หรูหราอีกระดับกับคาเฟ่บรรยากาศสวนสวยสไตล์อังกฤษที่หลายคนที่นิยมมานั่งพักผ่อน เพราะร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยบวกกับเมนูขนมสไตล์ฝรั่งเศสและเครื่องดื่มรสชาติดีที่ทางร้านครีเอทมาเป็นพิเศษก็ยิ่งดึงดูดสายหวานให้โคจรมาพบกันอย่างคึกคัก แม้ขนมจะเน้นสไตล์ฝรั่งเศสแต่ปรับสูตรให้เข้ากับลิ้นของคนไทย รสชาติไม่หวานมากและทำสดใหม่ทุกวัน         ฮอตสุดยกให้ Signature Chocolate Drink ช็อกโกแลตเข้มข้นผสานนมสดแท้ เติมไซรัปเล็กน้อยรสชาติไม่หวานมากดื่มแล้วสดชื่นเหมาะกับฤดูร้อนทีเดียว         อีกเมนูมาแรงของร้าน Matcha Bomb ดื่มด่ำกับครีมชาเขียวเข้มข้นลูกโตที่ละลายในนมสดอย่างช้าๆ เปลี่ยนความขมติดปลายลิ้นสู่ความหวานฉ่ำและหอมมัน ดื่มละมุนลิ้นจนหยดสุดท้าย       สำหรับเมนูของหวานห้ามพลาด Maracuja เค้กรูปโดมสีเหลืองสดใสได้รสเปรี้ยวอมหวานจากเสาวรสและมูสมะม่วง สัมผัสเนื้อนุ่มละมุนจาก Financier และความหวานกรุบกรอบจากแครกเกอร์อัลมอนด์ แนะนำให้กัดพร้อมกันเพื่อสัมผัสรสชาติที่หลากหลายในคำเดียว  

  ไม่ต้องไปไกลถึงญี่ปุ่นก็สัมผัสกับความคาวาอิได้ที่ถนนราชวิถีกับ Kumo Café คาเฟ่สไตล์เจแปนนีสโมเดิร์นสุดคิวท์ มาในสีเอิร์ธโทนเรียบง่ายดูสบายตา เหมาะกับทุกเพศทุกวัย   โซนหน้าร้าน   โซนด้านในร้าน   สำหรับใครที่ชื่นชอบการถ่ายรูป Kumo Café มีหลากหลายมุมให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นโซนด้านนอกร้านซึ่งแขวนชิงช้าไว้จะไปนั่งเล่นหรือแค่ถ่ายรูปเฉยๆ ก็ได้นะ ถัดมาเป็นโซนด้านในร้านที่ตกแต่งด้วยของน่ารักๆ แถมยังได้แสงจากธรรมชาติไปแบบเต็ม ๆ อีกด้วย   มุมถ่ายรูปน่ารักๆ   สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้คงจะเป็นอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งทุกอย่างนั้นทางร้านจะผลิตเองขึ้นมาหมดไม่ว่าจะเป็นตัวขนมปังหรือแม้กระทั่งน้ำแข็งไส เรียกได้ว่าใส่ใจในการคัดวัตถุดิบทุกขั้นตอนจริงๆ     เริ่มกันด้วย Amago Sando แซนด์วิชไข่ไซส์ใหญ่ เอาใจคนชอบกินไข่หวานด้วยรสชาติละมุนนุ่มลิ้น เรียกได้ว่ากินได้เรื่อยๆ แบบไม่มีหยุดพัก ต่อด้วย Tonkatsu Sando หมูทงคัตสึพันด้วยขนมปังมาในรูปแบบชิ้นทานสะดวกมากขึ้น เสิร์ฟพร้อมมันฝรั่งทอดกรอบ แถมด้วยน้ำสลัดหอมๆ ตัดเลี่ยนด้วยแตงกวาดองและหัวไชเท้าดอง   Amago Sando   Tonkatsu Sando   เอาใจคนรักชีสด้วย Grilled Cheese & Tomato Soup ขนมปังไส้ชีสสุดเยิ้มๆ กินตอนร้อนๆ มันดีต่อใจมาก แต่ถ้าใครกลัวเลี่ยนทางร้านก็มีซอสดิปมะเขือเทศสูตรลับจากทางร้าน หากใครที่ชอบของหวานต้องนี่เลย Pudding Custard Caramel พุดดิ้งรสคัสตาร์ดแสนเด้งดึ๋ง รสชาติหอมหวานที่สำคัญไม่มีส่วนผสมของผงวุ้นสำเร็จรูป เพราะทางร้านทำขึ้นเองสดใหม่ทุกวันและด้านบนยังมีเม็ดช็อกโกแลตที่กินเข้าไปแล้วมีเสียงดังเป๊าะแป๊ะในปากอีกด้วย   Grilled Cheese & Tomato Soup   Pudding Custard Caramel   ตบท้ายด้วยเครื่องดื่มเย็นๆ อย่าง Yuzu Refresh กลิ่นหอมหวานจากยูสุเพิ่มความซ่าจากโทนิก สดชื่นๆ เหมาะกับอากาศบ้านเราเหลือเกิน แต่ถ้าใครชอบชาเขียวก็มี Uji Matcha Latte มัทฉะลาเต้สุดเข้มข้น จะกินแบบร้อนหรือแบบเย็นก็ดีต่อใจมากมาย และ Soft Matcha Mousse มูสชาเขียวมัทฉะนุ่มๆ มาในกล่องไม้ขนาดกะทัดรัด นอกจากจะได้ความหอมหวานของชาเขียวแล้วยังมีกลิ่นไม้อ่อนๆ ผสมลงไปด้วย   Uji Matcha Latte และ  Yuzu Refresh   Soft Matcha Mousse

หลีกหนีความร้อนในเมืองหลวงแล้วมาเสพงานศิลป์ให้ใจเบิกบาน พร้อมอิ่มท้องด้วยเครื่องดื่มเย็นชื่นใจกับ Fine of Course ร้านคาเฟ่เล็กๆ ย่านท่าเตียน แต่บอกเลยว่าอาหารและเครื่องดื่มของที่นี่จัดเต็มด้วยคุณภาพอย่างแน่นอน     หน้าร้านตกแต่งด้วยสีแดงสดใส   เมื่อมาถึงหน้าร้านสิ่งที่สะดุดตาคือสีสันอันแสบทรวงของสีแดงสะท้อนสู้อากาศร้อนจากดวงอาทิตย์ได้เป็นอย่างดี แต่พอก้าวเข้าภายในกลับรู้สึกเย็นและสัมผัสได้ถึงบรรยากาศสบายๆ เหมือนมาพูดคุยนั่งเล่นอยู่บ้านเพื่อน เพราะเจ้าของร้าน(พี่ปิยะวัฒน์)มีความเป็นกันเองมากๆ ถ้าใครยังไม่รู้ว่าจะสั่งเมนูไหนก็สามารถสอบถามพี่เขาได้เลย (แอบกระซิบนิดนึงถ้าคุยกันถูกคออาจได้ขึ้นไปดูวิวบนดาดฟ้าด้วยนะ)   บรรยากาศภายในร้านชั้น 1   บรรยากาศภายในร้านชั้น 2   มาเริ่มต้นกันด้วยเมนูที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดีอย่าง Black Cocorrice หรือข้าวเหนียวสังขยาที่มาในรูปแบบวาฟเฟิลจากข้าวเหนียวดำกรอบนอกนุ่มใน ราดด้วยสังขยาใบเตยและครีมกะทิหอมๆ ช่างเข้ากันเป็นอย่างดีแถมด้วยไอศครีมลูกโตๆ คงถูกใจหลายคนไม่ใช่น้อย   black Cocorrice   ถัดมาเอาใจคนชอบรสเปรี้ยวด้วยเมนู Puffy Burry วาฟเฟิลแป้งกรอบๆ ราดด้วยซอยครีมชีสสูตรพิเศษจากทางร้านท็อปด้วยไอศครีมรสชาติสุดเปรี้ยวจิ๊ด แถมยังมีเบอร์รี่ราดอยู่ข้างๆ ให้เปรี้ยวเข็ดฟันกันไปเลย   Puffy Burry   สำหรับใครที่ชื่นชอบความเข้มข้นของช็อกโกแลตต้องจัดเลยกับ Soulmate Sundae จัดเต็มด้วยบราวนี่กรอบรสชาเขียวและช็อกโกแลต พร้อมด้วยไอศครีมสองลูกใหญ่ๆ จากทางร้านโรยด้วยอัลมอนด์แสนอร่อยไม่มีอะไรจะฟินไปกว่านี้อีกแล้วค่า   Soulmate Sundae   ตบท้ายกันด้วยเมนูเครื่องดื่มคลายร้อนอย่าง น้ำอ้อยวุ้นมะพร้าว รสชาติหวานหอมเย็นชื่นใจที่สำคัญทางร้านไม่ผสมน้ำตาลด้วยนะ   น้ำอ้อยวุ้นมะพร้าว   เอาใจคนรักกาแฟด้วย Citrus Black Coffee กาแฟผสมน้ำส้มที่ให้รสชาติจากญี่ปุ่นแท้ๆ ตัวกาแฟจะไม่เข้มข้นจนเกินไปเมื่อทานคู่กับน้ำส้มหอมหวาน ช่างเป็นอะไรที่เข้ากันได้ดี   Citrus Black Coffee

คาเฟ่น่ารักซ่อนตัวอยู่บนชั้นสองของอาคารย่านสยามสแควร์แหล่งรวมวัยรุ่นคนหนุ่มสาว บรรยากาศออกจะดูลึกลับแต่ไม่พ้นสายตาของเหล่านักชิมที่ปักหมุดร้านนี้เป็นอีกร้านในดวงใจ ความพิเศษของร้านไม่เพียงบรรยากาศสบายๆ เป็นกันเองเหมาะกับการนั่งพักอ่านหนังสือ คุยงาน หรือแม้แต่นั่งมองผู้คนที่เดินผ่านไปมาด้านนอกก็เพลิดเพลินจนลืมเวลา อีกสิ่งที่หลายคนต่างพูดถึงแบบปากต่อปากคือขนมอบแสนอร่อยจากฝีมือเชฟผู้หลงใหลในการทำขนมและหมุนเวียนเมนูใหม่ๆ มาให้ได้ชิมกันแบบไม่ซ้ำ         ฮอตฮิตติดลมบนยกให้ Dark Beer Cake เนื้อเค้กโกโก้ผสมเบียร์สด ด้านในสอดไส้ช็อกโกแลต เสิร์ฟร้อนๆ ไส้เยิ้มๆ มาพร้อมกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเบียร์ ท็อปด้วยครีมชีสรสเปรี้ยวอมหวาน ยิ่งละเลียดก็ยิ่งเคลิบเคลิ้มจนอาจเผลอสั่งชิ้นที่ 2 แบบไม่รู้ตัว       ต่อด้วยชิ้นโปรดของหลายคน S’More ตัวฐานเป็นทาร์ตบางๆ สัมผัสความฉ่ำนุ่มและกลิ่นเนยติดจมูก ตามด้วยชั้นของบราวนี่ สลับด้วยชั้นของช็อกโกแลตและนูเทลลามูส บนสุดทอปด้วยมาร์ชเมลโลเผา ผิวด้านนอกกรอบด้านในนุ่มๆ เหนียวๆ ควรกัดทุกชั้นพร้อมกันเพื่อสัมผัสหลากรสชาติในคำเดียว     สุดท้ายเอาใจคนรักชีสเค้ก Burnt Cheese Cake เนื้อชีสเค้กของร้านจะเน้นความนุ่มเบากว่าเค้กชนิดอื่นด้วยเทคนิคผสมไข่ขาวที่ตีจนฟูเพื่อให้เค้กนุ่มละมุนขึ้น จากนั้นเผาด้านหน้าให้ไหม้นิดหน่อย เสิร์ฟพร้อมซอสมิกซ์เบอร์รีรสเปรี้ยวตัดหวาน  

ใครเป็นแฟนตัวยงของ “Gontran Cherrier” (กงทรอง เชอคีเยร์) ร้านเบเกอรีเลื่องชื่อจากฝรั่งเศสไม่ต้องบินข้ามประเทศกันอีกต่อไป เพราะสาขาแรกในเมืองไทยมาเปิดให้ชิมกันแล้วที่ ชั้น G Singha Complex ในสไตล์ร้านเบเกอรีกึ่งคาเฟ่บรรยากาศสบายน่านั่ง ที่พร้อมเสิร์ฟเมนูเด่น ทั้งอาหารออลเดย์บรันช์ เบเกอรีสไตล์ฝรั่งเศส และเครื่องดื่มนานาชนิด         นอกจากเมนูสุดฮิตอย่าง “ครัวซองต์” โฮมเมดกรอบนอกนุ่มในสูตรเด็ดของเชฟกงทรอง เชอคีเยร์ ที่ใช้เนยสดแท้จากฝรั่งเศส อบสดใหม่ทุกวันและมีให้เลือกชิมหลากรสชาติ อาทิ เพลน, ช็อกโกแลต, ชา, เมเปิลไซรัป, มัตฉะถั่วแดง และอัลมอนด์ช็อกโกแลต จะห้ามพลาดเป็นอันขาดแล้ว       เราแนะนำให้ลองเมนูคอมฟอร์ตฟู้ด ทั้ง Smoked Duck Breast Salad สลัดอกเป็ดรมควันเนื้อนุ่มราดสตรอว์เบอร์รีวินิแกรต มาพร้อมสตรอว์เบอร์รีสด Spaghetti SAI-OUA รสเผ็ดจัดจ้าน กินแกล้มกับแคปหมูกรอบๆ เข้ากันสุดๆ และ Wagyu Beef Burger Black Bun เบอร์เกอร์เนื้อที่มีทีเด็ดอยู่ที่ครีมชีสพาร์เมซานเยิ้มๆ ที่เข้ากับเนื้อวากิวย่างได้อย่างลงตัว         หากยังพอเหลือพิ้นที่ในกระเพาะ อย่าลืมลองสั่งของหวานอย่าง Fresh Lime Cheesecake มูสชีสเข้มข้น ตัดรสชาติด้วยผิวมะนาวสด หรือ Strawberry Cheesecake ที่มาพร้อมสตรอว์เบอร์รีสดลูกโต แล้วปิดท้ายด้วย Strawberry Frappe รสเปรี้ยวหวานเย็นชื่นใจสักแก้วเป็นอันอิ่มพอดีๆ    

ใครจะคิดว่าย่านเก่าแก่อย่างเฟื่องนครจะมีร้านคาเฟ่สุดเก๋ซ่อนตัวอยู่ “Simiaokafei” (ซื่อเมี่ยวคาเฟย) แปลว่ากาแฟข้างวัด ดูเหมือนว่าชื่อและสถานที่จะมีความสอดคล้องกันไม่ใช่น้อย ก็แหมม ร้านนี้อยู่ห่างจากวัดราชบพิธเพียงแค่ข้ามถนนมาเท่านั้น       เมื่อก้าวเข้ามาบรรยากาศภายในร้านตกแต่งด้วยสไตล์จีนโมเดิร์นแต่ยังแฝงกลิ่นอายของชิโนโปรตุกีส เพราะตัวร้านเป็นตึกเก่าแก่อายุมากกว่า 150 ปี นอกจากนี้เจ้าของยังเพิ่มความเก๋ด้วยการทุบกำแพงบางส่วนเพื่อเผยให้เห็นเนื้ออิฐด้านใน แถมยังพ่นรูปผู้หญิงใส่ชุดจีนบนผนังเพื่อเพิ่มลูกเล่นให้กับร้านอีกด้วย       นอกจากบรรยากาศร้านและการตกแต่งจะเป็นสไตล์จีน เมนูของที่นี่ก็มีกลิ่นอายของจีนด้วยเช่นกัน เริ่มจากซิกเนเจอร์อย่างก๊กเฟย น้ำเก๊กฮวยเย็นๆ แถมยังมีกลิ่นหอมอ่อนจากขนุน เพิ่มความน่ารักที่ขอบแก้วด้วยสับปะรดอบแห้งที่เจ้าของร้านทำขึ้นมาเอง แต่สำหรับคอกาแฟต้องจัดไปเลยกับเมนูพิโคโล ลาเต้ ได้เมล็ดกาแฟที่มีกลิ่นเป็นเอกลักษณ์ส่งตรงจากโรงคั่วที่ชนะเลิศการประกวดของประเทศเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมี ช็อกโกแลตเย็นสูตรเข้มข้น เพราะเป็นช็อกโกแลตนำเข้าจากฝรั่งเศส แถมยังได้บาริสต้าฝีมือดีมาชงอีก งานนี้ใครที่เป็นสาวกช็อกโกแลตต้องถูกใจแน่นอน         แต่หากใครอยากหาอะไรรองท้องเบาๆ ก็ขอแนะนำปังจีบ ขนมปังขาวกรอบๆ ที่ห่อไส้ด้วยไวท์ซอสแฮม รสชาติเข้มข้น ไม่ว่าจะกินคู่กับเครื่องดื่มไหนก็ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดี นอกจากนี้ทางร้านยังมีเมนูลับในแต่ละเดือนสลับหมุนเวียนกันมาให้เราได้ลิ้มลองกัน สามารถติดตามได้จากทางเพจเฟสบุ๊คหรือเข้ามาสอบถามที่ร้านก็ได้  

คนรักชาเขียวตัวจริงห้ามพลาดเครื่องดื่มชาเขียวมัตฉะสุดเข้มข้นจากร้าน ChaEn Matcha ร้านชาเขียวแบรนด์ของคนไทยที่ใส่ใจทุกขั้นตอนการผลิต เริ่มจากส่งตรงชาเขียวพันธุ์ดีที่ปลูกจากไร่ของตัวเองที่อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงรายนำมาผ่านกรรมวิธีต่างๆ อย่างพิถีพิถันจนได้ผงชาเขียวเกรดพรีเมียมชวนลิ้มลอง     ไม่เพียงวัตถุดิบชั้นดีที่เป็นหัวใจสำคัญของร้านแต่ยังมีไฮไลท์ที่ทุกคนรอคอยคือวิธีชงสดด้วยมือแบบแก้วต่อแก้ว เพื่อให้คนรักชาเขียวได้ลิ้มรสชาติเข้มข้นแบบต้นตำรับที่มาพร้อมกลิ่นหอมกรุ่นชวนรื่นรมย์       เทใจให้ก่อนกับเมนูแรก Matcha Kuromisu Latte ชาเขียวผสมนมใส่ไซรัปเคี่ยวจากน้ำตาลทรายแดง เพิ่มไข่มุกทำจากบุกเคี้ยวกรุบๆ หนึบๆ     ต่อด้วยเมนูเอาใจสายดาร์คที่แอบซ่อนอารมณ์หวานแหววไว้นิดๆ Dark Matcha Latte เพิ่มปริมาณชาเขียวแบบดับเบิ้ลเพื่อสัมผัสความเข้มข้นเต็มรสชาติและแฝงรสฝาดติดปลายลิ้นเป็นเอกลักษณ์ ตามด้วยนมสดและไซรัปเพิ่มความหวานมันชวนจิบได้เพลินๆ แบบไม่รู้เบื่อ     แม้จะเน้นเมนูจากชาเขียวมัตฉะเป็นหลักแต่ ChaEn Matcha ก็มีการนำชาชนิดอื่นมาเบลนด์เพื่อให้คนรักการดื่มชาที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ได้ลิ้มลอง โดยเฉพาะแก้วนี้ Black Tea Kuromisu Latte ชาดำเบลนด์จากชาอู่หลงรสนุ่มและมีกลิ่นหอมละมุนกับชาอัสสัมรสฝาดออกมาเป็นส่วนผสมที่หนักแน่นแต่แฝงความนุ่มนวลเอาไว้ เมื่อเติมนมสดและไซรัปจากน้ำตาลทรายแดงก็ยิ่งส่งให้แก้วนี้หอมหวานน่าประทับใจและขายดีไม่แพ้แก้วอื่นเลย         นอกจากจะนำชาเขียวมัตฉะมาเสิร์ฟในรูปแบบเครื่องดื่มทางร้านยังนำมาสร้างสรรค์เป็นไอศกรีมชาเขียว ให้ลูกค้าสนุกกับการลิ้มลองรสชาติความเข้มข้นของชาเขียวพรีเมียมที่ไล่ระดับความหนักแน่นได้มากถึง 3 ระดับ แต่หากยังไม่มั่นใจจะลองชิมก่อนสั่งก็ได้  

เรียกว่าเพียงแค่ก้าวผ่านประตูเข้ามาก็เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปสู่อดีตในพริบตา เพราะ “บ้านขนมปังขิง” คาเฟ่กึ่งพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ชุบชีวิตบ้านเก่าแก่อายุ 106 ปี โดยทายาทรุ่นที่ 4 ของ “ขุนประเสริฐทะเบียน (ขัน)” ที่อยากอนุรักษ์และเปิดให้คนทั่วไปได้มาสัมผัสความสวยงามของสถาปัตยกรรมแบบ Ginger Bread House ที่สะท้อนให้เห็นผ่านลวดลายฉลุละเอียดอ่อนคล้ายขนมปังขิงซึ่งได้รับอิทธิพลจากตะวันตกในสมัยรัชกาลที่ 4       มาเยือนบ้านไม้ไทยที่เต็มไปด้วยร่องรอยของประวัติศาสตร์แบบนี้ แนะนำให้เดินสำรวจความสวยงามทุกมุมมอง ทั้งผนัง บานประตูหน้าต่าง ลายฉลุ ไปจนถึงเนื้อไม้ที่ผิวสัมผัสยังคงสภาพเดิม เราชอบการผสมผสานความเก่าแก่ที่สวยงามของตัวบเน และการตกแต่งเพิ่มเติมด้วยเฟอร์นิเจอร์สไตล์วินเทจที่เข้ากันได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ เรียกว่าจะสายประวัติศาสตร์หรือสายอาร์ตก็เพลิดเพลินกันได้ที่นี่         แต่หากเดินเล่นจนเหนื่อย ลองสั่งชุดบัวทองที่มีทั้งขนมไทย อาทิ เสน่ห์จันทร์ จ่ามงกุฏ กลีบลำดวน และสำปันนี จับคู่กับไอศกรีมกะทิลอดช่องโรยฝอยทองราดน้ำตาลมะพร้าว มาพร้อม Macadamia Cheesecake ชีสเค้กเนื้อแน่นท็อปด้วยถั่วแมคคาดาเมียกรุบกรอบ และ Midnight Mocha เค้กกาแฟสลับชั้นด้วยช็อกโกแลตเข้มข้นหอมหวาน กินคู่ชาเอิร์ลเกรย์ร้อนยิ่งอร่อยลงตัว           สำหรับคอกาแฟต้องลอง Iced Signature Coffee กาแฟเย็นซิกเนเจอร์ที่แนะนำให้ดื่มทันทีแบบไม่ต้องคน เพื่อให้ได้รสชาติหวานมันขมของไซรัป นม และกาแฟครบทั้ง 3 ชั้น หรือจะเพิ่มความสดชื่นอีกนิดด้วย Iced Mint Macchiato กาแฟมัคคิอาโตใส่ไซรัปมินต์หอมหวาน       แต่ถ้าไม่ใช่สายกาแฟจริงๆ ที่นี่ยังมี Mini Lime Soda อิตาเลียนโซดาที่ผสมผสานไซรัปมินต์ มะนาว และโซดาให้ดับกระหายในช่วงอากาศร้อนๆ แบบนี้อีกด้วย  

ขอยกให้เป็นการร่วมงานที่โดนใจคนรักกาแฟและคนรักงานศิลป์อย่างแท้จริง สำหรับ “Craftsman X บ้านอาจารย์ฝรั่ง” คาเฟ่แห่งใหม่ในฝั่งธนฯ ที่ผสานความหอมกรุ่นของกาแฟจาก Craftsman ขวัญใจเหล่าฮิปสเตอร์กับบรรยากาศแห่งศิลปะและประวัติศาสตร์ในบ้านพักอาศัยเมื่อครั้งอดีตของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี ได้อย่างกลมกลืนและลงตัว     แม้จะเริ่มต้นจากความต้องการเปิดแกลเลอรีศิลปะบนชั้น 2 ของศิษย์เก่าชาวศิลปากร แต่เมื่อต้องการปลุกชีวิตและสีสันให้กับอาคารอนุรักษ์ของกรมศิลปากรแห่งนี้ คาเฟ่ในชั้นล่างจึงถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยความร่วมมือของคุณแวว แห่ง Craftsman ที่ตั้งใจพารสชาติละมุนของเมล็ดกาแฟบ้านห้วยห้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน จากร้านเก่าที่เย็นอากาศมาเติมเต็มความอร่อย       โดยเฉพาะซิกเนเจอร์ที่หลายคนติดใจอย่าง Hot Honey Latte ลาเต้ร้อนที่ใช้น้ำผึ้งป่าออร์แกนิกเพิ่มความหวานละมุน มาพร้อมรังผึ้งหอมหวาน และ Iced Lemongrass Latte ลาเต้เย็นชื่นใจหอมตะไคร้อ่อนๆ ที่คว้ารางวัลชนะเลิศจากงาน I+D Style Cafe 2018 มาครองได้อีกด้วย และ Black Coffee Mojito กาแฟโคลด์บริวที่ผสมผสานความหวานของน้ำตาลทรายแดงและความเปรี้ยวจากไซรัปผลไม้ได้อย่างลงตัว         ส่วนคนรักผลไม้ต้องลอง Passion Honey on the Rock เมนูโปรดของครอบครัวเจ้าของร้านที่รวมความอร่อยของเสาวรสสด น้ำผึ้งป่า เกลือซีซอลต์ และเกล็ดน้ำแข็งบด (ตักเข้าปากคพำแรกก็รู้สึกเหมือนกินน้ำแข็งไสหวานเย็นสดชื่นสุดๆ) และ Sparkling Tamarind for Baan Ajarn Farang น้ำมะขามผสมน้ำผึ้งป่าออร์แกนิก เพิ่มความสดชื่นด้วยสปาร์กลิงวอเตอร์ ที่ได้แรงบันดาลใจจากน้ำมะขามซึ่งเป็นเมนูโปรดของอาจารย์ศิลป์ พีระศรี นั่นเอง       ที่สำคัญที่นี่ยังเพิ่มเมนูอาหารสไตล์อิตาเลียนตอนใต้ (ซึ่งเป็นบ้านเกิดของอาจารย์ศิลป์) ให้เราอิ่มยิ่งขึ้น อาทิ Italian Sausage Salad สลัดไส้กรอกอิตาเลียน ที่ปรุงรสง่ายๆ แต่อร่อยไม่ธรรมดาด้วยเกลือ พริกไทย น้ำมันมะกอก Seafood Arrabbiata Pasta เส้นลิงกวินีเหนียวนุ่มผัดกับซอสอาราเบียตาเผ็ดนิดๆ หอมออริกาโน มาพร้อมเหล่าอาหารทะเล ทั้งกุ้ง ปลาหมึก และหอยแมลงภู่ Grill Lamb Chop with Italian Herb ซี่โครงแกะย่างสมุนไพร เสิร์ฟคู่มันบดที่ทำสดจานต่อจาน และ Aus. Wagyu Steak with Red Wine Sauce สเต๊กวากิวเนื้อนุ่มสุกกำลังดี กินคู่ซอสไวน์แดงสูตรเด็ด           รวมทั้งของหวานที่พลาดไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น Flourless Chocolate Cake เค้กช็อกโกแลตไร้แป้ง มาพร้อมซอสเบอร์รี และ Apple Strudel ไส้แอปเปิลอัดแน่น เสิร์ฟคู่ไอศกรีมกาแฟ Artisan Blend ที่มีรสชาติไม่ผิดเพี้ยนจากกาแฟจากฝีมือบาริสต้าประจำร้านเลยทีเดียว    

คำว่า “Heijii” (เฮยจี) แปลตรงตัวว่า “ไก่ดำ” แต่ “Heijii Bangkok” คาเฟ่น้องใหม่ในซอยเจริญกรุง 43 แห่งนี้แม้จะ (ยัง) ไม่มีไก่ดำตุ๋นยาจีน เมนูเด็ดในวัยเยาว์ฝีมือคุณแม่ที่เป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อร้านให้ชิม แต่ที่นี่พร้อมบอกเล่าและถ่ายทอดเรื่องราวความทรงจำของคุณมิค เจ้าของร้านที่เติบโตในครอบครัวคนจีนผ่านรสชาติอาหารและบรรยากาศที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายโรงน้ำชาร่วมสมัยที่ถูกดัดแปลงมาจากอาคารห้องแถวเก่าแก่อายุกว่า 100 ปี ได้อย่างลงตัว         แค่เปิดประตูบานเฟี้ยมก้าวเข้ามาในร้าน ลูกคนจีนแบบเราก็รู้สึกเหมือนได้ปะทะกับภาพจำและเรื่องราวเก่าๆ ของครอบครัวที่พร้อมย้อนกลับมาให้คิดถึง ทั้งผนังอิฐปูนเปลือย โต๊ะไม้ยาวมุมกระจก เก้าอี้เหล็กพับบุหนังสีแดงที่มีอายุหลายสิบปี ภาชนะสไตล์จีนวินเทจ ไปจนถึงเคาน์เตอร์บาร์ไม้ทาสีเขียวที่เต็มไปด้วยโหลแก้วใส่เครื่องดื่มต่างๆ ที่เจ้าของร้านเตรียมและชงแบบวิธีโบราณด้วยตัวเองไว้ทั้งหมด         และไม่เพียงตัวอักษรจีนบนกำแพงร้านที่หมายถึงขอให้โชคดีจะช่วยเติมพลังใจให้เราเท่านั้น หากเมนูเด่นของเฮยจียังช่วยเติมพลังงาน (ให้กระเพาะ) ได้ไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น Pork Dumpling ขนมจีบไส้หมูนุ่มแน่นเสิร์ฟร้อนๆ Chinese Spring Roll เปาะเปี๊ยะทอดกรอบอัดแน่นด้วยไส้หมูสับ วุ้นเส้น เห็ด และแครอต เสิร์ฟพร้อมผักเคียงและน้ำจิ้มรสหวานเปรี้ยว รวมทั้ง Spicy Fried Wonton เกี๊ยวทอดกรอบนอกนุ่มใน ราดหมูสับต้มยำผัดแห้งรสจัดจ้าน         นอกจากชาและกาแฟที่คัดสรรมาอย่างดีแล้ว หนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิ ยมจากเคาน์เตอร์บาร์สุดเท่กลางร้านที่เราอยากแนะนำคือ Plum Peach ซึ่งผสมผสานความลงตัวของบ๊วย พีช และน้ำผึ้ง หอมกลิ่นเปลือกส้ม ยิ่งดื่มพร้อมกับละเลียดความอร่อยของ Financier with Kumquat Sauce ขนมสไตล์ฝรั่งเศสรูปร่างคล้ายทองคำแท่งทำจากอัลมอนด์ ไข่ขาว นม และน้ำผึ้ง เสิร์ฟคู่ซอสส้มจี๊ดที่เด็ดกันสดๆ จากกระถางในร้านก็ยิ่งเพิ่มความสดชื่นไปอีกเท่าตัว      

นับว่าเป็นข่าวดีของสวีตเลิฟเวอร์กันเลยทีเดียวเชียว เพราะใครที่เคยต่อคิวรอแพนเค้กสุดฮิตต้นตำรับโอซาก้าที่สยามพารากอนแล้วล่ะก็ ตอนนี้ไม่ต้องยืนรอให้เมื่อยกันอีกต่อไป เมื่อ Gram Cafe & Pancake ได้เพิ่มทำเลใหม่กว้างใหญ่กว่าเดิมบนถนนพระราม 6 เป็นที่เรียบร้อย         ความพิเศษของที่นี่จึงหนีไม่พ้นบรรยากาศความสวยงามของบ้านสีขาวหลังใหญ่คล้ายเรือนกระจกที่รายล้อมไปด้วยหมู่มวลต้นไม้และดอกไม้ แถมยังเอาใจด้วยโซนที่นั่งทั้งมีทั้งแบบโซฟาตัวนุ่ม หรือจะลองกับบรรยากาศแบบญี่ปุ่นที่นี่ก็มีเสื่อทาทามิที่ให้ทุกคนได้ดื่มด่ำกับชาถ้วยโปรด และที่สำคัญยังเพิ่มเมนูพิเศษที่ไม่มีในสาขาแรกอีกด้วย     [readmore]   ประเดิมความอร่อยด้วย Salmon & Avocado Pancakes (295 บาท) แพนเค้กคลาสสิกแป้งบางเนื้อหนึบเสิร์ฟพร้อมแซลมอนรมควันและอะโวคาโดชิ้นโต ร่วมด้วยซีซาร์สลัดเติมรสชาติความสดชื่น     หรือมาลองเมนูใหม่อย่าง Mentaiko & Teriyaki Chicken Pancakes (295 บาท) แพนเค้กเสิร์ฟพร้อมไก่เทอริยากิเนื้อนุ่มหอมชิ้นโตที่เพิ่มความเข้มข้นหอมมันของสลัดกุ้งต้มราดด้วยน้ำสลัดเมนไทโกะ     คนรักชาเขียวก็ห้ามพลาดความอร่อยล่าสุดของ Matcha Tiramisu Pancakes (295 บาท)  แพนเค้กนุ่มๆ เรียงซ้อนกัน 3 ชั้น แต่ละชั้นสลับชั้นด้วยครีมมาสคาโปนวานิลาและมัทฉะ อีกทั้งยังเต็มคำด้วยดังโงะลูกโตเนื้อหนึบและสตรอว์เบอร์รี่สดกินคู่กับซอสถั่วแดง     แต่ถ้าชอบความหวานอมเปรี้ยวก็ต้อง Honey Apple & Earl Gray Cream Pancakes (295 บาท) แพนเค้กเสิร์ฟร้อนๆ พร้อมกับแอปเปิลผัดซอสน้ำผึ้งรสหอมหวานกินคู่กับคัสตาร์ดครีมรสชาเอิร์ลเกรย์ ไอศกรีมนมสด และนามะครีมเนื้อนุ่ม     ส่วนแฟนคลับเมนูดั้งเดิมอย่าง Premium Pancakes (295 บาท) หรือแพนเค้กเด้งดึ๋งสูตรซิกเนเจอร์ที่มาพร้อมกับนามะครีมรสละมุนที่ผลิตจากนมสดแท้ 100% ราดด้วยเมเปิลไซรัปหวานหอม ก็อย่าลืมลองสั่งท็อปปิ้งอื่นๆ อย่างสตรอว์เบอร์รี่สด มากินคู่ด้วยล่ะ เพราะเขาแนะนำมาว่าอร่อยเต็มคำกว่าเดิมอย่างแน่นอน   [/readmore]

เรียกว่าเป็นร้านเค้กยอดนิยมของชาวระยองอย่างแท้จริง สำหรับ “Cup’n Cake” ที่เกิดขึ้นจากความรักและความตั้งใจนำเสนอเมนูเบเกอรีโฮมเมดสูตรเด็ดของเจ้าของร้านที่หลงรักการทำขนม จนทำให้จากการเป็นเพียงขนมเค้กฝากขาย ขยับขยายกลายเป็นร้านเค้กสไตล์ลอฟต์สุดเก๋ที่มีพื้นที่กว้างขวางนั่งสบายให้เหล่านักชิมได้อร่อยกันแบบผ่อนคลาย           ทีเด็ดของ Cup’n Cake อยู่ที่การเลือกใช้แต่วัตถุดิบระดับคุณภาพแบบไม่มีหวง โดยเฉพาะวิปปิงครีมและครีมชีสที่ช่วยเพิ่มความอร่อยกลมกล่อมยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเค้กนมสดฮอกไกโด เมนูซิกเนเจอร์เนื้อนุ่มเบาหอมครีมนมสดละมุน หรือมะปี๊ดชีสเค้ก ที่นำมะปี๊ด (หรือส้มจี๊ด) รสเปรี้ยวหวานมาทำเป็นซอสส้มมะนาวที่เข้ากับชีสเค้กสุดๆ       ส่วนเมนูที่หลายคนคุ้นเคยอย่างนิวยอร์กชีสเค้กก็ไม่ธรรมดา เพราะผสมผสานความอร่อยของช็อกโกแลตเค้กนุ่มหนึบ ครีมชีสหอมมัน และซอสบลูเบอร์รีเข้มข้นได้อย่างลงตัว     แล้วอย่าลืมสั่งเครื่องดื่มแสนสดชื่นอย่างชากุหลาบลิ้นจี่หอมหวาน และสตรอว์เบอ์รีโซดาเย็นชื่นใจมากินคู่กับเค้กจะยิ่งอร่อยฟิน       สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย  

 ขอยกให้เป็นสถานที่ชิลเอาต์แสนสบายและแสนอร่อยในจังหวัดอุดรธานี สำหรับ “Beyond Café” คาเฟ่สไตล์เดิร์นลอฟต์สุดเก๋ที่โดดเด่นด้วยพื้นที่กว้างขวางโปร่งสบาย เสริมด้วยการตกแต่งแบ่งโซนให้นั่งละเลียดเครื่องดื่มและขนมรสเลิศได้ทั้งอินดอร์และเอาต์ดอร์ โดยเฉพาะบริเวณสวนสวยด้านนอกร้านที่เป็นมุมโปรดของใครหลายคน       เหล่านักชิมตัวยงเป็นต้องถูกใจ เพราะที่นี่มีเมนูเครื่องดื่มและของหวานมากมายให้เลือกสั่งแบบละลานตา แต่หากเลือกไม่ถูก เราขอแนะนำเมนูยอดนิยมที่มีส่วนผสมของวิปปิงครีมคุณภาพดี       ไม่ว่าจะเป็น Mix Fruit Custard Cake สปอนจ์เค้กเนื้อนุ่มสลับชั้นด้วยครีมสดแสนละมุน มาพร้อมผลไม้สดหลากชนิด อาทิ สตรอว์เบอร์รี กีวี พีช องุ่น และแก้วมังกร Mango Sticky Rice Tart ความอร่อยลงตัวของข้าวเหนียวมูลกะทิ มูสมะม่วงน้ำดอกไม้ และเนื้อมะม่วงสด และ Sea Salt Caramel Cheesecake รสชาติเค็มนิดๆ ของเกลือทะเลตัดกับความหวานของคาราเมลเคี่ยวสด เข้ากับเนื้อเค้กนุ่มละมุนและครีมชีสหอมมันได้เป็นอย่างดี      

ไม่ว่าจะสายกิน สายอาร์ต หรือสายวินเทจเป็นต้องโดนใจกับ “Disjarus Craft and Café” คาเฟ่น้องใหม่แห่งโครงการช่างชุ่ยที่ต่อยอดจากความหลงใหลในการสะสมของเก่า ความรักในศิลปะ และความชอบกินของเจ้าของร้านออกมาเป็นสถานที่ที่ให้ความรู้สึกเหนือจริงและความสุนทรีทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส         แม้คาแรกเตอร์ของร้านจะดูหรูหราอลังการ แต่ที่นี่กลับอบอวลไปด้วยบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง โดยคุณก้อง หนี่งในผู้ปลุกปั้นคาเฟ่แห่งนี้ย้ำถึงความตั้งใจที่อยากให้ดิษจรัสเป็นเหมือนบ้านที่แสนสบายของทุกคนในครอบครัว     สำหรับเมนูเด่นสไตล์ดิษจรัสถูกออกแบบมาอย่างสร้างสรรค์ทั้งรูปลักษณ์และรสชาติ โดยเฉพาะของหวาน อาทิ Rose Madeleines มาเดอลีนหอมกุหลาบเนื้อแน่นนุ่มชุ่มฉ่ำ มาพร้อมไอศกรีมสตรอว์เบอร์รีซอร์เบต์ Lady Citron เค้กส้มยูซุที่ตักเข้าปากคำแรกก็สดชื่นสุดๆ และ Lamponi Cioccolato เค้กช็อกโกแลตฟัดจ์เข้มข้นตัดรสชาติด้วยราสพ์เบอร์รีสด ส่วนเครื่องดื่มก็เก๋ไก๋ไม่แพ้กัน ทั้ง Disjaras Rose latte ความลงตัวของลาเต้รสนุ่มนวลและนมผสมกุหลาบจากฝรั่งเศส และ Zodiac Tea ชาผลไม้ 12 จักรราศี ที่เราชอบมากคือ Capricornus ชาดำที่เพิ่มรสชาติด้วยเปปเปอร์มินต์ กีวี และแอปเปิล             และหากอยากอิ่มยิ่งขึ้น ที่นี่มีเมนูอาหารคาวจานเด็ดให้เลือกสั่ง เราแนะนำ Sweet Potato Fries มันหวานจากไอส์แลนด์ทอดกรอบนอกนุ่มใน และ Roast Chicken Salad ไก่อบเนื้อนุ่ม เสิร์ฟพร้อมผักสลัดสดกรอบ และน้ำสลัดโฮมเมด    

Passion + Craftmanship + Experience ความหลงใหล งานฝีมือ และประสบการณ์ คือสิ่งที่เรามองหาได้จากที่นี่ Café Leitz by Pacamara คือการรวมตัวกันของ Leica Camara Thailand ฐานะผู้ดูแลแบรนด์ Laica ในประเทศไทย กับ Pacamara Coffee Roaster ผู้จำหน่ายเมล็ดกาแฟชื่อดังและเป็นผู้นำร้านกาแฟประเภท Specialty อย่างลึกซึ้ง เมื่อทั้งสองแบรนด์ที่เป็นสุดยอดมารวมตัวกันจึงเกิดขึ้นเป็นไลฟ์สไตล์คาเฟ่ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การกินดื่มเท่านั้น แต่ยังชูไฮไลต์ด้วยการเพิ่มประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ซึ่งสะท้อนผ่านคาแรกเตอร์ของไลก้าและพาคามาร่าอย่างแท้จริง         ความโดดเด่นของ Café Leitz by Pacamara ที่เราชอบนอกจากเป็นคอมมูนิตี้ไว้พบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนรักไลก้าในบรรยากาศโคซี่ รีแล็กซ์ จะเลือกนั่งเอ้าท์ดอร์ก็รับลมเย็นสบายผิวแล้ว ที่นี่ยังมีบริการให้เราทดลองเล่นกล้องไลก้า (ครบทุกรุ่น) ตัวที่เราเล็งเอาไว้ อีกทั้งถ้าหากใครสนใจเรียนรู้เทคนิคการใช้งานกล้องไลก้าเบื้องต้นจนถึงขั้นแอดวานซ์ก็มีเวิร์คชอปชื่อ Lrica Akademie ไว้บริการ แถมยังมี Exhibition เล็กๆ ในร้านไว้ติดภาพดีภาพเด่นของใครที่ลงเวิร์คชอปกับทางไลก้าแล้วโดนใจกรรมการอีกด้วย         ส่วนอีกหนึ่งความประทับใจที่เราไม่พูดถึงไม่ได้คือ คาเฟ่บาร์ ที่ดูแลโดยแบรนด์พาคามาร่าที่คอกาแฟรู้จักกันดี มาครั้งนี้จัดเต็มทั้งเครื่องดื่มและอาหารที่ดูเรียบง่ายแต่มีลูกเล่นด้วยมิติทางรสชาติมากมายใน 1 คำ เช่น E-san Pasta เส้นพาสตาผัดคลุกเคล้ากับเครื่องเทศหอมกรุ่น แหนมหมูรสเปรี้ยว ปลาร้ารสนัว กินกับกุ้งแม่น้ำย่าง มันกุ้งฉ่ำๆ ต่อด้วยข้าวหมูฮ้อง ข้าวสวยปรุงรสเข้ากันกับเนื้อหมูและหมูสามชั้นตุ๋นเครื่องเทศนุ่มๆ จากการซูวีด หมูรสเค็มหวานเหมาะมากกับพริกน้ำส้มและอาจาดที่เสิร์ฟมาด้วยกัน       ส่วนของหวานเราแนะนำ Tarte au Citron เลมอนทาร์ตเคี้ยวกรุบกรอบรสเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นซีตรัสจากเลมอน เสิร์ฟพร้อมเมอแรงก์รสหวานแบบพอเหมาะ ถ้าสั่ง Old Fashion มาดื่มด้วยกันยิ่งดีเข้าไปใหญ่ กาแฟสกัดเย็นด้วยโคล่าหอมกลิ่นเกรปฟรุต มะนาว วานิลลา และเมเปิลไซรัป ท็อปด้วยโทนิกและผิวส้มดื่มแล้วสดชื่นที่สุด หรือใครชอบกาแฟรสนุ่มต้องลอง Cortado Orange กาแฟเอสเปรสโซเข้มข้นจากโรงคั่วพาคามาร่าเพิ่มรสด้วยนมสูตรพิเศษ เติมความหอมด้วยผิวส้มอีกหน่อย กินกับส้มสดที่เสิร์ฟมาพร้อมกัน อยากกลับมาดื่มซ้ำๆ ก็คราวนี้!      

“Sweet Stories” ร้านพาทิสเซอรีสวยเรียบง่ายสไตล์เซนที่โดดเด่นด้วยเมนูของหวานแบบ Authentic Japanese ที่ไม่เน้นการความสวยงามอลังการ แต่กลับให้ความสำคัญกับวัตถุดิบและรสชาติที่บอกได้คำเดียวว่าอร่อยระดับคุณภาพ         โดยทุกเมนูของ Sweet Stories เป็นสูตรเด็ดที่ คุณบัมพ์ เจ้าของร้านคิดค้นและสร้างสรรค์ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Macaron หลากรสที่ทำในสไตล์เฟรนช์เมอร์แรงค์กรอบเบา ส่วนไส้ทำจากบัตเตอร์ครีมผสมเนยจืดคุณภาพดี รสกลมกล่อมและไม่หวานมากเกินไป โดยเฉพาะรส Passion Fruit ที่ใช้เสาวรสคัดอย่างดี       อีกหนึ่งเมนูเด็ดที่เราไม่อยากให้พลาดคือ Vanilla Choux Cream เนื้อชูครีมกรอบฟูสอดไส้คัสตาร์ดผสมวิปปิงครีมหอมมัน ส่วนช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ต้องลอง Chocolate Lava เข้มข้นที่มีส่วนผสมของเนยเค็มชั้นเลิศ เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมที่กินเข้ากันได้อย่างลงตัว       สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย

ขอยกให้เป็นคาเฟ่น่านั่งขวัญใจนักชิมสำหรับ “Land Dear Café & Bistro” ใจกลางเมืองระยองที่พร้อมให้เราอร่อยกับหลากหลายเมนูเด็ดสไตล์ฟิวชันที่ผสมผสานอาหารไทยและยูโรเปียนได้อย่างลงตัว รวมทั้งของหวานและเครื่องดื่มนานาชนิดในบรรยากาศเก๋ไก๋ แต่อบอุ่นสบายตา ประดับประดาไปด้วยกวางเรนเดียร์สุดน่ารักสัญลักษณ์ของร้าน       ใครอยากอิ่มแบบครบจบในมื้อเดียว เราแนะนำให้เริ่มด้วย Spaghetti Carbonara ทีเด็ดอยู่ที่ซอสครีมทำจากไข่แดงผสมคุกกิงครีมจนเข้มข้นหอมมัน โรยเบคอนกรอบและชีสพาร์เมซาน ต่อด้วย Hokkaido Pancake แพนเค้กเนื้อนุ่มหอมเนยละลายในปาก ราดซอสวานิลลาหอมหวาน มาพร้อมวิปครีมและไอศกรีมวานิลลาโฮมเมด       แล้วอย่าลืมสั่ง Strawberry Cheesecake สตรอว์เบอร์รีสดปั่นกับนมและวิปครีมคุณภาพดี เพิ่มรสชาติด้วยซอสสตรอว์เบอร์รีเข้มข้น หรือ Nutella Milkshake นูเทลลาปั่นกับนม ไอศกรีมวานิลลา และวิปปิงครีมหอมมัน ท็อปด้วยช็อกโกแลตแท่งและกล้วยหอมมาปิดท้ายเป็นอันสมบูรณ์แบบ       สนับสนุนผลิตภัณฑ์โดย

คงต้องบอกว่า “อะโวคาโด” เป็นหนึ่งในไอเทมที่คนรักสุขภาพกำลังให้ความสนใจมากที่สุด เพราะนอกจากจะอัดแน่นไปด้วยวิตามินเอและอีแล้ว ยังมีโปรตีนสูงและไขมันที่มีประโยชน์แฝงอยู่เต็มลูก และนั่นได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เกิด Oh! Vacoda คาเฟ่อะโวคาโดแห่งแรกในประเทศไทย       คุณเพียงพลอย-รุจิยาทร โชคสิริวรรณ เจ้าของร้านสีส้มสะดุดตาแห่งนี้เล่าให้ฟังว่าอยากจะปฏิวัติให้การกินอะโวคาโดเข้าถึงทุกคนก็เลยตั้งชื่อเป็น Oh! Vacoda คำผวนของ Avocado เพื่อแฝงนัยของความสนุกสนาน เพราะอะโวคาโดไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่แค่สลัดหรือสเปรด หรือเป็นอะไรที่ดูกินยากกินลำบากเท่านั้น หากแต่ยังมีอีกหลายเมนูที่ผ่านการคิดค้นและทดลองมาแล้วว่าอร่อยจริง!       ไม่ว่าจะเป็น Avoothie (150 บาท) สมูทตีอะโวคาโดที่ทำสดบรรจุขวดวันต่อวัน เพื่อเสิร์ฟความสดชื่นของอะโวคาโดรสหวานเย็นที่ผสานกับน้ำเลมอนให้รสเปรี้ยวนิดๆ เนื้อก็แอบหนืดๆ อยู่หน่อย แต่ก็อร่อยรัก หรือจะลอง Cacao-Cado (110 บาท) เมนูขวัญใจช่างภาพจากความสวยงามของช็อกโกแลตที่สลับชั้นสวยกับนมสด แต่ทีเด็ดที่แท้จริงอยู่ช็อกโกแลตที่ผ่านการผสมกับอะโวคาโดจนได้ความเข้มข้นหนึบหนับ ดังนั้นก่อนกินก็อย่าลืมคนนมสดให้เข้ากับช็อกโกแลตล่ะ       ส่วนใครอยากอิ่มหนักๆ ก็ต้อง Kaprao Avocado (190 บาท) ข้าวผัดกะเพราหมูสับรสจัดจ้านคลุกกับข้าวสวยร้อนๆ มาพร้อมอะโวคาโดหั่นชิ้นพอดีคำชุบแป้งทอดที่ให้ความกรุบกรอบเคี้ยวเพลินไม่ต่างกับมันฝรั่งทอด กรอบ ก่อนตามด้วย Pancake Avocado (235 บาท) ที่นำอะโวคาโดไปตีพร้อมกับแป้งแพนเค้กก่อนลงทอดในน้ำมันเบคอนให้ความหอมมัน เสิร์ฟพร้อมเบคอนทอดอะโวคาโดและไข่ดาวซูเฟล่ที่ผ่านการอบจนขึ้นฟูดูน่ากิน       ร่วมด้วยของหวานอย่าง Avocado Cheesecake Pudding (175 บาท) ชีสเค้กสีสวยที่มาในรูปแบบของพาร์เฟต์ในแก้วทรงสูงที่ประกอด้วยครัมเบิล ชีสเค้กอะโวคาโด และบิสกิตชิ้นโต  

ถึงทุกคนจะรู้ดีกันแหละว่าการกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ แต่พอคิดถึงรสชาติหลายคนอาจจะรู้สึกท้อนิดๆ บ้างก็ถอดใจอยู่หน่อยๆ เราเลยอยากจะมาแนะนำ Mom & Sis The Smoothie Café คาเฟ่สมูตตี้น้องใหม่ที่นอกจากจะทำให้การกินอาหารเพื่อสุขภาพเป็นเรื่องง่ายแล้ว รสชาติยังประทับใจอีกด้วย       จุดเด่นและความพิเศษในแต่ละเมนูของ Mom & Sis The Smoothie Café อยู่ที่การคิดค้นและผสมผสานทางรสชาติให้ได้ความอร่อยสูงสุด โดยไม่ใส่สารเพิ่มความหวานใดๆ หากแต่เลือกใช้กล้วย มะม่วงสุก และแอปเปิลมาเติมรสชาติ ซึ่งคุณแนน ณัฐติยา เกษมปราการ เจ้าของร้านเล่าว่าทุกเมนูสามารถเรียกเป็น Superfood Smoothie กันได้ เพราะวัตถุดิบแต่ละชนิดล้วนผ่านการพิสูจน์แล้วว่ามีสารอาหารสูง ไม่ว่าจะเป็น เมล็ดเจีย  เมล็ดแฟล็กซ์ เกสรผึ้ง และอาซาอิ นอกจากนี้ในเมนูยังคำนวณแคลอรี่ให้อย่างไม่มีกั๊ก เพื่อให้เราได้เลือกรสชาติและแคลอรี่ที่ต้องการได้อย่างตามใจ       เริ่มกันด้วย Avocado Bowl (235 บาท) ที่นำอะโวคาโดแหล่งไขมันชั้นดีจากนิวซีแลนด์ที่เป็นมาปั่นรวมกับมะม่วงน้ำดอกไม้สีทองและผักโขม จนรสชาติความหวานๆ เย็นๆ ก่อนจะเพิ่มความกรุบกรอบด้วย กราโนล่า เติมวิตามินอีกนิดจากผลไม้สดและแครนเบอรี่อบแห้ง     แล้วมาต่อด้วย Pure Health Acai (235 บาท) เมนูที่ชูโรงด้วยพระเอกอย่าง “อาซาอิ” จากป่าในบราซิลที่ขึ้นชื่อว่ามีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผักและผลไม้ชนิดอื่นๆ มากินคู่กับเบอร์รี่หลากชนิดให้ชิมกันอย่างเต็มอิ่ม แต่เบาหวิวด้วยแคลอรี่เพียง 150-180 เท่านั้น     คนรักช็อกโกแลตต้องลอง Cacao Almond Banana with Chia Seed (175 / 185 บาท) ช็อกโกแลตปั่นรวมกับน้ำนมอัลมอนด์ กล้วย และเมล็ดเจีย เรียกว่าได้รสชาติความอร่อยเข้มข้นและได้สุขภาพ ร่วมด้วย Baby Green (155 / 165 บาท) น้ำผักโขมปั่นที่จะเปลี่ยนประสบการณ์ความขมให้อมหวานด้วยส่วนผสมของมะม่วง กล้วย สับปะรด และมะพร้าว       แต่ถ้าใครอยากได้ของกินเล่นเพื่อสุขภาพอย่าลืมซื้อ Energy Ball สแน็คลูกกลมๆ ทำจากผงโกโก้ผสมกับถั่วและผลไม้แห้งมีหลากรสชาติให้เลือกทั้งอินผลัม พีแคน ข้าวโอ๊ต กรีนที และลูกพรุน ที่เราขอรับประกันความอยู่ท้องด้วยแคลอรีเพียง 40-70 แคลอรีเท่านั้น  

เชื่อว่าหากใครได้มาเยือน A Clay Café คงต้องตกหลุมรักที่นี่อย่างถอนตัวไม่ขึ้น เพราะคาเฟ่ที่รีโนเวตจากบ้านหลังเก่าบนถนนสาทรแห่งนี้ไม่ได้มีดีแค่อาหารและเครื่องโฮมเมดสุดอร่อยเท่านั้น หากแต่ยังเป็นที่ตั้งของร้านเซรามิคสุดน่ารักและแกลอรี่แสดงผลงานศิลปะที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้ชมและติดตามกันอย่างสนุก           เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นร้านเซรามิคทั้งที แน่นอนว่าจุดเด่นของอาหารของเลยอยู่ที่การเอาจานชามใบเก๋มาใช้นำเสนอเมนูแสนอร่อย อาหารแต่ละจานก็เลยเหมือนงานโชว์เคสขนาดย่อมอะไรอย่างนั้น เรามาเริ่มกันด้วย สตูเนื้อบดกับตอร์ติญาชิป (180 บาท) อาหารกินเล่นที่เหมาะแบ่งปันกับกลุ่มเพื่อนอย่างที่สุด ด้วยการนำความกรุบกรอบของตอร์ติญาชิปมาจับคู่กับ Chili con Carne สตูเนื้อรสเผ็ดปลายลิ้น     ต่อด้วย เส้นหมี่ซี่โครงอ่อนตุ๋น (125 บาท) เมนูเด็ดที่นำซี่โครงตุ๋นไฟอ่อนนานกว่า 7 ชั่วโมงมาเสิร์ฟกับเส้นหมี่เหนียวนุ่ม ก่อนจะราดด้วยกระเทียมเจียวชุดใหญ่ เสิร์ฟพร้อมกับน้ำจิ้มรสเปรี้ยวจี๊ดจ๊าดเพื่อตัดกับรสชาติเค็มๆ ของซี่โครงอ่อน ส่วนคออาหารไทยก็ต้องลอง ข้าวผัดน้ำพริกกุ้งเสียบ (160 บาท) ข้าวผัดน้ำพริกรสจัดจ้านที่ส่งตรงรสชาติความอร่อยจากภูเก็ตกินคู่กับไข่ต้มยางมะตูมและกุ้งสดตัวโตเนื้อแน่นๆ       ส่วนคนรักของหวานก็ห้ามพลาด Sea Salt Sundae (95 บาท) ไอศกรีมโฮมเมดรสซีซอลต์รสหวานนุ่มเจือรสเค็มนิดๆ ที่เพิ่มความสนุกด้วยแครกเกอร์กรุบกรอบและเสาวรสสด แต่ถ้าชอบความเข้มก็ขอแนะนำ Chocolate Best Day (195 บาท) เค้กช็อกโกแลตเนื้อหนึบที่เพิ่มความอร่อยด้วยซอสช็อกโกแลตที่เข้มข้นยิ่งกว่า ก่อนจะตัดรสด้วยความหวานละมุนของครีมสดและสตรอว์เบอร์รี่       กินของหวานกันจนจุใจแล้วก็อย่าลืมลองจิบชาออร์แกนิค (150 บาท) จากเชียงใหม่ที่มีให้เสิร์ฟมาในแก้วชาใบเล็กลายน่าหยิกที่เราได้ลองเป็น Mountain Blend ชาเขียวผสมชาขาวและดอกไม้ให้ความสดชื่นอบอุ่นหอมน้อยๆ แต่รสหวานละมุน     รวมทั้งเมนูใหม่ล่าสุดอย่าง Tropical Coffee (150 บาท) กาแฟรสชาติแบบอะโลฮ่าด้วยกาแฟอาราบิก้าจากจันทบุรีที่โดดเด่นในรสฟรุตตี้มาผสานกับน้ำสับปะรดเพิ่มความด้วยคาราเมล ให้ความสดชื่นเปรี้ยวอมหวาน แถมยังเสิร์ฟพร้อมชิ้นสับปะรดย่างให้มากินกันเพลินอีกด้วย