ใครเป็นแฟนกาแฟจากไร่ดังแห่งจังหวัดเชียงใหม่ “Mont Dao” ต้องตามเรามาเช็กอินที่ "Mont Dao Bean Circus" สาขาใหม่สไตล์คาเฟ่เต็มรูปแบบสุดเก๋ใจกลางเพลินจิตในบรรยากาศน่านั่งโดนใจเหล่าฮิปสเตอร์ ซึ่งมาพร้อมเมนูกาแฟและเครื่องดื่มแบบสเปเชียลที่มีแค่สาขานี้เท่านั้น       ที่สำคัญกาแฟที่ใช้ที่นี่ยังเป็นกาแฟที่คั่วและเบลนด์พิเศษโดยเฉพาะอีกด้วย จึงได้รสชาติและความหอมที่พรีเมียมมากยิ่งขึ้น บอกได้เลยว่า สายกาแฟดริปห้ามพลาดเด็ดขาด       ด้วยความหลากหลายของเมนูซิกเนเจอร์ (ที่ดูน่าชิมไปทุกแก้ว) ถ้ายังเลือกไม่ถูก เราแนะนำ Hi. I'm Peaches Please! ดับเบิลเอสเพรสโซช็อตผสมลิเคียวร์และไซรัปกลิ่นพีชแสนสดชื่น มาพร้อมเนื้อพีชหอมหวานชิ้นโต     ส่วนคนไม่กินกาแฟ เราอยากให้ลอง Hi. I'm Hot Choco Crunch! ดาร์กช็อกโกแลตผสมนมอัลมอนด์ หอมวานิลลา แต่งขอบแก้วด้วยซีซอลต์และเกล็ดอัลมอนด์ ดื่มไปพร้อมกันแล้วอร่อยหอมกลมกล่อมนัวสุดๆ     ถ้าอยากรองท้องเพิ่มอีกนิด อย่าลืมสั่งคัพเค้กน่ารักน่ากินสูตร Radi Café ที่กินเพลินแบบแป๊บเดียวหมดชิ้น โดยเฉพาะ Mandarin Orange Cupcake คัพเค้กวานิลลานุ่มๆ สอดแทรกความเปรี้ยวหวานของส้มแมนดาริน ท็อปด้วยเนื้อส้มรสเปรี้ยวอมหวานที่ตัดความอร่อยกับเนื้อเค้กได้อย่างลงตัว  

หลังจากมีเสียงเรียกร้องจากลูกค้าคนรักกาแฟมายาวนาน ในที่สุด Sunny Bear Coffee Roasters” ก็เปิดร้านคาเฟ่เล็กๆ ให้เราได้นั่งละเลียดกาแฟ Specialty Coffee ไปพร้อมขนมปังแฮนด์คราฟต์หน้าตาน่ากินในบรรยากาศสบายเป็นกันเองที่เราขอใช้คำว่า Made My Day อย่างแท้จริง         ด้วยโลเกชันแสนสะดวกริมถนนพหลโยธินและใกล้สถานีรถไฟฟ้า (ที่กำลังจะเปิดบริการ)  เรากล้าพนันเลยว่าเหล่าคาเฟ่ฮอปปิงทั้งหลายไม่ยอมพลาดแน่นอน โดยเฉพาะสายกาแฟที่จะได้มานั่งจิบ Honolulu Flow (Dirty) เอสเปรสโซที่ใช้กาแฟเบลนด์พิเศษรสเข้มผสมนมสดเย็นๆ กลมกล่อมลงตัว      ส่วนใครไม่ถนัดกาแฟ ที่นี่มี Cocoa โกโก้เย็นที่ใส่แค่นมสด แต่อร่อยกลมกล่อมกำลังดี และ Matcha ชาเชียวมัตฉะเย็นหอมมันที่ใส่แค่นมและไม่ผสมน้ำตาลเช่นกัน       สำหรับคนรักขนมปังบอกเลยว่าฟินสุดๆ นอกจากขนมปังซาวร์โดว์ที่หลายคนติดใจ เราอยากให้ลอง Banana Bread ขนมปังกล้วยหอมชิ้นโตที่ใช้ Sourdough Starter เป็นส่วนผสมแทนครีมชีส แต่ยังคงความฉ่ำนุ่มแน่น ราดน้ำผึ้งหอมหวาน      Scone เนื้อนุ่มแน่น แนะนำรสแครนเบอร์รีและรสผิวส้ม และ Apple Crumble มาพร้อมไส้แอปเปิลกวนเต็มๆ ตักกินพร้อมครัมเบิลและครีมอร่อยลงตัว       ถ้ายังไม่จุใจอย่าลืมหยิบ Olive Fougasse ขนมปังสไตล์ฝรั่งเศสหมักข้ามคืน อบร้อนๆ หอมน้ำมันมะกอก และ Artisan Cheese + Pesto Bun ขนมปังเพสโตเนื้อแน่นใส่เนชอรัลชีสติดไม้ติดมือกลับบ้านไปเตรียมมื้ออร่อยในวันต่อไปด้วยนะ  

ยกให้เป็นพื้นที่ของคนรักชาอย่างแท้จริง สำหรับ Te Time and Space” ร้านชาในรูปแบบ Tea Bar ที่พร้อมให้เราหลีกหนีความวุ่นวายของย่านทองหล่อ เพื่อมาจิบชาเบลนด์สูตรพิเศษที่รังสรรค์อย่างพิถีพิถันหลังเคาน์เตอร์บาร์ที่เต็มไปด้วยโถกระปุกชาหลากหลายชนิด     มาถึง Te Time and Space ทั้งที บอกเลยว่าห้ามพลาด 2 เมนูยอดนิยมตลอดกาลอย่าง Sassy Summer ที่มีส่วนผสมของกุหลาบ กระเจี๊ยบ หญ้าหวาน และไซรัปเสาวรส และ Tropical Wanderlust ความลงตัวของอัญชัน ข้าวเหนียวดำ ใบเตย น้ำผึ้ง และมะพร้าว       ส่วนคนรักพีชต้องแก้วนี้ Oh My Peach ที่นำเปลือกกาแฟชาดำกุหลาบมาผสมไซรัปพีชโฮมเมด ใส่เกล็ดเนื้อพีชให้เคี้ยวเพลินๆ     นอกจากนี้เรายังติดใจ Pink Rhapsody เมนูใหม่ล่าสุดที่จะช่วยเยียวยาบรรยากาศเงียบเหงาอึมครึมในฤดูฝนให้กลับมาสดใส โดยคุณปลาดึงความรู้สึกสนุกสนานจากสตรอว์เบอร์รีมาผสมกับกุหลาบไวน์ยาร์ดซองที่ปลูกในจังหวัดเลย รวมทั้งกานพลู กระเจี๊ยบ หญ้าหวาน และเพิ่มความหอมอีกนิดด้วยชามะลิ เพียงแค่จิบแรกก็ได้รสหอมหวานอมเปรี้ยวสดชื่นสุดๆ ปลุกความเป็นสาวอารมณ์ดีขึ้นมาเลยทีเดียว       แนะนำให้ดื่มพร้อมละเลียดเมนูขนมที่ร่วมคิดค้นกับร้านอะเค้กอย่าง Burnt Cheesecake ชีสเค้กหน้าไหม้เนื้อนุ่มเนียน หอมมันกำลังดี และ Scone รสแครนเบอร์รีและรสยูสุ เสิร์ฟพร้อมแยมและครีมโฮมเมด จะยิ่งฟินแบบไม่อยากลุกไปไหนจริงๆ    

อารีย์มีคาเฟ่โลเคชันใหม่ให้ตามไปชิลอีกแล้ว ! ล่าสุดร้าน Chuanpisamai cafe ย้ายจากโลเคชันเดิมมาอยู่ในซอยอารีย์ 3 ที่เดียวกับร้าน Hamlet เลย       ใครชอบบรรยากาศธรรมชาติๆ บวกกับการตกแต่งร้านสไตล์วินเทจจะต้องร้องกรี๊ด ยิ่งถ้าแต่งตัวเข้าธีมมาด้วยยิ่งสนุกไปใหญ่ เพราะที่ร้านถ่ายรูปได้ทุกมุมจริงๆ แถมแต่ละโต๊ะก็จัดดิสเพลย์ไว้แล้ว ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ และสารพันพร๊อพชวนให้ละลานตา เสมือนเป็นมุมนั่งเล่นในบ้าน และในสวนย่อมๆ ทั้งหมดที่บอกมาอยู่ในโซน indoor เข้ามานั่งฟังเพลงชิลๆ มองต้นไม้ไป พร้อมจิบชาและขนม ช่างมีความสุขเสียจริง  หากใครอยากถ่ายรูปในสวนกลางแจ้งก็มีอีกโซนให้เปิดประตูออกไปเปลี่ยนบรรยากาศ         เมนูแนะนำ เบเกอรี่ของที่นี่มีหลายแบบ ทั้งแป้งขนมปังรสเนย รสชินนามอน ราดช็อกโกแลต หรือโรยอัลมอนด์ แต่ที่อยากแนะนำว่ากินกับเครื่องดื่มได้ทั้งร้อนและเย็น คือ ขนมปังเดนิชมะพร้าว (60.-) เนื้อขนมปังหอมนุ่ม ด้านในฉ่ำเนยมากๆ ด้านบนโรยมะพร้าวหั่นชิ้นเล็กทำให้เคี้ยวสนุก       เครปเค้กสตรอว์เบอร์รี (140.-) แป้งเครปกับวิปครีมเนื้อบางเบา ไม่เลี่ยน รสชาติกลมกล่อม ยิ่งราดซอสสตรอว์เบอร์รีสุดเข้มข้น ยิ่งเพิ่มรสเปรี้ยวหวานลงตัว เข้ากันดีจริงๆ     Rose tea (80.-) ชากุหลาบอุ่นๆ หอมมาก ดื่มแล้วรู้สึกสบาย ผ่อนคลายสุด     Black Ro-Se (120.-) ชานมหวานกำลังดีหอมกลิ่นกุหลาบเบาๆ แถมมีไข่มุกเนื้อบางให้เคี้ยว น้ำด้านในรสชาติเปรี้ยวนิดๆ สดชื่นอย่างบอกไม่ถูก     ทางร้านจัดโต๊ะค่อนข้างมีระยะห่างอย่างชัดเจน พร้อมเตรียมเจลแอลกอฮอล์ไว้บริการหลายจุด จึงสบายใจหายห่วง    

Sugar Plump! ร้านไอศกรีมโฮมเมดเล็กๆ (แต่น่ารักสุดๆ) ในซอยสาทร 7 ของคู่รักนักกินไอศกรีมอย่าง คุณแพม จินาภา แสนยงค์ และ คุณอิ้งค์ ชยากร จุลาสัย โดยมีจุดเริ่มต้นจากการตะลอนชิมไอศกรีมตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ และเรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญรอบกาย ทั้งคู่คิดสูตรและลองผิดลองถูกจนทุกอย่างเข้าที่ จึงตัดสินใจเปิดร้านโดยใช้คอนเซ็ปต์ “Everyday is ice cream day” ที่เสิร์ฟไอศกรีมโฮมเมดสุดพรีเมี่ยม เลือกใช้วัตถุดิบนำเข้า แต่ลูกค้าสามารถจ่ายได้ในราคาเบาๆ  เพื่อให้แวะมาเติมความสดชื่นได้ทุกวัน       นอกจากแวะมาหลบร้อนแล้วคุณยังได้แชะภาพชิคๆ กับบรรยากาศคิ้วท์ๆ (ทุกมุม) ของร้านอีกด้วย ตั้งแต่ภายนอกที่ถึงแม้จะเป็นตึกขาว แต่ก็เติมความสดใสด้วยประตูสีเหลืองมัสตาร์ด (อีกด้านเป็นประตูสีชมพูนม) เช่นเดียวกับด้านในที่ใช้โทนสีเดียวกันตกแต่ง บาร์ไอศกรีมสีชมพูอ่อนๆ ด้านหน้าเป็นโต๊ะสีพิ้งค์พาสเทลที่ติดกับกระจกใสบานใหญ่ ถัดไปข้างในจะเป็นมุมกระจกสีเหลืองมัสตาร์ด (ป๊อปมาก) รวมแล้วเป็นฟิลหวานๆ สมชื่อร้าน Sugar Plump! (แปลว่าน้ำตาลก้อน) และเป็นชื่อแยม ในภาพยนตร์แอนิเมชัน “The Grinch” ที่คุณอิ้งค์เห็นว่าชื่อนี้แหละเหมาะมากสำหรับ Ice Cream Parlor       โดยที่ร้านมีไอศกรีมทั้งหมด 12 รส (สลับกันไป) แบ่งออกเป็น 3 หมวดเพื่อตอบโจทย์คนทุกกลุ่ม ได้แก่ Seasonal Flavors ไอศกรีมตามฤดูกาลสีสันสดใส ทั้งซอร์เบต์มะม่วง ซอร์เบต์แอปเปิ้ลเขียวญี่ปุ่น ไอศกรีมคาราเมลใส่ครัมเบิ้ล หมวดที่ 2 คือ Classic Standard เป็นรสที่เรารักและคุ้นเคย อย่าง วานิลลา สตรอว์เบอร์รี และช็อกโกแลต สุดท้ายจะเป็นรสหมวดตามใจเจ้าของร้าน ที่จัดเต็มทั้งรสชาติและเทคเจอร์ ได้แก่ ชีสพายเลมอน บลูเบอร์รีชีสเค้ก ราสป์เบอร์รีคุกกี้โดว์ กินฟินๆได้อย่างสบายใจ เพราะทางร้านเน้นหวานน้อย อร่อยได้แบบไม่ต้องกลัวเลี่ยน     ใครยังปักใจไม่ได้ว่าจะหม่ำรสไหน เราแนะนำ Five Tiny Scoop ไอศกรีมโคนอันน้อยๆ 5 รสชาติ (ที่เลือกเอง)ปักมาในถาดกระดาษที่ใช้นิ้วโป้งของเราเกี่ยวไว้อย่างถนัดมือ โดยเราเลือก รส Pink panther ไอศกรีมสตรอว์เบอร์รีหวานละมุน (ไม่เปรี้ยว) สุดครีมมี่ หอมกลิ่นอ่อนๆ ของสตรอว์เบอร์รี รส Summer Dream ซอร์เบต์มะม่วงรสเปรี้ยวอมหวาน รส Malt a Horlick ไอศกรีมรสมอลต์ หอม กลมกล่อม จาก Horlick คุณภาพจากประเทศอังกฤษ รส Vanilla Madagascar ใช้ฝักวานิลลาจากมาดากัสก้า หวานหอม สมเป็นรสขายดี และสุดท้ายจะเป็นอะไรไปได้นอกจาก Holy choc! ไอศกรีมช็อกโกแล็ตรสเข้มข้น ที่ใช้ช็อกโกแล็ตคุณภาพจากฝรั่งเศส  ถูกใจสายหวานเป็นไหนๆ     ยังไม่สมใจสั่งโคนวัฟเฟิลโฮมเมดกรุบกรอบ มีให้เลือก 2 รส (ดั้งเดิมกับช็อกโกแล็ต) ใส่ไอศกรีมรสบลูเบอร์รีชีสเค้กที่มีชื่อเก๋ๆ ว่า Saturday Cheesecake รสครีมมี่จากชีสรสชาติดีผสมกับความเปรี้ยวสดชื่นของบลูเบอร์รีนอกจากนี้ยังมีครัมเบิ้ลมิ๊กซ์มาในเนื้อไอศกรีมให้เคี้ยวเพลินๆ ด้วยนะ     ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มสุดฮอตอย่าง Tropical Island น้ำแตงโมหวานฉ่ำกับเสาวรส ผสานไปกับความซาบซ่าของโซดา ท็อปด้วยไอศกรีมรส Love me Love my Sour (ซอร์เบต์ส้มยูสุ) เปรี้ยวชื่นใจ ตักกินพร้อมน้ำแตงโม สดชื่นเป็นที่สุด     นอกจากนี้ Sugar Plump! ยังรับจัดงาน Catering แจกความสดใสนอกสถานที่ด้วยนะ

Kenn's Coffee & Croissant คาเฟ่ไซส์มินิ สไตล์ Grab and Go ย่านสาทร ที่ครองใจหนุ่มสาวชาวออฟฟิตในย่านนี้ เพราะมีดีที่คุณภาพคับแก้ว คุณป๊อบ-นาเคนทร์ วงศ์วสุ หุ้นส่วนของ BKK Bagel Bakery ผู้เป็นเจ้าของร้านแตกไลน์ธุรกิจใหม่ ให้ที่นี่พร้อมเสิร์ฟครัวซองต์หอมกรุ่นฉบับโฮมเมด และเครื่องดื่มรสเลิศตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยราคามิตรภาพ ในบรรยากาศร้านกาแฟสไตล์ยุโรปที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเมื่อแรกเห็น ผนังอิฐสีแดงคลาสสิกตัดกับประตูสีดำสนิท ดีไซน์ป้ายชื่อร้านให้แขวนยื่นออกมาปะทะสายตาผู้คนที่พลุกพล่านไปมาได้อย่างถนัดตา ส่วนคำว่า Kenn's ก็ย่อมาจากชื่อ Naken ของคุณป๊อบนั่นเอง         ภายในร้านมีเคาน์เตอร์บาร์ใหญ่โชว์ครัวซองต์ที่อบสดๆ ร้อนๆ ในเราได้เลือกสั่ง พื้นที่ข้างๆ เป็นบาร์เครื่องดื่ม ซึ่งมองผ่านเข้าไปด้านหลังจะเห็นเชฟ และทีมงานขะมักเขม้นในการทำครัวซองต์อย่างพิถีพิถัน โดยแต่ละวันจะแบ่งอบเป็น 2 รอบ รวมๆ แล้วได้ประมาณ 300 ชิ้น ถ้าอยากหม่ำแบบชัวร์ๆ ต้องรีบมาแต่เช้า (ก่อนเที่ยง) หรือไม่ก็โทรสั่งจองล่วงหน้า     เริ่มชิมจากสุดยอดเมนูขายดี Plain Croissant (65 บาท) เทกเจอร์ผิวนอกกรอบๆ (เย็นแล้วก็ยังกรอบ) แป้งข้างในนุ๊มนุ่มของครัวซองต์แบบดั้งเดิมที่เราคุ้นเคย หอมกรุ่นกลิ่นเนยเป็นที่สุด หากได้แยมหรือเนยมากินคู่กันคงจะทวีความฟินน่าดู     Choco Marnier (90 บาท) ครัวซองต์แสนอร่อยที่ผสานความลงตัวระหว่างส้มแช่เหล้าชั้นดี และช็อกโกแล็ตรสเข้ม กัดพร้อมเนื้อแป้งที่กรอบนอกนุ่มใน ถูกใจคนรักเบเกอรี่     ส่วนใครที่ชอบครัวซองต์ไส้คาว ลองชิม Ham Cheese (105 บาท) ที่ใช้แฮมโฮมเมดรมควันหอมๆ และ Emmental Cheese ชีสคุณภาพดีจากประเทศฝรั่งเศส รสเค็มละมุน นำจากร้าน BKK Bagle Bakery มาเป็นไส้ครัวซองต์นั่นเอง ชิมแล้วบอกเลยว่าชิ้นนี้จะเป็นมื้อเช้าหรือของว่างที่สุดอิ่มเอม     ทางด้านเครื่องดื่มก็ไม่น้อยหน้า สาวกกาแฟเราแนะนำเมนูสุดป๊อบอย่าง Iced Latte (80 บาท) ลาเต้รสกลมกล่อม นุ่มนวลที่ได้จากเมล็ดกาแฟดอยสะเก็ด แต่หากใครไม่ดื่มกาแฟต้องนี่เลย Iced Chocolate  (85 บาท) ซอสช็อกโกแล็ตเข้มข้นมิ๊กซ์กับนมสดรสละมุน หวานพอดี จิบกี่ทีก็ชื่นใจ    

Beaker and Bitter คาเฟ่ธีมห้องทดลองวิทยาศาสตร์ หรือ ห้องแล็บ ที่ได้พัฒนาคอนเซปต์จากการเลือกโลเคชั่นในซอยสายลม แล้วรีโนเวทโรงงานผลิตยาเก่าเมื่อ 50 ปีที่แล้วมาเป็นคาเฟ่สุดชิค     โดยชื่อร้าน Beaker มาจากบีกเกอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุปกรณ์การทดลองวิทยาศาสตร์ ส่วน Bitter ก็เป็นความขมที่สอดคล้องกันระหว่างยาและกาแฟ แถมอักษรย่อ B และ K ยังลิงค์กับชื่อเจ้าของร้านอย่างคุณบิ้วและคุณเคนอีกด้วย     บรรยากาศที่ดึงดูดและเข้าถึงง่าย ไม่ว่าจะเป็นมุมด้านหน้าที่มีเก้าอี้กับกระจกพร้อมข้อความที่มาที่ไปของร้านเก๋ๆ หรือจะเป็นดิสเพลย์ข้างเคาน์เตอร์บาร์ทางร้านจัดหลอดทดลองสีสันสดใสไว้ ถัดไปคือมุมเคาน์เตอร์บาร์ที่มีเมนูเป็นหนังสือวิทยาศาสตร์เล่มหนา ส่วนไฮไลท์อยู่ตรงโถงกลางร้านมีทั้งบันไดวน โต๊ะเก้าอี้เข้าธีม คุมโทน นอกจากนี้ยังมีมุมโต๊ะทำงานที่จะพาเราย้อนอดีต และที่นี่ยังแบ่งเป็นหลายห้องทั้งโซนเงียบ และ Private Working Room เท่านั้นยังไม่พอทางร้านยังมี facility ต่างๆ สำหรับคนอยากมานั่งทำงานด้วย       เมนูแนะนำ บอกเลยว่าความน่าสนใจในการเสิร์ฟที่นี่คือ ทางร้านจะการวางแก้วบีกเกอร์บนตะแกรงที่มีตะเกียงแอลกอฮอล์อยู่ด้านล่าง เรียกว่าหลายๆ เมนูมีการพรีเซ้นต์ที่สนุกมากๆ   เริ่มที่ R.I.P. Rose in Peach เป็นกาแฟผสมกุหลาบและพีชจึงหอมมาก สดชื่น มีรสชาติเปรี้ยวเล็กๆ จากกาแฟคั่วอ่อน แถมยังดื่มง่ายคนไม่ชอบกาแฟดำก็ดื่มได้       Black & White ความพิเศษอยู่ที่กรรมวิธีการทำที่นำเอสเปรสโซช็อตจากประเทศกรีซ มาตีกับน้ำแข็งจนขึ้นฟองนุ่ม รสชาติกาแฟจึงเข้มข้น เมื่อดื่มพร้อมวิปครีมตีสดๆ เย็นๆ เนื้อแน่น ยิ่งเพิ่มความนุ่มมากยิ่งขึ้น     Cold Minty Latte กาแฟนมผสมมินต์มีทั้งร้อนและเย็น แต่แก้วนี้เราสั่งแบบเย็น ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่น หอม ละมุน     โคโคนัทเค้ก เค้กทรงสี่เหลี่ยมล้อไปกับการออกแบบร้าน เนื้อเค้กเบารสชาติหวานกำลังดี ครีมก็ไม่เลี่ยน ส่วนซอสมะพร้อมอ่อนหอมและอร่อยมาก       นิวยอร์คชีสเค้ก ชีสเค้กเนื้อแน่นเนียนละเอียด รสชาติเปรี้ยวนิดๆ เมื่อกินพร้อมครัมเบิลกรุบกรอบจึงเคี้ยวเพลินสุดๆ       นอกจากนี้ยังมีเมนูเค้กกล้วยหอม ครัวซองค์ ข้าวไก่เทอริยากิ และข้าวหมูแฮมเบิร์กชีสด้วยนะ ใครแวะมาก็ฝากท้องมื้อเที่ยงสบายเลย  

มาเปลี่ยนบรรยากาศนั่งชิลกันที่คาเฟ่บนถนนรางน้ำกันที่ other cafe ร้านสวยแนวดิบๆ เท่ๆ ที่แม้จะไม่ได้มีพื้นที่มากแต่รับรองว่าถูกใจทั้งอาหารและบรรยากาศ เริ่มตั้งแต่มุมสุดฮิตหน้าร้านที่มองเห็นตัวร้านผ่านกระจกใสได้ เมื่อเข้าไปด้านในจะเห็นโต๊ะยาวปูนเปลือยที่ดีไซน์ให้เข้ากับผนังด้านขวา ซึ่งบนโต๊ะก็มีมุมเครื่องทำกาแฟสีคุมโทนกลายเป็นพร๊อพเก๋ๆ สำหรับถ่ายรูปได้เป็นอย่างดี หรือจะเป็นมุมผนังฝั่งซ้ายที่ก่ออิฐแก้ว มีที่นั่งสำหรับ 1-2 คน โดยช่วงนี้ต้องเว้นระยะห่างด้วย ทางร้านจึงนำโมเดลรองเท้าสีขาวมาวางคั่นระหว่างที่นั่ง ถือเป็นไอเดียเจ๋งๆ แถมยังเป็นกิมมิกน่าสนใจไปอีกแบบ ส่วนมุมเคาน์เตอร์บาร์สำหรับสั่งเครื่องดื่มและขนมที่ตกแต่งด้วยอิฐก้อนล้อกับหินก้อนใหญ่ยักษ์ด้านข้าง และไฟนีออนดัดก็เท่สุดๆ เช่นกัน เมนูแนะนำ Beignet (160.-) เบ็นเยกรอบนอกนุ่มใน มีทอปปิงให้เลือกระหว่างเสาวรสกับบลูเบอร์รี่ เสิร์ฟพร้อมน้ำผึ้งอินฟิวส์กับเลมอน ก่อนกินราดน้ำผึ้งเล็กน้อยจะได้กลิ่นหอมและรสชาติกลมกล่อม อร่อยเข้ากันดีกับเบ็นเย Yellow State (120.-) น้ำเสาวรสผสมโซดามีชิ้นเนื้อมะม่วงสุกหั่นเต๋า ดื่มน้ำไปเคี้ยวชิ้นมะม่วงสลับเสาวรสไป ก็สดชื่นและเคี้ยวเพลินมากๆ Dark Cocoa (120.-) เข้มข้น กลมกล่อม หวานกำลังดี และไม่หนืดคอเลย บอกเลยว่าร้านนี้มีมาตรการ Social Distancing รัดกุมมาก ทั้งการจัดรอบเวลาในการเข้าร้าน ถ้าคนเยอะมากก็จะมีเก้าอี้ให้นั่งรอด้านนอก ส่วนใครที่เข้ามาในร้านแล้วมีเวลาให้นั่งรับประทานคนละ 30 นาทีเท่านั้น โดยทางร้านจะเริ่มนับเวลาถอยหลังเมื่อนำเครื่องดื่มและขนมมาเสิร์ฟ "ปลอดภัย สบายใจ หายห่วงจริงๆ"

ใครชอบดื่ม “โกโก้” เป็นชีวิตจิตใจเราแนะนำให้ไป Cocoabar ร้านไซส์มินิที่อยู่ภายในโครงการ The Circle ราชพฤกษ์ ของ 2 พี่น้องสุดคิ้วท์ คุณเบียร์ ริญญาภัทร์ นิพันธวงศ์กร กับ คุณเบลล์ นันทิชา นิพันธวงศ์กร ทั้งคู่เป็นโกโก้เลิฟเวอร์อยู่แล้ว บวกกับคุณเบียร์ที่รักในการทำขนมมาตั้งแต่สมัยยังเป็นนักศึกษา จึงเป็นไอเดียจุดประกายในการทำคาเฟ่โกโก้แห่งนี้ขึ้นมา       โดย Cocoabar นั้นใช้โกโก้นำเข้าจากหลากหลายประเทศ ซึ่งแต่ละแหล่งจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน นำมาเบลนด์จนได้ผงโกโก้สูตรเฉพาะตัวของร้าน รสเข้ม หอมมัน กลมกล่อม เรียกว่าสายดาร์กต้องเลิฟ (แตกต่างจากช็อกโกแล็ตที่มีรสหวานมันกว่า)  วัตถุดิบที่ใช้ส่วนใหญ่จะนำเข้าจากต่างประเทศเพื่อให้ได้คุณภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้ หลอมรวมกับความตั้งใจ แล้วส่งต่อสิ่งดีๆ ไปให้กับ “คุณ” ลูกค้าคนพิเศษทั้งหลายไงล่ะ       เริ่มชิมจาก Basque Cheesecake (130 บาท) เมนูขวัญใจสายหวาน ชีสเค้กหน้าไหม้โฮมเมด ไม่ผสมแป้ง เนื้อชีสเค้กนุ่ม ละมุนสุดๆ เรียกได้ว่าละลายในปาก มีความครีมมี่ที่อร่อยเพราะใช้ชีสนำเข้าคุณภาพดีในปริมาณมหาศาล ถูกใจเราม๊ากมาก     หันไปจิบ Extra Dark Cocoa Extremist (120 บาท) โกโก้ผงสีน้ำตาลแดงชั้นเลิศรสเข้ม เทสต์โน้ตไม่เปรี้ยว ดื่มง่าย ไม่ฝาดลิ้น ผสานกับนมสดจากฟาร์มวัวชั้นดี และไม่ต้องกลัวโกโก้จะเจือจาง เพราะทางร้านใช้น้ำแข็งก้อนใหญ่ (สั่งทำพิเศษ) ส่งผลให้ละลายช้า จิบกี่คราก็ยังเข้มข้น!     สาวกชาเขียวต้องชิม I Come From Uji  Matcha (150 บาท) มัทชะสายพันธุ์อูจิอันเลื่องชื่อ นำเข้าจากเมืองอูจิ ประเทศญี่ปุ่น คอนเฟิร์มเรื่องความหอมฟุ้ง มิกซ์พร้อมกับนมสด  รวมเป็นมัทชะลาเต้รสกลมกล่อม หวานน้อย (เราชอบ) แต่หากใครชอบดื่มหวานก็เติมไซรัปมากน้อยตามใจต้องการได้เลย       แวะมาเยือนอย่าลืมทักทายน้อง “ลัคกี้” ด้วยนะ

ยกให้เป็นหนึ่งในคาเฟ่น่าแวะไปเช็กอินในย่านอุดมสุข สำหรับ "La Mesa Coffee Co." ร้านกาแฟเก๋ไก๋น่านั่งต้นซอยสุขุมวิท 68 ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายสไตล์นิวเม็กซิกันที่มีมุมกำแพงสีชมพูสุดชิคแสนโดดเด่นน่าถ่ายรูปเล่นเพลินๆ       ที่นี่พร้อมเสิร์ฟกาแฟดีๆ เอาใจทั้งทั้งสายดริปและสายนม ที่สำคัญคือพื้นที่ร้านที่กว้างขวาง นั่งสบาย ไม่อึดอัด เหมาะกับการหลบมุมไปนั่งทำงานหรืออ่านหนังสือสุดๆ     นอกจากนี้ La Mesa Coffee Co. ยังมีเมล็ดกาแฟดีๆ จากหลากหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งกาแฟดริปเป็นขวดให้ซื้อกลับไปอร่อยที่บ้านอีกด้วย       ในวันเบาๆ เราแนะนำ Mayan Mocha มอคค่าเย็นหอมกลิ่นส้ม โรยพริกไทยให้กลิ่นและความเผ็ดร้อนนิดๆ และ Caramel Banana Cake เค้กกล้วยหอมเนื้อแน่นหนึบ ราดคาราเมลหอมหวาน เสิร์ฟพร้อมกล้วยหอมหั่นชิ้นที่อิ่มแบบไม่น่าเชื่อ    

B Bake” คาเฟ่น่ารักในโครงการ The Master อุดมสุข ที่นำเสนอเบเกอรีโฮมเมดระดับคุณภาพในราคาเบาๆ เข้าถึงได้ โดยเฉพาะเค้กรสชาติคลาสสิก อาทิ เค้กส้ม เค้กมะพร้าว เค้กช็อกโกแลต ที่บอกเลยว่าทั้งอร่อยและชิ้นใหญ่เต็มอิ่มถูกใจสาย (กิน) เค้กแน่นอน     โดยมุมไฮไลต์ของร้านนี้คือ ผนังเท่ๆ ที่เต็มไปด้วยภาพวาดลายเส้นน่ารักและตุ๊กตาหมีเท็ดดี้แบร์ตัวโตน่ารักน่ากอดที่นั่งต้อนรับอยู่ด้านข้างกำแพงจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของร้านไปเลย เรียกว่าโต๊ะติดกำแพงนี้ใครๆ ก็อยากมานั่งถ่ายรูป พร้อมละเลียดเมนูอร่อยทุกคน       สำหรับคนรักเค้ก เราแนะนำ Taro Coconut Cake เค้กเผือกมะพร้าวชิ้นโตที่อัดแน่นด้วยเนื้อมะพร้าวหอมหวาน อย่าลืมตัดความหวานมันด้วยเครื่องดื่มซิกเนเจอร์อย่าง Sparkling Fruity ก้อนน้ำแข็งหลากรส ทั้งสตรอว์เบอร์รี แอปเปิล และเสาวรส เสิร์ฟพร้อมสปาร์กลิงโซดาให้เทแล้วดื่มเพิ่มความสดชื่น (บอกเลยว่าเมนูนี้นอกจากอร่อยชื่นใจแล้วยังถ่ายรูปขึ้นสุดๆ)    

อารีย์มีร้านเปิดใหม่อีกแล้วนะรู้ยัง? ใครอยากหลีกหนีความวุ่นวายก็มานั่งผ่อนคลายที่ XinXin Xingyin หรือ ซินซิน เซี่ยนอิ้น ได้ เพราะตั้งแต่เดินขึ้นบันไดวนมาชั้น 2 เราไม่สามารถละสายตาจากแต่ละมุมของร้านที่ตกแต่งสไตล์จีนโมเดิร์นทั้งด้านนอกและด้านในได้จริงๆ โดยเฉพาะด้านในมองแล้วรู้สึกเหมือนโรงเตี๊ยมหรือร้านน้ำชาสมัยก่อน ซึ่งความน่ารักลงตัวของทั้งโต๊ะ เก้าอี้ กระจก ประตู หน้าต่าง หรือแม้แต่ต้นไผ่ตรงระเบียงข้างร้าน เวลามองยิ่งทำให้สบายใจในขณะที่กินไปฟังดนตรีจีนไป โอ้โห! ดีงาม         เมนูแนะนำ เต้าฮวยพ่นไฟ (75.-) เต้าฮวยเนื้อแน่น หอมกลิ่นน้ำตาลไหม้ แถมมีเท็กเจอร์น้ำตาลแผ่นด้านบนให้เคี้ยวแบบเพลินๆ       เซ็ต A1 (155.-) บอกเลยว่าเครื่องเยอะมาก มีทั้งบัวลอยงาดำ  บัวลอยเผือกและมันหวาน  ถั่วแดง  เผือกบด  รากบัว เฉาก๊วย บุก และมุก  ตัวซอฟต์เสิร์ฟมีให้เลือก 2 รสชาติ คือ ขิง และเฮอร์เบิล แต่เราเลือกแบบทูโทน แนะนำว่าใครชอบขิงต้องลองซอฟต์เสิร์ฟขิง เพราะรสชาติขิงเข้มข้น กลิ่นหอมขึ้นจมูกมาก ส่วนเฮอร์เบิลจะรสชาติเหมือนจับเลี้ยง กินแล้วสดชื่น ก่อนกินโรยถั่วตัดก็จะได้กินไอศกรีมเย็นๆ เคี้ยวถั่วตัดกรอบๆ หอมหวาน ยิ่งเคี้ยวเครื่องต่างๆ ทีละคำยิ่งสนุกหลากหลายรสชาติ โดยบัวลอยไส้งาดำ หอมกลิ่นงาดำคั่วเป็นที่สุด     Osmanthus Sakura (85.-) รสชาติชามีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แถมยังหอมกลิ่นพีชนุ่มละมุนเบาๆ        

เค้กอร่อยๆ มีเป็นร้อยร้าน แต่จะมีเค้กร้านไหนที่เราอยากกินซ้ำๆ อย่างร้านนี้ I Eat Cake Cafe เพราะไม่ใช่แค่อร่อย แต่ต้องบอกว่าอร่อยมาก นี่คือที่รวมของเค้กโฮมเมดมากกว่า 10 เมนูที่หมุนเวียนอบสดใหม่ตลอดวัน น้องออมเจ้าของร้านเลือกใช้แต่วัตถุดิบชั้นดี และมีเคล็ดลับคือใส่ความรักและความพิถีพิถันเป็นส่วนผสมสำคัญลงในทุกขั้นตอน แล้วแบบนี้จะไม่ให้เค้กของน้องเค้าอร่อยจนเราอยากกินซ้ำๆ ได้ยังไง     ถึงแม้จะเปิดใหม่ในย่านตลิ่งชัน แต่ฝีไม้ลายมือไม่ธรรมดาเพราะทำมานานกว่า 10 ปี โดยทำส่งร้านกาแฟและเบเกอรี่ รวมถึงขายออนไลน์จนลูกค้าติดอกติดใจไปตามๆ กัน วันนี้น้องออมเปิดร้านเพื่อให้เป็นจุดพักของคนรักขนม ตกแต่งบรรยากาศเรียบง่ายให้ลูกค้าแวะมานั่งเล่นสบายๆ เหมือนแวะมานั่งเล่นบ้านเพื่อน หิวก็มีทั้งขนม เครื่องดื่ม และอาหารอร่อยๆ ที่เจ้าของร้านบรรจงสร้างสรรค์สุดฝีมือ       เริ่มที่เค้กโฮมเมดมีให้เลือกมากถึง 10 อย่าง หมุนเวียนอบสดใหม่ตลอดทั้งวัน เมนูเด่น Red Velvet เนื้อเค้กช็อกโกแลตรสเข้ม ปาดด้วยครีมชีสฟรอสติ้ง เนื้อนุ่มฉ่ำชีส ชิ้นนี้หวานกำลังดีกินแล้วสดชื่น     Basque Cheesecake ผิวบนหอมกลิ่นไหม้นิดๆ ตัดกับครีมชีสนุ่มๆ ที่มีรสเปรี้ยวหวานกำลังดี     Mango Cheesecake เนื้อครีมชีสหอมนุ่มเนียนลิ้น ปาดด้านบนด้วยครีมมะม่วง ส่วนไฮไลท์เทใจให้ชิ้นมะม่วงน้ำดอกไม้รสเปรี้ยวอมหวานที่แทรกตัวแน่นๆ อยู่ด้านใน     Carrot & Walnut เค้กแครอตขวัญใจมหาชนที่ชื่นชอบเนื้อสัมผัสหนึบหนับ เนื้อเค้กไม่หวานมากคนกลัวอ้วนกินได้แบบสบายใจ ตรงกลางยังแทรกครีมชีสและปาดด้านบนเพิ่มความจี๊ดอีกชั้น แนะนำให้ตักเข้าปากพร้อมกันเพื่อสัมผัสรสชาติที่ตัดกันพอดี       Banana Chocolate Mousse มูสเนื้อเนียนซ่อนกล้วยหอมชิ้นใหญ่ให้เราเคี้ยวกินได้แบบเต็มปากเต็มคำ       Fudge Brownie บราวนี่หน้าฟิลม์รสเข้มขมติดปลายลิ้น  ผิวบนกรอบตัดกับความฉ่ำนุ่มด้านใน     สุดท้ายต้องกดไลค์ให้รัวๆ กับเปี๊ยะสีพาสเทลดูมุ้งมิ้งน่ากิน รสชาติยังทำออกมาได้หวานกำลังดี กินแล้วไม่แสบคอ จับคู่กับกาแฟดำร้อนๆ เข้ากันมาก มี 2 ไส้ให้เลือกคือ ไส้ถั่วไข่เค็มกับไส้เผือกไข่เค็ม     ในร้านยังมีเมนูหนักท้องเหมาะกับมื้อเรียบง่ายระหว่างวัน อาทิ พิซซาหน้ากะเพรา พิซซ่าแป้งบางกรอบ ท็อปด้วยกะเพราหมูรสชาติจัดจ้านและชีสคุณภาพดีที่โปะมาให้แบบตู้มๆ กินแล้วสะใจคนรักชีส     โรตีแกงเขียวหวานไก่สูตรเด็ดของครอบครัวที่เข้มข้นถึงเครื่อง ทางร้านเลือกจับคู่กับโรตีแป้งนุ่มกินแล้วอิ่มท้องแบบพอดีๆ     ยกให้เป็นร้านน่านั่งที่มีแต่ของอร่อยจริงๆ

Café Hoo” คาเฟ่สไตล์เกาหลีที่ตกแต่งร้านเรียบง่ายสไตล์มินิมอล แต่น่ารักน่านั่งสุดๆ ที่สำคัญเมนูยังเกาหลี๊...เกาหลี แบบที่เผลอนึกว่าเรากำลังนั่งอยู่ในคาเฟ่ฮิปแถวฮงแดหรืออิแทวอนในกรุงโซล ไม่ใช่ในซอยใหญ่ย่านอุดมสุขที่พลุกพล่านไปด้วยรถราและผู้คนเลยทีเดียว     โดยทุกเมนูของที่นี่สร้างสรรค์โดยเจ้าของร้านสาวชาวเกาหลีที่ตั้งใจทำอย่างพิถีพิถันตามสูตรดั้งเดิมของเกาหลีด้วยตัวเอง และอยากให้ Café Hoo เป็นเหมือนโอเอซิสเล็กๆ ของทุกคนที่ผ่านมา       สำหรับขนมขึ้นชื่อของร้านนี้ (ที่ต้องชิม) เรายกให้ Macaron สูตรเด็ดของร้านที่แป้งกรอบเบา แต่ไม่ร่วน ส่วนไส้ก็เข้มข้นตามรสชาติสุดๆ โดยเฉพาะรสมาการองสับปะรด หอมหวานอมเปรี้ยวกินเพลิน ชิ้นใหญ่เต็มคำ     ส่วนสายขนมจ๋าต้องลอง Dacquoise ขนมฝรั่งเศสที่ทำจากเมอแรงค์ผสมอัลมอนด์ แนะนำไส้สตรอว์เบอร์รีครีมชีสที่เข้ากันละมุนสุดๆ     ส่วนเครื่องดื่มที่นี่มีมากมาย แต่สายเกาเราขอแนะนำ Dalgona Coffee กาแฟเย็นสุดฮิตจากเกาหลีที่ร้านนี้ที่ใส่ครีมน้ำตาลเป็นแท่ง เพิ่มความเข้มข้นหอมหวานได้เป็นอย่างดี  

ยกให้เป็นอีกหนึ่งคาเฟ่สวยที่ต้องเช็กอินในเชียงใหม่ สำหรับ Caramellow Cafe” ที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าโรงแรม Parcborough ครบครันทั้งอาหารอร่อย วิวสวนสวยนั่งสบาย และโลเกชันสะดวกสบายไม่ไกลจากสนามบินเชียงใหม่และสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตในตัวเมือง       โดยเฉพาะบรรยากาศอบอุ่นแบบ Feel Like Home แต่ก็สามารถเป็น Co-working Space สงบเงียบ และมีโซนสวนสวยร่มรื่นด้านนอกให้เดินออกไปผ่อนคลายอารมณ์และเก็บภาพมุมน้ำตกสวยๆ ได้ทุกเมื่อ       หลังจากแอบส่องครัวเปิดกลางร้านจนพอใจแล้ว เราขอเริ่มด้วย Grilled Spicy Caramellow Homemade Sausage with Tomato สลัดไส้กรอกคาราเมลโลว์รสเผ็ดนิดๆ ใส่มะเขือเทศออร์แกนิก และ Mama Chicken Stew with Sticky Rice Croissant สตูว์ไก่ในซอสมะเขือเทศ เสิร์ฟพร้อมครัวซองต์ข้าวก่ำทำจากข้าวเหนียวดำกรอบนอกนุ่มใน       ต่อด้วยของหวานอย่าง Cruffin Thai Milk Tea with Meringue ลูกผสมระหว่างครัวซองต์และบริยอช สอดไส้ครีมชาไทยหอมหวาน ด้านบนเป็นเมอแรงค์เบิร์นหอมๆ และ Chiang Mai Chocolate Cake ทำจากช็อกโกแลตเชียงใหม่รสเข้มข้น       ถ้าใครอยากมานั่งจิบเครื่องดื่มชิลๆ เราแนะนำ Marshmallow Cappuccino คาปุชชิโนรสนุ่ม ท็อปด้วยมาร์ชเมลโลว์ Iced Divine Earl Grey ชาเอิร์ลเกรย์ใส่ไซรัปโรสแมรีโฮมเมด ส้ม และรังผึ้งหอมหวาน และ Matcha Lemon Soda ชาเขียวมัตฉะใส่เลมอนโซดาที่สดชื่นได้ในจิบเดียว      

แฟนๆ Taste Cafe คาเฟ่สุดฮิตแห่งย่านนิมมานเหมินทร์ต้องแวะไปลองสาขาใหม่สุดเก๋บนถนนวัวลายกับ Taste Café Atelier” ที่ตั้งอยู่ในโครงการพื้นที่ศิลปะสร้างสรรค์ Weave Artisan Society ที่ตกแต่งได้เก๋ไก๋น่านั่ง เหมาะกับทั้งคอกาแฟและคนรักงานอาร์ต       ความโดดเด่นของที่นี่คือ เมล็ดกาแฟระดับพรีเมียมที่มีให้เลือกหลากหลายมากขึ้น ครบครันทั้งคั่วอ่อน คั่วกลาง และคั่วเข้ม โดยเมนูประจำจะใช้เมล็ดของแม่ฮ่องลอนและลาวมาเบลนด์พิเศษ       สายกาแฟนมอย่างเราชอบ Dirty นมหอมมันสูตรของร้านท็อปด้วยเอสเพรสโซช็อต ความหวานของนมตัดความขมของกาแฟพอดี Cloud Latte ลาเต้เย็นท็อปด้วยไอศกรีมวานิลลาหอมหวาน และ Brown Sugar Latte ลาเต้เย็นเพิ่มความหวานด้วยน้ำตาลทรายแดง         ส่วนสายกาแฟดริป เราแนะนำ Cold Brew Cream กาแฟสกัดเย็นท็อปด้วยครีมนมนุ่มๆ จับคู่กับ Lamington Cake เค้กสไตล์ออสเตรเลียนเนื้อนุ่มแน่น มีให้เลือก 2 รส ช็อกโกแลตและเลมอน       หรือจะลอง Baked Cheese Cake ชีสเค้กโฮมเมดหอมมัน ตัดรสด้วยเบอร์รีต่างๆ กินคู่ Lemon Marmalade น้ำผึ้งมะนาวหวานเปรี้ยว ใส่โซดาเพิ่มความสดชื่นก็เข้าที    

ใครคิดถึงคาเฟ่ยอดนิยมของเชียงใหม่อย่าลืมไปเช็กอิน เพราะตอนนี้เปิดให้บริการเหมือนเดิมแล้วในแบบมินิมอลเก๋ไก๋สไตล์เกาหลีให้สาวๆ ฟินยิ่งกว่าเดิม สำหรับ “8 Days A Week” คาเฟ่ชื่อดังของเชียงใหม่ที่พร้อมเสิร์ฟกาแฟหอมๆ ขนมอร่อยๆ ในบรรยากาศบ้านสีขาวรับแสงแดดสวยที่ส่องผ่านประตูหน้าต่างกระจกขอบไม้รอบด้านดูอบอุ่น     ที่สำคัญคือถ่ายรูปสวยทุกมุม ไม่ว่าจะมุมเก้าอี้สานคู่สุดเก๋ในร้าน หรือโต๊ะใต้ต้นไม้ร่มรื่นรับลมด้านนอกที่บอกเลยว่าปัง!     เมนูเด่นของที่นี่ยังคงเป็นกาแฟหอมๆ ที่ใช้กาแฟแม่ออนใต้กับกาแฟดอยช้าง เราชอบ Dirty ความหอมของกาแฟผสานความหอมมันของนมเบาๆ ดื่มง่ายลงตัว และ Falling น้ำผึ้งมะนาวเปรี้ยวหวาน ใส่กาแฟตามเพิ่มความขมนิดๆ ใครไม่ถนัดกาแฟ ลองสั่ง Rosie อิตาเลียนโซดาสีชมพูสวยหอมกลิ่นกุหลาบ เพิ่มความสดชื่นด้วยมินต์และเลมอน         นอกจากนี้ที่ร้านยังมีเมนูของหวานสับเปลี่ยนหมุนเวียนมาให้ชิม แต่ที่เราไม่อยากให้พลาดคือ Basque Burnt Cheese Cake เนื้อนุ่มแน่นหอมมัน และ Tiramisu เค้กทิรามิสุหวานละมุนกำลังดี หอมกลิ่นเหล้านิดๆ กินเพลินหมดแบบไม่รู้ตัว      

หนึ่งในสาขาของร้านกาแฟดังในเครือ The Baristro ที่มาพร้อมการตกแต่งสไตล์มินิมอลเก๋ไก๋น่านั่งและวิวสวยติดริมแม่น้ำปิงที่ทำให้โซนเอาต์ดอร์ด้านนอกร้าน The Baristro at Ping River” ฮอตฮิตสุดๆ โดยเฉพาะโต๊ะบนสะพานไม้ที่ยื่นสู่แม่น้ำที่ไม่ว่าสายกินหรือสายแชะก็ไม่อยากพลาด         ที่นี่มีเมล็ดกาแฟให้เลือกหลากหลายทั้งไทยและนานาชาติ เราแนะนำ Double X Triple เสิร์ฟคู่กัน 2 แก้ว ดับเบิลคือเอสเพรสโซช็อตผสมนมสูตรพิเศษรสนุ่มกลมกล่อม ส่วนทริปเปิลคือดับเบิลที่ผสมช็อกโกแลตเพิ่มความหอมหวานกำลังดี (แนะนำให้ยกดื่มก่อนคน เพื่อไม่ให้เสียรสชาติ) Black Coconut เอสเพรสโซชอตเทใส่น้ำมะพร้าวเย็นสดชื่น       สำหรับของหวานก็อร่อยเด่นไม่แพ้กัน ทั้ง B-Coconut Ice Cream ไอศกรีมมะพร้าวเนื้อเนียนนุ่มเหมือนบิงซู เสิร์ฟพร้อมฝอยทองและนมหวานให้ราดอีกชั้นเพิ่มความอร่อย Crispy Roti with Thai Sweet & Whipped Cream โรตีบางกรอบสอดไส้วิปครีมฝอยทองที่กินเพลินมาก และ Salt Caramel Cheese Cake ชีสเค้กนุ่มนวลสอดไส้คาราเมลลาวาเยิ้มๆ         แนะนำให้สั่งคู่ Pink Panther ซอฟต์ดริงก์ที่มาพร้อมความหวานของเปรี้ยวสดชื่นของลูกแพร์ สตรอว์เบอร์รี และไซรัปแตงโม  

คาเฟ่สุดน่ารักที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนหลุดไปอยู่ในเมืองเล็กๆ ของญี่ปุ่น ด้วยบรรยากาศของบ้านสีขาวที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้ดูอบอุ่น ผ้าม่านสีขาวพลิ้วไหว และความร่มรื่นของต้นไม้สีเขียวสบายตาที่ทำให้เช้าวันจันทร์กลายเป็นวันแห่งความสุขสมชื่อ “Mondae Morning”     ทุกเมนูคิดค้นโดยเจ้าของร้านที่พกพาความรู้ด้านอาหารจากออสเตรเลียมาสร้างสรรค์จานอร่อยแบบฟิวชันที่บอกเลยว่าอร่อยคุณภาพในราคาไม่แพง ที่สำคัญยังแฝงกลิ่นอายล้านนาไว้อย่างน่ารักน่ากิน       เราแนะนำ ข้าวซอสไก่ย่าง ไข่ดาว ที่ประยุกต์น้ำข้าวซอยสูตรสันกำแพงมาเสิร์ฟพร้อมข้าวสวย ไก่ย่าง และไข่ดาว ข้าวกะเพราหมูเบอร์เกอร์มันเดย์ หมูหมักเครื่องเทศวางบนข้าวสวยร้อนๆ เสิร์ฟพร้อมไข่แดงลาวา       ส่วนคนรักครัวซองต์ต้องลอง ครัวซองต์ไข่ข้นปู น้ำพริกอ่อง ที่ใช้ครัวซองต์โฮมเมดอบสดใหม่ทุกเช้าสอดไส้ไข่ข้นและปูแบบอัดแน่น กินคู่น้ำพริกอ่องและหอมเจียว และครัวซองต์ครีมสตรอว์เบอร์รี ครีมสดนุ่มเบาเข้ากับความเปรี้ยวของสตรอว์เบอร์รี       กินคู่กับเมนูเครื่องดื่มอย่าง Lime Peach Tea ชาพีชแสนสดชื่น หอมหวานกำลังดี หรือจะเพิ่มพลังด้วย Signature Reboot สมูทตี้ที่นำบีตรูต แอปเปิล แครอต และน้ำส้มมาผสมกันได้ลงตัวก็อร่อยไปอีกแบบ    

ร้านสำหรับสายชิลที่เพิ่งเปิดมาได้ 2 อาทิตย์กว่าๆ อย่าง Pop Up Canteen BKK ย่านลาดพร้าว แม้จะอยู่ในซอยและเหมาะกับการขับรถมาเอง แต่ต้องยอมรับว่าบรรยากาศดีจริงๆ โดยจุดเริ่มต้นมาจาก ‘คุณโจ๊ก’ เจ้าของร้านต้องการทำซุ้มเล่นกับลูกสาว บวกกับมีความรู้สึกว่าอยากเปิดร้านแบบ Pick up หรือสั่งอาหารกลับบ้าน และมีบริการเดลิเวอรี่ด้วย จึงใช้พื้นที่ข้างบ้านทำร้านเป็นป๊อปอัพในบรรยากาศสบายๆ มีต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น ของทุกชิ้นคุมโทนเน้นสีไม่ฉูดฉาด รวมถึงหยิบของที่มีอยู่แล้วมาตกแต่งจัดวางตามมุมต่างๆ นี่จึงเป็นกิมมิกน่าสนใจดึงดูดให้ชาว Cafe Hopper ได้ถ่ายรูประหว่างรอสั่งอาหาร       ที่นี่มีทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และเบเกอรี่จาก 3 แบรนด์ ได้แก่ Seven Spoons Pollen Baked Goods และ GREEDY BEAST ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ที่มักไปออกบูทอยู่แล้ว คุณโจ๊กจึงชวนมาสนุกด้วยกัน และช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีร้านเบอร์เกอร์กับร้านกาแฟมาเปิดป๊อบอัพสร้างสีสันเพิ่มขึ้น หลังจากนั้นก็ต้องติดตามเรื่อยๆ ว่าจะมีร้านไหนมาอีกบ้าง       เมนูแนะนำ ข้าวแมว ข้าวหอมกลิ่นปลารมควัน อร่อยกลมกล่อม ยิ่งกินกับเครื่องเคียงและปลาทู บีบมะนาวนิดหน่อยเข้ากันสุดๆ     Lemonade ดื่มแล้วสดชื่น เปรี้ยวหวานลงตัว     Smore  Choccolate เนื้อแป้งช็อกโกแลตหอมนุ่ม เข้มข้น กินคู่กับทอปปิงหวานๆ และส้มเบิร์นไฟเล็กน้อยกินเพลินๆ ดี     ใครอยากไปถ่ายรูปและสั่งอาหารที่ร้านต้องไปด่วนๆ  หรือถ้าจะสั่งเดลิเวอรี่ก็ in box ไปในเฟซบุ๊ก และไลน์ @popupcanteenbkk ได้ ส่งฟรีไม่เกิน 1 กม.