) ถือว่ายังมาไม่ถึง มาม่าเกาหลีแบบต้นตำรับเพราะเสิร์ฟในหม้อทองเหลืองเหมือนในซีรีส์ไม่มีผิด แถมยังเก๋ด้วยวิธีการต้มที่ได้เส้นเหนียวนุ่มเด้งกับน้ำซุปรสสไปซี่เผ็ดปลายลิ้น และที่สำคัญยังมาพร้อมกับกิมจิรสเข้มข้นอมเปรี้ยวสูตรคุณแม่ของคุณเจย์มาให้กินตัดรสชาติกันอีกด้วย     แต่ถ้ายังไม่อิ่มก็ต้อง Brunch (220 บาท) ความอร่อยควบมื้อเช้าและเที่ยงที่จัดแน่นและเต็มจาน ไม่ว่าจะเป็นขนมปังปิ้ง ไข่ดาวสองฟอง ไส้กรอก และเบคอน แต่ถ้าอยากย่อส่วนมาหน่อยก็ต้อง BLT (120 บาท) แซนวิชหน้าเปิดที่นำผักกาดสดๆ เข้าคู่กับมะเขือเทศ กินคู่กับเบคอนกรอบๆ และไข่คนเนื้อนุ่ม       และ Daily Toast (120 บาท) ขนมปังโทสต์ประจำวันสูตรเด็ดที่เปลี่ยนหน้าตาไปในแต่ละวัน อย่างในวันนี้จะเป็นขนมปังปิ้งท็อปปิ้งด้วยกีวี่ บลูเบอร์รี่ ครีมสด และช็อกโกแลต  

แม้จะเปิดมานานกว่า 14 ปี แต่เหล่าคนรักของหวานก็ยังคงแวะเวียนมาชิมความอร่อยที่ “Souffle House” ร้านเบเกอรีสีเหลืองสะดุดตาท้ายซอยตรอกซุงกันไม่ขาดสาย เพราะติดใจ “ซูเฟล่” ขนมสไตล์ฝรั่งเศสสูตรเด็ดที่ทั้งฟู นุ่ม เบา และละลายในปาก ฝีมือเจ้าของร้านที่เรียนจบหลักสูตรทำขนมจากโรงเรียนวิชาการโรงแรมแห่งโรงแรมโอเรียนเต็ล (OHAP) ซึ่งใช้การอบที่เต็มไปด้วยเทคนิคและเคล็ดลับไม่เหมือนใคร     ด้วยความรักในการทำขนม ซูเฟล่เฮาส์จึงมีเมนูของหวานทีเด็ดอีกมากมาย โดยเฉพาะเค้กนานาชนิดที่เน้นรสชาติหวานน้อย แถมบางเมนูยังไม่มีส่วนผสมของแป้ง จึงเหมาะกับคนรักสุขภาพและสาวๆ ที่กังวลเรื่องน้ำหนัก     สำหรับเมนูยอดนิยมที่เราอยากให้ลองคือ Raspberry Yoghurt Cheese Cake ซอฟต์ชีสเค้กหอมหวานเข้ากับมูสราสพ์เบอร์รีและโยเกิร์ตรสเปรี้ยวที่ทำจากวิปครีมคุณภาพดีกลมกล่อมหอมมัน และ Whitechoc Cheese Cake ซอฟต์ชีสเค้กหน้ามูสไวต์ช็อกโกแลตรสนุ่มนวลที่มีส่วนผสมของวิปครีมชนิดเดียวกัน เพิ่มความกรุบกรอบด้วยโอรีโอ้บดด้านล่างได้อย่างลงตัว        สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย

คงต้องบอกว่าบ้านหลังเก่าที่กลายเป็นที่ตั้งของร้าน Baker x Florist แห่งนี้ คือส่วนผสมอันแสนจะดีงามของขนมหวานแสนอร่อยและสีสันแสนหวานของดอกไม้ จากการรวมตัวของสองสาวเพื่อนรัก คุณแนน - สวรรยา งามประเสริฐชัย เชฟทำขนมคนเก่ง และคุณสายไหม-มณีรัตน์ ศรีจรูญ นักแสดงสาวที่มีงานอดิเรกเป็นนักจัดดอกไม้ ที่ต้องการให้ความชอบของทั้งคู่มาอยู่ในที่เดียวกัน       แน่นอนว่าภายในร้านเราจะได้เห็นดอกไม้แทรกตัวอยู่ตามมุมต่างๆ ภายใต้บรรยากาศที่แฝงความเป็นโมร็อกกันนิดๆ จากสีสันฉูดฉาดของกระเบื้องและผืนผ้า แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นกลับดูอบอุ่นสบายตาด้วยโต๊ะไม้ตัวใหญ่และเก้าอี้หวายที่เพิ่มเข้ามา และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ดอกไม้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในทุกๆ เมนู ทั้งยังเอาใจคุณสาวๆ ไปอีกขั้น ด้วยการลดทอนแคลอรี่ในขนมเพื่อให้ทุกคนได้ปลื้มปริ่มชิมขนมได้อย่างสบายใจ       เริ่มเมนูแรกกันด้วย Autumn Branch (180 บาท) เครื่องดื่มสูตรซิกเนเจอร์ที่ให้อารมณ์ของฤดูใบไม้ร่วงด้วยการเพิ่มกลิ่นอบเชยลงไปในคาราเมลลาเต้แก้วโปรดของใครหลายคน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ กาแฟรสนุ่มๆ ที่กรุ่นกลิ่นหอม เหมาะแก่การนั่งจิบละเลียดอย่างช้าๆ      คนรักช็อกโกแลตก็ต้องลอง Fleue De Cao (160 บาท) ดาร์คช็อกโกแลตร้อนสูตรเข้มข้น 70% ที่ให้ความเข้มข้นอย่างเต็มพิกัดร่วมด้วยรสชาติหวานมันน้อยๆ จากนม แต่ความพิเศษของแก้วนี้ยังอยู่ที่กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้ที่มาร่วมชูโรงปิดท้ายอีกด้วย     ส่วนเมนูขนมหวานก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ตัวเด่นที่เรารักเป็นพิเศษขอยกให้กับ Baker’s Plant (240 บาท) ขนมที่สร้างเซอร์ไพร์สให้กับเราด้วยหน้าตาที่เหมือนดินในสวนที่มาพร้อมดอกไม้สีสด แต่แท้จริงแล้วนี่คือ “บานอฟฟี่” ในรูปลักษณ์ใหม่ที่พร้อมให้เราเพลิดเพลินไปกับการค้นหากล้วย ครีม และคาราเมลที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้คุกกี้ช็อกโกแลตป่น     แล้วมาปิดท้ายด้วย White Chocolate & Yuzu (120 บาท) มูสเค้กชิ้นกะทัดรัดโรยด้วยกลีบกุหลาบที่เต็มไปด้วยความอร่อยอยู่ทุกอณู จากเนื้อเค้กเนียนนุ่มฐานทำด้วยอัลมอนด์บด ก่อนจะราดด้วยซอสส้มยูสุเพิ่มรสเปรี้ยวๆ หอมๆ ได้ชิมแล้วหลับตาพริ้มอย่างแน่นอน  

เผลอแผลบเดียว After You ร้านขนมขวัญใจมหาชนก็มีอายุครบ 10 ขวบปีแล้ว เราเลยไม่พลาดพาทุกคนมาดูสาขาใหม่ที่ชั้น 2 ของคอมมูนิตี้มอลล์ The Promenade บนถนนรามอินทรา     แน่นอนว่าสาขานี้ก็ยังคงการตกแต่งตามสไตล์ที่เรายังคุ้นตา ด้วยความน่ารักและอบอุ่นด้วยกระเบื้องสีขาวที่สอดประสานกับโครงไม้และโต๊ะไม้ได้อย่างลงตัว และที่สำคัญที่นี่ยังพื้นที่ยังกว้างขวางกว่าเดิมอีกด้วย แต่ถ้าช่วงเย็นหรือวันหยุดก็ยังคงต้องรอคิวอยู่นะ       เรามาเริ่มเมนูแรกกันด้วย Nutella Toast (215 บาท) ขนมปังโทสต์ฟูนุ่มชุ่มเนยทาด้วยช็อกโกแลตนูเทลล่าจนทั่ว ก่อนจะโรยอัลมอนด์บด ร์ฟพร้อมวิปปิงครีมและไอศกรีมวานิลลาลูกโต     ต่อด้วย Hojicha Kakikori (265 บาท) คากิโกริที่เคยเป็นแค่เมนูประจำซีซั่น แต่กลับฮอตฮิตเสียจนต้องกลับมาอีกครั้ง ชูโรงด้วยรสชาติของชาเขียวโฮจิฉะแทบทุกอณู เริ่มตั้งแต่น้ำแข็งไสรสชาเขียวโฮจิฉะที่ซุกซ่อนความอร่อยของเจลลี่ชาไว้ภายใน ก่อนทอปปิงด้วยครีมสด ผงถั่วเหลือง และน้ำเชื่อมคุโรมิตสุรสหวานเย็นชื่นใจ     แล้วอย่าลืมปิดท้ายกับ Strawberry Limeade (125 บาท) โซดาสตรอว์เบอร์รี่สุดซาบซ่าให้รสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดด้วยเลมอน  

แม้จะเป็นร้านเบเกอรีเล็กๆ ในขุมชนหมู่บ้านการเคหะท่าทราย แต่ต้องบอกว่าความอร่อยของบรรดาเค้กและขนมปังที่วางเรียงรายละลานตาเมื่อก้าวเข้ามาใน “Ann Bakery” นั้นไม่ธรรมดา เพราะเป็นสูตรเด็ดที่ “คุณแอน” เจ้าของร้านคิดค้นและอบสดใหม่ทุกวันจนถูกปากเหล่าคนรักเบเกอรีมานานกว่า 20 ปี     ด้วยการคัดสรรแต่วัตถุดิบระดับคุณภาพ แต่ขายในราคาย่อมเยา เพราะอยากแบ่งปันความอร่อยที่เข้าถึงได้ให้แก่คนรอบข้าง เราจึงได้เห็นลูกค้าประจำทุกเพศทุกวัยแวะเวียนมาชิมขนมปังที่ร้านนี้กันไม่ขาดสาย โดยเฉพาะเมนูยอดนิยมอย่างชีสเค้กหลากรสชาติ อาทิ เลมอน บราวนี โอรีโอ้ บลูเบอร์รี และสตรอว์เบอร์รี ซึ่งมีทีเด็ดอยู่ที่เนื้อชีสเค้กนุ่มนวลหอมมัน ทำจากครีมชีสและวิปปิงครีมคุณภาพดี         ส่วนขนมปังนานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นครัวซองต์ เดนิช และพายต่างๆ นั้นมีเคล็ดลับอยู่ที่การใช้เนยแท้หอมมันเป็นส่วนผสม เราแนะนำครัวซองต์แฮมชีส ครัวซองต์ทูน่า เดนิชอัลมอนด์เฮเซลนัต เดนิชช็อกโกแลตอัลมอนด์ และอิงลิชเบรด ขนมปังแผ่นสไลด์หนานุ่มหอมนม เมนูใหม่ล่าสุดที่บอกได้คำเดียวว่าคนรักขนมปังพลาดไม่ได้อย่างแน่นอน       สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย