“Krung Gastro Cafe” โฮมคาเฟ่น่านั่งที่ตั้งอยู่ในชั้นล่างของ Krung Gastro” ที่พักของนักกินในรูปแบบ Airbnb (หรือ Bed & Breakfast) ที่แฝงกลิ่นอายประวัติศาสตร์ของถนนสายแรกของกรุงเทพมหานครอย่างเจริญกรุง ซึ่งพร้อมต้อนรับเราด้วยกาแฟรสเลิศที่ใช้เมล็ดไทยเป็นหลัก ของหวานหน้าตาน่ากิน และเมนูอาหารไทยปักษ์ใต้ฝีมือเชฟชาวจังหวัดสตูลที่อร่อยจัดจ้านถึงใจ         นอกจากรสชาติแบบไทยๆ แล้ว เรายังประทับใจกับบรรยากาศและการตกแต่งในแบบไทยโมเดิร์นด้วยการดึงเส้นสายความโค้งแบบสถาปัตยกรรมยุคเก่ามาผสมผสาน อีกทั้งยังนำผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่นมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์สั่งทำพิเศษ หมอนทรงสามเหลี่ยม เสื่อรองนั่ง กระเป๋า และหมวกสานให้แขกที่มาพักได้สัมผัสวัฒนธรรมไทยยิ่งขึ้น รวมไปถึงโลโก้บนผนังที่เป็นรูปตัวอักษร ก.ไก่ สุดเก๋ไก๋ (มาจากคำว่า กรุง) และภาพวาดแผนที่ย่านเจริญกรุงบนกำแพงด้านในของคาเฟ่ที่ทำเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เข้าใจแบบง่ายๆ อีกด้วย       แม้บรรยากาศจะแฝงความเป็นไทยในแบบโมเดิร์น แต่บอกเลยว่าเมนูอาหารที่นี่จัดจ้านและจัดเต็มแบบคนใต้แท้ๆ ไม่ว่าจะเป็นแกงส้มใต้กุ้งยอดมะพร้าว กุ้งเนื้อแน่นสดเด้ง น้ำแกงรสเปรี้ยวนำ แต่อร่อยเด็ด กุ้งหมูสับสะตอผัดกะปิ หนึ่งในเมนูยอดนิยมที่แม้ใครไม่ชอบสะตอก็อยากให้ลองสักครั้ง และใบเหลียงผัดไข่ รสชาติกลมกล่อมที่บอกเลยว่าโดนใจทุกเพศทุกวัยแน่นอน         ส่วนคอกาแฟที่นี่มี Drip Coffee ที่คัดสรรเมล็ดกาแฟดีๆ จากในไทยและทั่วโลกมาให้ชิม เราแนะนำ Columbia Huila Betania หรือจะลอง Iced Strawberry Latte ลาเต้รสนุ่มเพิ่มความหวานอมเปรี้ยวด้วยไซรัปสตรอว์เบอร์รี และ Iced Bael Fruit Milk Tea ชาไทยหอมมะตูม เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ก็อร่อยสดชื่นไม่แพ้กัน         ถ้ายังไม่อิ่มอย่าลืมสั่ง Cup Cake เสิร์ฟพร้อมแยม 3 รส มาอร่อยตบท้าย (เราแนะนำคัพเค้กช็อกโกแลตและคัพเค้กสตรอว์เบอร์รี) มากินพร้อมกาแฟรสดีแล้วแสนจะอิ่มอกอิ่มใจ    

อีกหนึ่งร้านอร่อยแห่งท่าเตียนที่อยู่ไม่ไกลริมน้ำเจ้าพระยาและมิวเซียมสยาม บรรยากาศกว้างขวางนั่งสบายอบอวลไปด้วยความเป็นกันเอง ที่สำคัญ “บ้านท่าเตียน คาเฟ่” (Baan ThaTien Café) ยังโดนใจลูกค้าทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ด้วยรสชาติระดับมาตรฐานในราคาย่อมเยาเข้าถึงง่ายและพร้อมให้เรามาอร่อยกันได้ทุกวัน         จานเด่นพลาดไม่ได้ของบ้านท่าเตียน คาเฟ่ คือ Shrimp Pad Thai เส้นผัดไทยเหนียวนุ่มกำลังดี มาพร้อมกุ้งตัวโตเนื้อแน่น และ Chicken Green Curry แกงเขียวหวานไก่รสกลมกล่อมไม่เผ็ดมาก เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ แล้ว       นอกจากนี้เรายังอยากให้ลองเมนูขายดีอย่าง Stuffed Omelet ไข่ยัดไส้หมูสับผัดกับแครอต หอมหัวใหญ่ และมะเขือเทศ หวานเปรี้ยวเค็มครบรส และ Egg Bomb ไข่ระเบิดหรือไข่ดาวทรงเครื่องราดด้วยผัดหมูสับผัดกับแครอตและข้าวโพดอ่อน ที่เลือกได้ทั้งแบบเผ็ดและไม่เผ็ดสำหรับเด็กๆ       ส่วนใครอยากมานั่งจิบกาแฟเบาๆ เราแนะนำ Americano กาแฟดำร้อนรสเข้มที่ช่วยให้หายง่วงได้เป็นอย่างดี และ Iced Cappuccino คาปุชชิโนเย็นที่ใช้กาแฟแบบดับเบิลช็อต เพิ่มความละมุนด้วยครีมนมหอมมัน เรียกว่าโดนใจทั้งสายกินและคอกาแฟไปพร้อมกัน    

ยกให้เป็นคาเฟ่น้องใหม่มาแรงแห่งเอกมัยในเวลานี้ สำหรับ Babyccino” ที่พร้อมเสิร์ฟอาหารโฮมเมดสไตล์ All Day Breakfast ให้เราเริ่มต้นเช้าวันใหม่แบบอิ่มอร่อยและสุขใจในบรรยากาศโปร่งสบายด้วยการตกแต่งแบบเรือนกระจกรับแสงแดดอุ่นๆ รอบร้านที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้และธรรมชาติแสนร่มรื่น     ทุกเมนูเด่นของที่นี่อาจดูธรรมดา แต่บอกเลยว่า (อร่อย) พิเศษไม่เหมือนใครในแบบ Simple But Unique รวมทั้งการบริการที่ใส่ใจและเป็นกันเองยิ่งทำให้ Babyccino กลายเป็นบ้านหลังที่สองของหลายๆ คนไปแล้ว       จานเด่นต้องลองมีทั้ง K-Bomb Fried Chicken ขนมปังบริยอชโฮมเมดสอดไส้อกไก่ทอดราดซอสสไปซีมายองเนสและชีส Pasta Aglio E Olio พาสต้าเส้นสดผัดพริกแห้งและเบคอน รสจัดจ้านถึงใจ และ Lemon Chicken with Quinoa Rice สะโพกไก่หมักเครื่องเทศอบจนหนังกรอบกำลังดี เสิร์ฟพร้อมข้าวจัสมิน บราวน์ ไรซ์ผสมควินัวและสลัดผัก         ส่วนสายสุขภาพต้องลอง Miso Glazed Cauliflower & Kale กะหล่ำดอกเกลซกับมิโสะ มาพร้อมผักเคล มะเขือเทศเชอร์รีและควินัว เพิ่มรสชาติด้วยพาสลีย์เดรสซิง     ใครอยากมานั่งละเลียดเครื่องดื่มเบาๆ เราแนะนำซิกเนเจอร์อย่าง Babyccino เอสเพรสโซช็อตใส่นมสูตรพิเศษหอมสมุนไพร ทั้งอบเชย โรสแมรี และกระวาน (ก่อนดื่มแนะนำให้คนให้เข้ากันจะยิ่งอร่อย) และ Floral Soda รสเปรี้ยวหวานสดชื่น หอมกุหลาบและลาเวนเดอร์ กินคู่กับ Carrot Cake เนื้อเค้กสอดแทรกวอลนัท ท็อปด้วยครีมชีสหอมมัน หรือ Salted Caramel Banana Cake เค้กกล้วยหอมเนื้อแน่นราดครีมซอลต์คาราเมล โรยถั่วเคลือบคาราเมลกรุบกรอบ ยิ่งอร่อยเป็นสองเท่าเลยทีเดียว        

“บ้าน” สถานที่อบอุ่น เซฟโซนที่คุณอยู่แล้วรู้สึกสบายใจ ต่อด้วย ๑000 เลขที่มีมูลค่ามากที่สุดในธนบัตรของบ้านเรา ส่งเสริมความเป็นสิริมงคล “ไม้” ต้นไม้เขียวชอุ่มให้ความร่มรื่น ปิดท้ายด้วย “Cafe & Farm” ซึ่งบ่งบอกถึงคาแร็คเตอร์ของที่แห่งนี้ รวมเป็น “บ้าน ๑,๐๐๐ ไม้ Cafe & Farm” คาเฟ่ให้ฟิลโคซี่ที่ตั้งอยู่ในย่านสามโคก จ.ปทุมธานี พื้นที่สีเขียวกว่า 3 ไร่ ที่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาชนิดซึ่งพิเศษเปิดเฉพาะวันเสาร์ – อาทิตย์เท่านั้น     เนื่องจากวันจันทร์ – ศุกร์ สถานที่แห่งนี้คือบ้านและที่ทำงานของคุณโก้ พชรพล ทรงศรี อดีตครูสอนวิชาเกษตรที่ปัจจุบันเป็นนักจัดสวนมืออาชีพที่พร้อมน้อมนำ “เศรษฐกิจพอเพียง” ปรัชญาของรัชกาลที่ 9 มาใช้ในการบริหารร้านอย่างเต็มตัว โดยจะแบ่งแอเรียเป็น 4 ส่วน อย่างแรกเลยคือ ขุดบ่อเก็บน้ำ 30%  ปลูกข้าว 30% พืชผักต่างๆ  30% ที่อยู่อาศัย (สำหรับคุณโก้นั้นคือ บ้าน ออฟฟิต) และสุดท้ายคือโรงเลี้ยงสัตว์กับคาเฟ่ 10%       บวกกับสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ “การให้” ซึ่งเป็นคติประจำใจที่คุณโก้นั้นยึดถือและปฏิบัติมาตลอด โดยใครที่อยากมาเยือนบ้าน ๑,๐๐๐ ไม้ ก็สามารถมาได้เลยโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ คุณสามารถพาลูกๆ มาเรียนรู้และทำกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจ อาทิ ดำนา ทำไข่เค็ม พายเรือ ชมสัตว์ต่างๆ ปลูกผัก ปั้นดินเผาจิ๋ว ระบายสี เพนท์ผ้ามัดย้อม เป็นต้น ใครท้องร้องก็แวะหม่ำอาหารโฮมคุ้ก ขนมโฮมเมด ฝีมือคนในชุมชนที่รสชาติไม่ธรรมดา อย่าง       ข้าวหมูอบ กระดูกอ่อนกรึบกรับ อบจนเนื้อนุ่ม กินง่าย รสเค็มละมุนปนหวานเล็กๆ ราดน้ำจิ้ม ที่ทำมาจากน้ำส้มสายชูและพริก รสเปรี้ยวและเผ็ดพอดีกัน อิ่มอร่อยได้ในจานเดียว     มาถึงเมนูเฮลท์ตีกันบ้างกับ สลัดทูน่า ก็รสชาติดี ผักสด กร๊อบกรอบ ปลูกเองจากสวนนานาพันธุ์ ทั้งผักสลัด แครอต ข้าวโพด กระหล่ำปลีม่วง เป็นต้น มีทูน่าเนื้อแน่น เพิ่มโปรตีนให้กับร่างกาย ราดน้ำสลัดครีมรสกลมกล่อม     สายหวานเตรียมสั่ง ขนมปังสังขยา ขนมปังโฮมเมดเนื้อฟูๆ นุ่มนิ่มที่เราเลิฟ กินคู่กับสังขยาใบเตยหอมกรุ่น รสหวานพอดี     จิบกับ คาปูชิโน่ รสเข้มข้น ดื่มไม่ยาก ไม่ใช่คอกาแฟก็จิบได้ ชานม ชาไทยคุณภาพ หอมฟุ้ง รสเข้ม ผสานไปกับนมข้น และนมสด รวมกันเป็นรสที่หวานพอเหมาะ       และ สตรอว์เบอร์รีโซดามะนาว รสเปรี้ยว เพิ่มความสดชื่ดอีกขั้นด้วยน้ำโซดา ซาบซ่า     กระซิบ อีกหน่อยที่นี่จะมีเวิร์คชอปสำหรับผู้ใหญ่ด้วยนะ

เป็นเวลา 1 ปีเศษที่ Paco Bangkok ร้านสมูทตีโบว์ลเล็กๆ ที่อัดแน่นไปด้วยสีสัน แจกความสดใสให้ย่านพร้อมพงษ์กลางซอยสุขุมวิท 31 นั้นดูรีเฟรช ร้านทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าผนังโมเสกสีน้ำเงินและขาว ด้านหน้าเป็นกระจกใสบานกว้าง ส่องเห็นภายในร้านที่เต็มไปด้วยความอาร์ตของศิลปะแบบร่วมสมัย Contemporary Arts เมื่อเปิดประตูเข้าไปจะพบกับบาร์หินอ่อนขนาดใหญ่ ที่ถูกรองด้วยพื้นเก๋ไก๋สไตล์โมเสกที่เขียนว่า “Paco”     ผนังสีขาวถูกแซมด้วยรูปภาพติสท์ๆ ของศิลปินป็อปอาร์ต (น่าแชะรูปเสียจริง) มีไฟนีออนรูปหัวใจที่เขียนว่า “All You Need is Paco” สื่อให้เห็นถึงความตั้งใจของคุณทีม ศุภกร สุนานันท์ และคุณหวาน วรณัน สินลอย ที่อยากจะให้ทุกคนมาเติมชีวิตชีวาด้วยอาหารสุขภาพที่เข้าถึงง่าย อย่างสมูทตีโบว์ลเฮลท์ตีๆ ที่ทำมาจากผลไม้ ไร้น้ำตาล กลูเตนฟรี ซึ่งเกิดจากสูตรคิดค้นเองจนได้รสชาติลงตัว ทุกชามมีการคำนวณแคลอรีมาอย่างเหมาะสม อีกทั้งลูกค้ายังสามารถรังสรรค์สมูทตีโบว์ลของตัวเองได้ตามใจต้องการ       กินแล้วได้สุขภาพพร้อมดื่มด่ำไปกับศิลปะความงามบนจานอาหาร ด้วยความที่คุณทีมทำงานเป็นกราฟฟิกดีไซเนอร์ จึงไม่แปลกที่สมูทตีทุกชามจะเต็มไปด้วยความสวยงาม ความคัลเลอร์ฟูลที่เกิดจากจินตนาการสุดสร้างสรรค์ มากกว่าความน่ากินนั้นคือรสชาติ ที่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องอร่อย  แม้คนที่ไม่ได้เป็นสายสุขภาพลิ้มลองเป็นอันต้องติดใจ กลับมาฟินใหม่แทบทุกราย!     ชามแรกที่เราได้เป็น Acai (390 บาท) เมนูสายรุ้งสุดป๊อป ซิกเนเจอร์ประจำร้านชามนี้เต็มไปด้วยส่วนผสมจากผลไม้และดอกไม้ที่เบลน์กันจนสีสันที่สวยงาม รสเปรี้ยวสดชื่นนี้มาจากพระเอกอย่าง อาซาอิ เสริมทัพด้วยแบล็กเบอร์รี่ กล้วย เก๋ากี๋ อัญชัน รวมถึงซูเปอร์ฟู้ดที่สำคัญอย่าง สารสกัดจากสาหร่ายสไปรูลินา สาหร่ายสีเขียว สาหร่ายสีชมพูที่มีชื่อว่า Dunaliella Salina และแอลแฟลฟา พืชตระกูลถั่วที่ได้สมญานามว่า "ราชาแห่งอาหารทั้งมวล" ท็อปปิ้งด้วยผลไม้สด มะพร้าวคั่ว ถั่วกรุบกรอบ และเนยถั่วหอมหวาน     ตบท้ายด้วยชามสีหวานอย่าง Tropical Paradise (290 บาท) ซึ่งประกอบไปด้วย แก้วมังกร กล้วย สับปะรด และราสป์เบอร์รี กินพร้อมผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานอย่าง สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี ส้มแมนดาริน จนได้รสเปรี้ยวกลมกล่อม เพิ่มสัมผัสกรุบกรอบสนุกๆ และพลังงานให้กับร่างกายด้วยมะพร้าวคั่ว และกราโนรา อีกสักนิด อิ่มเอมขนาดนี้บอกเลยแค่ 200-220 แคลอรี่เท่านั้น!     Until We Meet Again...ไป Paco Bangkok ที่บ้านหลังใหม่ได้เร็วๆ นี้แล้วเจอกันที่สุขุมวิท 49 นะจ๊ะ

คาเฟ่น้องใหม่ย่านเอกมัยแห่งนี้มาพร้อมความจริงจังเรื่องการกินเพื่อสุขภาพ ด้วยแนวอาหารและเครื่องดื่ม Plant-based เลือกใช้วัตถุดิบจากพืชล้วน ๆ มารังสรรค์จนเป็นอาหารสุดพิเศษ ไม่มีแม้แต่แป้ง นม เนย และไข่ ในแต่ละจานจึงอัดแน่นไปด้วยคุณประโยชน์เต็มเปี่ยม     กระจกบานใหญ่หน้าร้านเปิดรับแสงแดดอย่างเต็มที่ทำให้บรรยากาศภายในร้านดูสบายตา เหมาะที่จะนั่งค่อย ๆ ละเลียดชิมอาหารจานโปรดไปเรื่อย ๆ พริมา ภัทโรพงศ์ เจ้าของคาเฟ่แห่งนี้เล่าว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเริ่มต้นมาจากความชอบของเธอ หลังจากที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วพบว่าอาหารเพื่อสุขภาพนั้นเป็นที่นิยมอย่างมาก ทั้งยังทานง่าย รสชาติดี และทำให้สุขภาพดีจากภายใน เมื่อกลับมาที่เมืองไทยจึงเริ่มทำอาหาร Plant-Based ขายแบบเดลิเวอรีก่อนจนเริ่มเป็นที่รู้จัก แล้วจึงขยับขยายมาเป็นคาเฟ่แห่งนี้ในที่สุด       เริ่มต้นด้วยเมนูทานเล่นก่อนกับ Roasted Carrot Dip แครอทนำไปอบแล้วปั่นจนเนื้อเนียนละเอียด ผสมผสานกับกลิ่นและรสชาติของขิงและไทม์ เสิร์ฟมาพร้อมกับผักหั่นพอดีคำ ได้แก่ แครอท ขึ้นฉ่าย แตงกวา และแรดิช  จานนี้มีขนมปังซาวโดวจ์วีแกน เหมาะจะจิ้มกินรองท้องก่อนอาหารจานหลัก     สำหรับเมนูอาหารเช้าที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอ ยกให้กับ Tofu Scramble ที่รูปร่างหน้าตาคล้ายกับ Scrambled eggs แต่แน่นอนว่าที่ร้านไม่ใช้วัตถุดิบจากไข่ จึงใช้เต้าหู้ถั่วเหลืองนำมาผัดกับเห็ดและหัวหอมจนได้รสชาติกลมกล่อม ทานคู่กับผักโขมและขนมปังซาวโดวจ์วีแกน อิ่มจุใจ     Spicy Kimchi Soba Noodle เป็นเมนูสไตล์เอเชียที่มั่นใจว่าต้องถูกปากคนไทยแน่นอนด้วยรสชาติเปรี้ยว เค็ม และเผ็ดของกิมจิตามแบบฉบับเกาหลี นอกจากนั้นยังมีความพิเศษอยู่ที่เส้นโซบะซึ่งทำจากบัควีท ซึ่งเป็นธัญพืชปลอดกลูเตน กินคู่กับแตงกวาญี่ปุ่นจะได้ความสดชื่นเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว     ปิดท้ายด้วยของหวานน่าตาน่ารักอย่าง Banana Chia Oats Pancakes แพนเค้กเนื้อหนานุ่มสูตรเฉพาะของร้าน ที่มีส่วนผสมของโอ๊ตมีล เมล็ดเชีย และกล้วย มั่นใจได้เลยว่าไร้แป้งและผลิตภัณฑ์จากนมทุกชนิด ซึ่งแพนเค้กจานนี้จะมาพร้อมกับผลไม้ประจำฤดูกาลและกล้วยเรียงซ้อนเป็นชั้นแล้วราดด้วยน้ำผึ้งรสชาติหวานหอม     นอกจากบรรดาเครื่องดื่มน้ำผลไม้ สมูตตี้ และชาที่ดีต่อสุขภาพแล้ว เมนูกาแฟของร้านก็จะใช้นมที่มาจากพืชเช่นกัน มีทั้งนมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ และนมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้เลือกได้ตามใจชอบ ส่วนเครื่องดื่มสำหรับสุขภาพที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้านคือ Golden Mylk Latte ซึ่งเป็นลาเต้ขมิ้นเข้มข้นใส่นมอัลมอนด์และน้ำผึ้ง ได้รสชาติของขมิ้นที่ดีต่อสุขภาพและยังไม่ดื่มยากจนเกินไป     Plantiful จะเป็นร้านที่ใส่ใจในทุกกระบวนการรังสรรค์ และสร้างภาพจำใหม่ว่าอาหารที่ทำจากพืชล้วน ๆ นั้นก็สามารถมีรสชาติที่ถูกปากทุกคนได้เหมือนกัน

บนถนนสาทรที่แสนจะเร่งรีบ มีร้านคาเฟ่สไตล์ Industrial Loft ที่เราอยากแนะนำให้คุณลองแวะไปจิบกาแฟดีๆ สักแก้วเติมพลังกันสักหน่อย Ground Coffee คาเฟ่ห้องกระจกใสโทนสีดำ เทา ที่เปี่ยมไปด้วยความดิบเท่ แต่กลับให้ความอบอุ่นผ่อนคลายอย่างไม่น่าเชื่อ       การตกแต่งของร้านมาในคอนเซ็ปต์ บ้านพี่สาวและบ้านน้องชาย  โดยบ้านพี่สาวคือ The Yard Restaurant  ร้านอาหารบ้านเก่าโบราณอายุ 80 ปี ที่อยู่ตรงข้ามกับบ้านน้องชาย คือ Ground Coffee ร้านกาแฟสไตล์ลอฟท์ ดิบเท่ ซึ่งมีสระน้ำและสวนคั่นระหว่างกลางทำให้เมื่อนั่งจิบกาแฟก็สามารถมองเห็นวิวสระน้ำและบ้านเก่าโบราณ ให้ความรู้สึกอบอุ่น ชวนให้ผ่อนคลาย     เมนูแรกที่เราอยากแนะนำ RIP (Rest in Peach) แก้วนี้ได้ความหอมของเนื้อพีชสด รสขมของเอสเปรสโซ่ช็อตตัดกับความหวานของน้ำพีชเข้มข้น ออกมาเป็นรสชาติที่ลงตัว กลมกล่อม เป็นเมนูเครื่องดื่มเรียกความสดชื่นที่ตอบโจทย์คนรักพีช     ต่อด้วย Ground Toast ขนมปังโทสต์ที่ซ่อนไข่อยู่ด้านใน มาพร้อมแฮมและมอสซาเรลล่าชีส แค่กินคำแรกก็ฟินในความนุ่มของเนื้อขนมปังและกลิ่นหอมๆ ของซอสทรัฟเฟิล     อีกหนึ่งเมนูอาหารเช้าห้ามพลาด  Ground breakfast  ประกอบไปด้วย ขนมปังปิ้งหอมเนย เบคอนกรุบกรอบ ไข่ดาวสุกกำลังดี 2 ฟอง ไส้กรอกหมู และไส้กรอกหมูชีส รับรองว่าอิ่มอร่อยสบายท้องกันตั้งแต่เช้า     Hot Cappuccino หน้าตาน่ารัก ได้กลิ่นกาแฟหอมๆ และรสชาตินุ่มละมุนจากฟองนมด้านบน จุดเด่นของเมนูนี้หนีไม่พ้นทรงแก้วที่ดูไม่เป็นรูปร่าง แต่ตั้งใจให้เป็นเอกลักษณ์     ปิดท้ายด้วยของหวาน เอาใจช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ Brownie Cake โรยหน้าด้วยผงโกโก้และถั่วพิสตาชิโอ ด้านในเนื้อสัมผัสนุ่มเบา รสชาติช็อกโกแลตเข้มข้น มีความครีมมี่เล็กน้อย เหมาะเป็นของว่างยามบ่ายกินคู่กาแฟได้ดีเลย  

The Bridge Bistro & office space คาเฟ่และออฟฟิศสเปซ ย่านสายไหม ในตึก 4 ชั้น ที่คุณโม ธัญวรรณ เดชอมรธัญ และ คุณโอ๋ ไผทมาศ เดชอมรธัญ สองพี่น้องเจ้าของร้าน ออกแบบมาเพื่อสานฝันคนชอบภาพยนตร์ แฮรี่ พอตเตอร์ ภายในร้านเน้นโทนสีน้ำตาลเข้มสไตล์ British Classic ดูเรียบหรู ซ่อนความลึกลับผสานความเท่ห์ชวนให้ค้นหา เหมาะกับคนที่ชอบความสงบ อยากใช้เวลาในการรับประทานอาหาร นั่งทำงานและถ่ายภาพสวยๆ คู่กับร้านได้ทั้งวัน     บรรยากาศร้านเต็มไปด้วยของตกแต่งที่สะท้อนเรื่องราวของภาพยนตร์ชื่อดัง Harry Potter และของสะสมเก่าของครอบครัว ให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่ก็แฝงด้วยความคลาสสิค คล้ายหลุดเข้าไปอยู่อังกฤษยุคเก่าเลยล่ะ     เริ่มต้นเมนูแรกด้วย American breakfast เมนูน้องใหม่ล่าสุด ทำมาเพื่อตอบโจทย์คนอยากสั่งอาหารเช้ามากินได้ทั้งวัน ไส้กรอกโฮมเมด เนื้อแน่นเต็มคำ รสชาติเข้มข้น เสิร์ฟมาพร้อมเบคอนกรุบกรอบ ไข่ดาว สลัดผัก และขนมปังกินคู่แยมบลูเบอร์รี่     จานต่อไป ข้าวแมวขโมย เมนูสุดน่ารักราคาเบาๆ เสิร์ฟมาด้วยข้าวมหาสารคามนุ่ม ปลาทูตัวใหญ่ไร้ก้าง ไข่ต้มสุกกำลังดี และเครื่องเคียงอื่นๆ แนะว่าก่อนกินให้บีบมะนาวลงบนข้าว รับรองว่าถูกใจคนชอบรสชาติจัดจ้าน     อีกเมนูกินเล่นน่าลอง ไส้กรอกอีสานมหาสารคาม ไส้กรอกสั่งทำพิเศษ ที่อัดแน่นด้วยเนื้อหมูล้วน หากินได้แค่ที่ร้านเท่านั้น รสชาติกลมกล่อม อร่อยเพลินๆ     มาถึงเมนูเครื่องดื่มสุดพิเศษที่เปิดตัวเดือนตุลาคมนี้ Midnight Forest ชาชั้นดีผสมผงช็อกโกแลตคัดพิเศษ เพิ่มวิปครีมและโรยด้วยทองคำเพิ่มความหรูหรา แก้วนี้ได้รสชาตินวลละมุน และกลิ่นหอมของช็อกโกแลต     ปิดท้ายด้วย Sleeping Beauty เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของชาคาโมมายด์ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย แถมความสดชื่นจากสีสันสวยงามชวนลิ้มลองไม่น้อย  

ริมถนนพุทธมณฑลสาย 1 ทางเข้าที่ซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังกำแพงต้นไม้สีเขียว ทำให้เราเกือบมองเลยผ่านไปเสียแล้ว สิ่งที่ตั้งอยู่เบื้องหลังคือ SUNKISS คาเฟ่และโฮสเทลขนาดย่อมแสนอบอุ่นติดคลองบ้านไทร บรรยากาศนั้นเงียบสงบเหมาะสำหรับการมาผ่อนคลายอย่างแท้จริง       การออกแบบด้วยปูนเปลือยสีเทาดูกลมกลืนไปกับสีของหน้าต่างกับประตูไม้ และต้นไม้สีเขียวน้อยใหญ่ทั่วทั้งบริเวณ ทำให้ที่นี่ดูเป็นกันเองและได้กลิ่นอายแห่งการพักร้อนด้วยสระว่ายน้ำสีฟ้าสดใสคั่นกลางระหว่างตัวคาเฟ่และที่พัก ราวกับอยู่เมืองริมทะเลเลยทีเดียว     ที่นี่จริงจังเรื่องกาแฟไม่น้อย เห็นได้จากกาแฟเบลนด์ที่มีให้เลือกตามใจชอบโดยใช้เมล็ดกาแฟจากหลากหลายพื้นที่ ทั้งในประเทศไทย ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่จันใต้ ดอยสะเก็ด และจากต่างประเทศ ที่มาจากทั้งประเทศเอธิโอเปียและโคลอมเบีย เมนูกาแฟของร้านที่น่าลองมีทั้ง Dirty กาแฟเย็นไม่ใส่น้ำแข็ง ได้รสชาติหวานมันเข้มข้นจากนมฟูลครีมท็อปด้วยเอสเพรสโซหนึ่งช็อตเข้ม ๆ จากเมล็ดกาแฟเอธิโอเปีย โคลอมเบีย และดอยสะเก็ด แก้วนี้จึงมีรสชาติฟรุ๊ตตี้     อีกหนึ่งเมนูเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่น่าลองคือ Naughty Chai ซึ่งเป็น Vanilla Chai ที่มีกลิ่นหอมผสมผสานกับกลิ่นและรสชาติเครื่องเทศเบาๆ ดื่มง่าย     ติดกับเครื่องชงกาแฟ จะเห็นตู้กระจกเล็กๆ ภายในเรียงรายด้วยขนมอบหลากหลายแบบ ทั้งครัวซองต์ สโคน คุกกี้ และขนมเค้ก ทั้งหมดเป็นโฮมเมดที่ทางร้านอบเองสดใหม่ทุกวัน     อาหารของ SUNKISS เป็นแนวฟิวชันที่น่าสนใจไม่น้อย เริ่มต้นที่เมนูสำหรับมื้อเช้า เบนนี่ครัวซองต์ ที่ประกอบไปด้วยครัวซองต์เนยสดชิ้นใหญ่ สอดไส้แฮมรมควัน โพชเอ้ก ราดด้วยซอสฮอลันเดสโฮมเมดรสชาติกลมกล่อม เสิร์ฟพร้อมสลัดผัก     Soba Mushroom Salad เป็นสลัดเส้นโซบะเหนียวนุ่มมาพร้อมเห็ดโคนญี่ปุ่น และยังเพิ่มความเป็นญี่ปุ่นเข้าไปอีกขั้นด้วยน้ำสลัด soy vinaigrette โปะหน้าด้วยต้นอ่อนทานตะวัน     สปาเกตตี้ซอสพริกเผามันกุ้ง ก็เป็นอีกหนึ่งซิกเนเจอร์ รสชาติไม่เผ็ดมากและยังเพิ่มมันกุ้งเข้าไปจนได้รสชาติครีมมี่ จานนี้แนะนำให้บีบเลมอนเพื่อให้ได้รสเปรี้ยวตัดเลี่ยนแถมด้วยกลิ่นหอม ๆ เข้ากับซอสพริกเผาอย่างลงตัว     สำหรับเมนูเค้กสุดขึ้นชื่อ มีทั้ง Orange Yogurt Cake ที่เน้นดึงรสจากส้มมาใช้จริงๆ ทำให้เค้กแต่ละชิ้นอาจจะมีรสชาติที่แตกต่างกัน ราดด้วยซอสเลมอนเปรี้ยวๆ เข้ากันดี อีกหนึ่งรสชาติคือ Caramel Duate Cake เค้กอินทผลัม เนื้อนุ่มแน่นราดด้วย Salted Caramel ได้รสชาติหวานชุ่มฉ่ำลิ้น       นอกจากกาแฟแล้ว ก็แนะนำเป็นเครื่องดื่มเย็นๆ เพื่อเพิ่มความสดชื่น เช่น First Kiss ม็อกเทลรสชาติเปรี้ยวกำลังดีด้วยส่วนผสมจากแครนเบอร์รี่ มัลเบอร์รี่ และเอลเดอฟลาวเวอร์ หรือจะลอง Lemon Lime Bitter มะนาวโซดาหยดบิทเทอร์เพิ่มความหอม ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่เหมาะสำหรับยามบ่ายเช่นกัน       ส่วนโฮสเทลของ SUNKISS มีห้องทั้งหมด 3 แบบ Superior Poolside, Standard Double Room และ Standard Twin Room เหมาะสำหรับการมาเป็นคู่รัก หรือกลุ่มเพื่อนเล็กๆ  สามารถจองผ่านเฟซบุ๊กได้เลย    

ไม่เพียงอยู่ในย่านเมืองเก่าริมน้ำใกล้วัดโพธิ์ที่อบอวลไปบรรยากาศสบายๆ แล้ว แต่ Ha Tien Café Bangkok” ยังเป็นหนึ่งในคาเฟ่สุดเก๋ฝั่งพระนครที่ไม่ว่าจะเป็นคอกาแฟ คนรักของหวาน หรือเหล่าคาเฟ่ฮอปเปอร์ก็ไม่ควรพลาดมาเยือนสักครั้ง       ด้วยการตกแต่งในแบบคลาสสิกวินเทจที่ผสมผสานกลิ่นอายทั้งไทย จีน และชิโนโปรตุกีสซึ่งเต็มไปด้วยของสะสมสไตล์แอนทีคของเจ้าของร้าน รวมทั้งผนังสีเขียวโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ ทำให้เมื่อก้าวเข้ามาแล้วเหมือนเราหลุดไปสู่อีกโลกหนึ่งที่สวยแปลกตาน่าถ่ายรูปไปทุกมุม       สายกาแฟต้องลอง Matoom Coffee กาแฟใส่นมรสกลมกล่อม เพิ่มความหอมหวานละมุนด้วยไซรัปมะตูมโฮมเมด Yuzu Espresso อเมริกาโนที่ตัดรสเข้มขมด้วยความเปรี้ยวสดชื่นของส้มยูซุได้อย่างลงตัว และ Butterfly Pea Coffee ลาเต้เย็นผสมนมสดอัญชันรสนุ่มกลมกล่อม         ส่วนคนรักของหวาน เราแนะนำเมนูยอดนิยม Black Beer Cake เค้กช็อกโกแลตเนื้อแน่นผสมเบียร์ดำเพิ่มความหอม ท็อปด้วยครีสชีสนุ่มนวล พร้อมทั้งสตรอว์เบอร์รีและบลูเบอร์รีสด และ Carrot Cake เค้กแครอตหอมซินนามอนที่ผสมแครอตในเนื้อเค้กแน่นหนึบแบบเต็มๆ ท็อปด้วยครีมชีสผสมน้ำผึ้งและเลมอน เพิ่มความสดชื่นด้วยส้มและบลูเบอร์รีสดด้านบน       และถ้าเป็นคนรักชีสเค้กห้ามพลาด Blueberry Cheese Pie เนื้อครีมชีสนุ่มแน่นหอมมันแต่ไม่เลี่ยน เข้ากันได้ดีกับแยมบลูเบอร์รีเข้มข้นที่อร่อยลงตัวแบบชิ้นเดียวคงไม่พอ  

“จันทร์ เดอ คาเฟ่” ร้านอาหารและคาเฟ่แสนสวยแห่งย่านคลองสิบ จังหวัดปทุมธานี สวนร่มรื่นพื้นที่กว้างขวางสไตล์ยุโรปที่เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์เขียวขจี ให้ความร่มรื่นได้เป็นอย่างดีแม้ในวันที่อากาศร้อนจัด  บ้านสีเหลืองสดใสที่แบ่งโซนร้านอาหารและคาเฟ่ไว้อย่างชัดเจน ด้านในเรสเตอรองท์จะเน้นการตกแต่งแบบหรูหรา แต่ยังคงบรรยากาศสบายๆ ผนังสีขาวที่มีภาพเขียนดอกไม้งดงามติดอยู่เป็นเนืองๆ โซฟาสีเข้มและอ่อนไปในทิศทางเดียวกับโคมไฟระย้าสไตล์วินเทจ พื้นที่กว้างขวางไม่ต้องกังวลเรื่องมาเยือนแล้วไร้ที่นั่ง         ส่วนในโซนของคาเฟ่นั้นจะให้ฟิลลิ่งอบอุ่นเสมือนคุณอยู่ในบ้าน โซฟานุ่มๆ หลากสีสันทำให้มู้ดแอนด์โทนของร้านนั้นช่างสดใส พื้นและผนังไม้ตรงตามแบบฉบับสไตล์โฮมมี่ จิบกาแฟหอมกรุ่นพร้อมนั่งชมสวนสวยจากภายนอกผ่านกระจกใสได้อย่างไม่มีอะไรมาขวางกั้น แสงแดดจากธรรมชาติผสานกับการตกแต่งร้านนั้นรวมแล้วเป็นบรรยากาศหวานๆ ที่ชวนให้คุณอยากนั่งชิลต่อยาวๆ ไปนานแสนนาน       ยิ่งถ้าได้รับประทานอาหารสูตร “แม่จันทร์” คุณแม่ของเจ้าของร้าน คุณเบิ้ม นิธาร ธรรมสาร ที่ได้สอนเคล็ดลับต่างๆ และเมื่อรวมไปกับฝีมือการทำอาหารของคุณเบิ้ม ซึ่งได้ร่ำเรียนฝึกปรือมาจากสถาบันสอนทำอาหารจากประเทศออสเตรเลียแล้วนั้น ยิ่งทำให้รสชาติเมนูทุกจานของร้านจันทร์ เดอ คาเฟ่ โดดเด่นด้วยความจัดจ้านถึงเครื่อง นอกจากจะอร่อยแบบไทยต้นตำรับแล้วยังจัดจานได้สวยงาม เห็นแล้วอดแชะรูปรัวๆ โพสลงโซเชียลไม่ได้      จานแรกเป็น เสต็กหมู (330 บาท) พอร์คชอปเนื้อนุ่ม หอมกรุ่นกลิ่นพริกไทย เสิร์ฟคู่ซอสพริกไทยดำรสจัดจ้าน มันบดเนื้อเนียน สลัดผัก และผักย่างนานาพันธุ์ ได้แก่ ข้าวโพด หัวหอม หน่อไม้ฝรั่ง     ปลาตัวตั้ง (540 บาท) ปลากะพงตัวโต ทอดจนได้เนื้อที่กรอบนอกนุ่มใน กินกับน้ำราดที่มีให้เลือกหลากความอร่อย อาทิ ยำส้มโอรสกลมกล่อม ผัดมะเขือรสเค็มละมุน ยำมะเขือรสจัดจ้าน ยำมะม่วงรสเปรี้ยวอมหวาน และน้ำจิ้มซีฟู้ดสูตรเด็ดของทางร้าน ที่รสชาติกลมกล่อม ไม่เผ็ดร้อนจนเกินไป     ไปต่อกันที่เมนูชาววังอย่าง เซ็ตแกงรัญจวน (280 บาท) กระดูกหมูอ่อนกรึบกรับ ซดพร้อมน้ำแกงรสกลมกล่อม หอมกลิ่นกะปิและโหระพา เสิร์ฟมาในถ้วยกระเบื้องลายไทยงดงาม กินคู่กับกับ ไข่พระอาทิตย์ ไข่เจียวใบโหระพาหอมฟุ้ง ไม่อมน้ำมัน เติมรสเค็มอีกนิดด้วยพริกน้ำปลาเล็กน้อย     ผัดไทยพม่า (295 บาท) ผัดไทยเส้นเล็กเหนียวนุ่ม เครื่องแน่น เข้ากันได้ดีกับกุ้งแม่น้ำย่างหอมๆ เนื้อสดหวาน มีมันกุ้งเยิ้มๆ ฟินๆ น้ำจิ้มซีฟู้ดรสเด็ดดวง และอย่าลืมชิมหัวปลีทอดด้วยล่ะ รับรองว่าเด็ดดวงไม่แพ้เฟรนช์ฟรายส์เลย     ใครสายหวานต้องลองสั่งเค้กโฮมเมดอบสดใหม่ทุกวัน สูตรของ คุณก้อย พรพิมล ธรรมสาร พี่สาวของคุณเบิ้ม ที่บอกเลยว่ารสชาติฟินละมุนทุกตัว เริ่มจาก เค้กมะตูม (150 บาท) เค้กเนื้อนุ่มฟู รสหวานพอดี ได้สัมผัสจากเนื้อมะตูมเต็มๆ เข้ากันได้ดีกับไอศกรีมโฮมเมดรสนม หอมหวาน      เค้กแมคาเดเมีย (150 บาท) ฐานล่างทำจากแมคาเดเมียกรุบกริบ กินไปพร้อมกับมูสหอมมันเข้ากันดี และไอศกรีมทำเองรสนมแสนอร่อยเช่นเคย     ใครเลิฟช็อกโกแล็ตต้องลองเมนูนี้ เค้กช็อกโกแลตกานาช (150 บาท) เค้กช็อกโกแล็ตหน้านิ่ม เนื้อนุ่มฟู รสเข้มข้น ผสานไปกับความหอมหวานของไอศกรีมรสนม     อะพอลโล 10 ( 90 บาท) ได้ยินชื่อแล้วแปลกใจ ที่ไหนได้เมนูนี้คือ อัฟโฟกาโต ไอศกรีมวานิลลาฉบับโฮมเมดสูตรฉบับของทางร้าน รสชาติหอมมัน หวานละมุน ราดเอสเปรสโซช็อต ที่ได้มาจากเมล็ดกาแฟคั่วอ่อนและคั่วแก่ผสมกัน ส่งตรงมาจากจังหวัดน่าน รสเข้มพอเหมาะ     เครื่องดื่มชวนชิมมี อัญชันมะนาวโซดา (75 บาท) น้ำอัญชันจากสวนรสหวานละมุน ผสานไปกับน้ำมะนาวสดรสเปรี้ยว เสริมความสดชื่นด้วยน้ำโซดาซาบซ่า มะยงชิดปั่น (90 บาท) ผลไม้ตามฤดูกาลอย่าง “มะยงชิด” รสเปรี้ยวอมหวานชื่นใจ ปั่นไปกับไซรัป       อเมริกานี่ (85 บาท) กาแฟจากจังหวัดน่านรสเข้มพอดีอีกเช่นเคย มิ๊กซ์ไปกับน้ำมะนาวและน้ำผึ้ง รสเปรี้ยวอมหวานสดชื่น จิบได้ยาวๆ ลื่นคอ      

หากพูดถึงร้านอาหารริมน้ำที่ขึ้นชื่อแห่งย่านปทุมธานี รับรองว่าต้องมี Quayside Cafe & Eatery อย่างแน่นอน บ้านปูนเปลือยสไตล์ลอฟ์ทรงสามเหลี่ยมดูเท่สะดุดตา ห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีที่ถูดตัดแต่งมาอย่างดี เดินถัดเข้ามาจะเห็นเคาร์เตอร์บาร์หินล้อมรอบต้นไม้สูงใหญ่  พื้นที่ร้านดูใหญ่กว้างขวาง ถึงแม้จะมีโต๊ะรองรับลูกค้าเป็นจำนวนมาก แต่บรรยากาศกลับไม่แออัดแต่อย่างใด       กระจกใสที่รับแสงจากธรรมชาติส่องผ่านเข้ามา ทำให้ร้านสว่างจ้าโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งแสงนีออนในยามกลางวัน ชุดโต๊ะ-เก้าอี้ไม้ และเฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลที่ถูกวางอยู่บนพื้นปูนเปลือยขัดเงานั้น นอกจากจะเข้ากันได้ดีแล้วยังให้ฟิลถึงความเข้าถึงง่าย เป็นกันเอง ความสบาย คล้ายมาจิบกาแฟหรือรับประทานอาหารในบ้านเพื่อนอย่างไรอย่างนั้น       ละจากโซนภายในร้านที่มีเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำทำงานตลอดวันมาที่บริเวณเอ้าท์ดอร์ด้านหลังของร้าน ที่มีที่นั่งมากมายให้คุณสังสรรค์กันบ้าง  ใครที่ชอบรับลมชมวิว คุณจะได้ชมทัศนียภาพของแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้ๆ เต็มตา มองเรือที่แล่นผ่านไปผ่านมาเพลินๆ  พร้อมอร่อยไปกับอาหารไทยรสเด็ดสไตล์โมเดิร์ล ขนมหวาน หรือจะเลือกจิบเมนูน้ำปั่นเบาๆ ก็ได้ อาทิ       สลัดอะโวคาโดอบไข่แดง ผักสดกรุบกรอบต่างๆ อาทิ กรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค ฟิลเลย์ และแรดิช เสิร์ฟพร้อมซูเปอร์ฟู้ดอย่าง อะโวคาโดที่นำไปอบกับไข่แดงจนสุกกำลังเ ราดน้ำสลัดงาขาวรสเค็มกลมกล่อม หอมกรุ่นกลิ่นงา     ต่อด้วยของหวานอย่าง บราวนี่ เนื้อแน่น รสเข้ม ได้รสช็อกโกแล็ตเต็มๆ เสิร์ฟมาแบบอุ่นๆ กินคู่กับไอศกรีมวานิลลา หอมมัน รสหวาน เข้ากันกำลังดี มีวิปครีมนุ่มละมุนเสริมความครีมมี่อีกด้วย ถูกใจสายหวานไปเลยล่ะจานนี้     อย่าลืมสั่ง Kiwi Smoothie เครื่องดื่มซิกเนเจอร์ของทางร้าน กีวี่สดๆ ปั่นกับไซรัปนิดหน่อย รวมเป็นรสชาติเปรี้ยวหวาน ที่ยิ่งดื่มยิ่งสดชื่น  

ภัทราวดีเธียเตอร์ โรงละครกลางแจ้งแห่งแรกของกรุงเทพฯ และศูนย์กลางศิลปะการแสดงร่วมสมัยที่ตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ ฝั่งธนบุรี ถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ริมแม่น้ำอย่าง โรงแรม Theatre Residence และร้านอาหารกึ่งคาเฟ่ที่มีชื่อว่า “Theatre Cafe Restaurant” มุมหลบร้อนชั้นดีของย่านวังหลังแห่งนี้ยังไงล่ะ สำหรับใครที่หลงใหลวิถีชีวิต ศิลปะ และวัฒนธรรมของเมืองเก่า  อยากหม่ำบรันช์ที่เสิร์ฟได้ตลอดวัน และอาหารไทยรสอร่อย เราแนะนำให้ปักหมุดแล้วหาวันหยุดมาแวะเวียนที่นี่ได้เลย       แม้รอบนอกจะยังคงสภาพแวดล้อมแบบดั้งเดิมของเมืองเก่าสุดคลาสสิค แต่ด้านในของ Theatre Cafe Restaurant นั้นช่างแตกต่าง ตัวร้านแบ่งโซนคาเฟ่ และร้านอาหารเอาไว้เป็นสัดส่วน ทันสมัยด้วยการตกแต่งที่เน้นสีขาวดำ ทำให้ดูเรียบโก้ โซฟาสีเทา เข้ากันได้ดีกับเฟอร์นิเจอร์แบบมินิมอล โซนเอ้าท์ดอร์มีสายลมเย็นสบายพัดผ่านมาเป็นระลอกๆ นั่งมองความงดงามของพระบรมมหาราชวัง และแม่น้ำเจ้าพระยาผืนใหญ่ได้อย่างถนัดตา เพลิดเพลินไปกับเมนูต่างๆ ที่แสนจะน่าประทับใจ อาทิ       ข้าวผัดน้ำพริกปลาดุกฟู ข้าวหอมมะลิหุงสุกกำลังดี ผักพร้อมน้ำพริกปลาดุกฟูรสเค็มกลมกล่อม แกมหวานเล็กๆ เผ็ดหน่อยๆ โรยหน้าด้วยเนื้อปลาดุกฟูกินเพลิน เสิร์ฟพร้อมไข่ต้มสุดอิ่มเอม     ส่วนใครที่กำลังมองหาอาหารเช้าต้องนี่เลย Blueberry Pancake แพนเค้กโฮมเมด เนื้อนุ่มฟู ส่งกลิ่นหอมมาแต่ไกล ไปกันได้ดีกับรสเปรี้ยวอมหวานของบลูเบอร์รี โรยหน้าด้วยน้ำตาลไอซิ่งอีกที ดูแล้วช่างน่ากินเสียนี่กระไร     จิบพร้อม Jasmine Iced Tea ชาไทยรสเข้มที่เราคุ้ยเคย ผสานกับน้ำลอยมะลิ รสหวานพอดี หอมกลิ่นจัสมินอ่อนๆ ยิ่งจิบยิ่งสดชื่น     และ Peach Soda ไซรัปพีชรสหวานละมุน และน้ำโซดา รวมกันกลายเป็นความซาบซ่าสดชื่น แถมยังมีเนื้อลูกพีชมาให้เคี้ยวเล่นสนุกๆ ด้วยนะ     ตกเย็นไปก็เตรียมจิบค็อกเทลต่อได้เลย!

คาเฟ่แห่งใหม่ใกล้บีทีเอสบางจากนี้มาพร้อมกลิ่นอายของโลกตะวันออกกลางเด่นชัดตั้งแต่เราก้าวผ่านประตูเข้าไป ด้วยซุ้มประตูโค้ง พรมผืนใหญ่หลายสีสันหลากลวดลาย ไล่เรียงจากบนพื้น ไปสู่ผ้าม่านพลิ้ว ๆ บนฝาผนังจนแทบไม่มีช่องว่าง บวกกับโคมไฟหลากสีสันที่ห้อยลงมาจากเพดาน เรียกได้ว่าไม่มีตรงไหนเลยที่ไม่อาหรับ       แฟน ๆ อะลาดินน่าจะคุ้นหูกับชื่อนครอัคราบาห์เป็นอย่างดี เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นที่มาของแรงบันดาลใจในการทำคาเฟ่สไตล์อาหรับขึ้นเป็นแห่งแรกในกรุงเทพมหานคร แต่เมื่อนำเอาการออกแบบสไตล์ตุรกี-โมร็อกโกเข้ามาเสริม เลยทำให้บรรยากาศของร้านไม่กลายเป็นโลกการ์ตูนจนเกินไป แต่ก็ยังคงเสน่ห์เอาไว้ได้อย่างมหัศจรรย์     ในส่วนของเมนูอาหารต่าง ๆ จะออกแนวตะวันตกฟิวชั่น เช่น สปาเกตตี สเต๊ก พิซซ่า และสลัดต่าง ๆ เพราะเครื่องเทศของตะวันออกกลางนั้นมีกลิ่นชัดเจนที่คนไทยไม่นิยมเท่าไรนัก แต่ทางร้านก็ยังมีโรตี ทั้งแบบคาวและหวานมานำเสนอ ให้ยังมีกลิ่นอายของโลกตะวันออกกลางอยู่บ้าง     เพราะฉะนั้นเราจึงเริ่มต้นด้วยเมนู Agrabah Roti โรตีสอดไส้ชีส เบคอน และไข่ ชิ้นใหญ่หนานุ่ม จิ้มซอสมะเขือเทศหรือซอสพริกจะยิ่งสมบูรณ์แบบ     แต่ถ้าอยากได้รสชาติจัดจ้านขึ้น ยำไก่ฉีกหม่าล่า ก็เป็นตัวเลือกที่น่าลองไม่น้อย ด้วยเนื้อไก่ฉีกคลุกเคล้ากับพริกหม่าล่ารสชาติเผ็ดกำลังดี     ต่อด้วยของหวาน โรตีกล้วยหอม ยิ่งได้ชาร้อนมาจิบคู่ด้วยจะยิ่งได้อรรถรสมากยิ่งขึ้น เพราะเสิร์ฟมาในกาน้ำชาสุดหรูหราสไตล์ตุรกี มีให้เลือกหลากหลายกลิ่น ในครั้งนี้เราได้ลิ้มลอง ชาดอกคำฝอย ได้กลิ่นหอมละมุนและรสชาติหวานเบานิดๆ ดื่มง่าย หรือถ้าอยากเพิ่มความสดชื่น เสาวรสอัญชัน ซึ่งเป็นหนึ่งในเมนูขายดีที่สุด ก็ให้รสชาติเปรี้ยวจากน้ำเสาวรสเข้ากันได้อย่างน่าทึ่งกับความหอมหวานของน้ำอัญชัน         เพื่อให้ได้อรรถรสราวกับท่องโลกอะลาดินมากขึ้น ที่ร้านมีบริการเครื่องประดับอาหรับทั้งผ้าคลุมหัว หมวก มงกุฎ สร้อยคอ และเครื่องประดับศีรษะ จัดไว้ให้เลือกหยิบสวมใส่ถ่ายภาพเข้ากับฉากของร้านได้เลยฟรีๆ  

สิ้นสุดการรอคอย ในที่สุด “คาเฟ่ คิทสึเนะ” (Café Kitsuné) คาเฟ่สัญชาติฝรั่งเศส-ญี่ปุ่นก็เผยโฉมสาขาแรกในไทยแล้วที่ชั้น G The Emquartier ในพื้นที่เดียวกับร้าน Maison Kitsune แบรนด์แฟชั่นระดับโลกที่หลายคนหลงรักพร้อมโลโก้สุนัขจิ้งจอกมาดเท่ที่ซุกซ่อนอยู่ทั่วร้าน     คงต้องบอกว่าความเก๋ของคาเฟ่ คิทสีเนะนั้นครอบคลุมทุกพื้นที่ตั้งแต่กำแพงไม้ลายเชฟรอนสีน้ำตาลวอลนัต มีโต๊ะให้นั่งรับลมด้านนอกเฉกเช่นชาวปารีเซียงที่นั่งดื่มกาแฟในบรรยากาศสบายๆ ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากสาขา Palais Royal ประเทศฝรั่งเศส ในขณะที่ด้านในแอบใส่กิมมิกไทยๆ ด้วยบานไม้ฉลุเป็นฉากกั้นทำจากชานอ้อย ล้อไปกับเก้าอี้ที่ทำจากไม้ไผ่ ที่นี่เราจะได้มองเห็นทีมบาริสต้ารังสรรค์เมนูพิเศษที่สื่อสารความเป็นฝรั่งเศส ญี่ปุ่น และไทยได้อย่างน่าสนใจ และมีให้ชิมเฉพาะในบ้านเราเท่านั้น       เริ่มด้วยแก้วแรก Fox Latte หนักแน่นแต่นุ่มนวลด้วยกาแฟเบลนด์พิเศษจาก 3 แหล่งทั้งนิคารากัว ซัลวาดอร์ และกัวเตมาลา คั่วที่โรงคั่วคิทสึเนะเมืองโอกาย่าม่า แล้วหมักกับเปลือกของโกโก้จากเชียงใหม่ ด้านบนโรยเปลือกโกโก้อบแห้งเพิ่มลูกเล่น แล้วเพิ่มความสนุกด้วยการสั่ง Fox Shortbread คุกกี้รูปคุณหมาจิ้งจอกอบใหม่มากินคู่กัน Uji Fizz มัทฉะจากเมืองอูจิเกรดพรีเมี่ยมที่ใช้ในพิธีชงชา มีกลิ่นหอมและรสเปรี้ยวสดชื่นจากน้ำส้มยูซุ เมืองยานากาว่า และกลิ่นหอมอ่อนๆ จากลูกพีชญี่ปุ่น         และแก้วสุดท้าย La Fleur  สะท้อนความหรูหราแบบฝรั่งเศส ด้วยไซรัปที่ขึ้นชื้อเรื่องความหอมอย่าง Elder Flower เพิ่มความละมุนด้วยเฟรนช์วานิลลา และความสดชื่นจากส้มตกแต่งด้วยดอกไม้สีขาวและใบเลมอนไธม์     เก๋ไก๋สมการรอคอย

Glück ในภาษาเยอรมันหมายถึง ความสุข ความโชคดี และความเบิกบานใจ คาเฟ่แห่งใหม่ในย่านทองหล่อแห่งนี้ก็เป็นเสมือนแหล่งรวมความสุขแห่งใหม่ แต่เตือนไว้ก่อนว่าคุณจะไม่เจอขาหมูเยอรมันหรือไส้กรอกเยอรมันที่นี่แน่นอน     คาเฟ่สไตล์ตะวันตกแห่งนี้คัดสรรวัตถุดิบออร์แกนิกที่ดีที่สุดจากทั่วประเทศไทย รวมถึงต่างประเทศ ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจของคุณ Christina Grawe นักข่าวชาวเยอรมันที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานกว่า 16 ปี ที่อยากมีคาเฟ่ที่มอบแต่สิ่งดี ๆ ให้กับทุกคน “เราไม่อาจพูดได้ว่าเราใช้วัตถุดิบออร์แกนิกทั้งหมด แต่เราพยายามจะใช้ให้มากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้” เธอบอก     นอกจากนั้นคือบรรยากาศที่เป็นมิตรกับครอบครัว เด็ก ๆ ไปจนถึงหนุ่มสาวชาวออฟฟิศ จะเห็นได้จากมุมเด็กเล่นที่มีทั้งเปลนอน ของเด็กเล่นครบครัน อีกด้านหนึ่งก็มีบาร์ติดหน้าต่างบานใหญ่พร้อมปลั๊กไฟให้คนได้เข้ามานั่ง ผนังข้าง ๆ มี “โยลันดา” ภาพวาดวัวหลากสีสันประดับอยู่ทำให้ร้านไม่ดูโล่งจนเกินไป แถมมองออกไปยังมีวิวพื้นที่สีเขียวซึ่งเราไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นในย่านทองหล่อ     กาแฟของ Glück จะใช้เมล็ดคั่วกลางและเข้มจากภาคเหนือของประเทศไทย ทำให้กาแฟแต่ละแก้วนั้นเข้มข้นหอมกรุ่น แถมยังมีนมวัว นมถั่วเหลือง และนมอัลมอนด์ให้เลือกใส่กาแฟตามใจชอบโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆ     เริ่มต้นด้วยอาหารมื้อเช้าสุดคลาสสิกคู่ครัวชาวเยอรมัน Schnittchen แซนด์วิชสไตล์เยอรมัน ตัวซิกเนเจอร์ของร้านมีชื่อว่า Berlin ที่ประกอบไปด้วยขนมปังซาวโดวจ์ทาเนย แฮม ชีส แล้วโปะหน้าด้วยไข่ทอด คริสติน่าบอกกับเราว่าเมนูนี้ก็เหมือนกับ ข้าวมันไก่ที่คนไทยมักจะกินกันในตอนเช้า     ส่วนอีกตัวเลือกที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันคือ Brotchen ขนมปังสไตล์เยอรมัน เสิร์ฟพร้อมเนย ผลไม้ และสามารถเลือกท็อปปิ้งได้ตามใจชอบ 3 อย่าง ซึ่งขนมปังนั้นมีทั้งซาวโดวจ์ ขนมปังเซซามิ และขนมปังเชียบัตต้า ส่วนท็อปปิ้งนั้นน่าสนใจมากด้วยวัตถุดิบที่ดีต่อสุขภาพจริง ๆ เช่น พีนัทบัตเตอร์โฮมเมด ชีสนมแพะ หมูบดปรุงรส และตับบดสูตรโฮมเมด     ด้วยเจตนารมณ์ที่อยากให้ร้านเป็นพื้นที่สำหรับเด็กด้วย นอกจากโซนเด็กเล่นแล้ว ก็ยังมีอาหารสำหรับเด็กแบบง่าย ๆ เช่น พาสตาเส้นลูกหมีเสิร์ฟพร้อมกับซอสมะเขือเทศโฮมเมด แถมนมร้อนหรือ Babycino โรยมาร์ชแมลโลว์เหมาะสำหรับคุณหนูตัวน้อย       คนเยอรมันกินมันฝรั่งเสมือนคนไทยกินข้าว อาหารกลางวันยอดนิยมจึงเป็น Potato Salad เมนูประจำชาติที่ผสมผสานระหว่างมันฝรั่งออร์แกนิก แตงกวา และผักชีลาว ให้รสชาติสดชื่นทานเล่นได้ง่ายๆ     แอปเปิ้ลก็เป็นผลไม้ที่ชาวเยอรมันนั้นแสนโปรดปราน เพราะฉะนั้นขนมหวานตัวเด็ดของร้านจึงเป็น Apple Crumble สูตรของคุณยาย ที่การันตีเลยว่านี่คือรสชาติแบบออริจินัลจริง ๆ  มีสูตรใส่กรอบรูปติดผนังโชว์กันให้เห็น     และแอปเปิ้ลยังเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มยอดฮิตช่วงฤดูร้อนในเยอรมนีชื่อว่า Apfelschorle น้ำแอปเปิ้ลโซดารสเปรี้ยวนิดหวานหน่อยโดยไม่พึ่งน้ำตาล มาพร้อมความซ่าแสนลงตัว หรือจะลองเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอย่าง Strawberry Water Kefir Soda ที่ให้ความซ่าคล้ายคอมบูชาแต่ว่ารสชาติเบาและดื่มง่ายกว่า       เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์สำหรับคนรักสุขภาพจริงๆ

ยกให้เป็นคาเฟ่น่านั่งแห่งท่าน้ำวังหลัง สำหรับ N10cafe’ คาเฟ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรมบ้านวังหลังริเวอร์ไซด์ ที่หากใครเคยแวะมาเยือนก่อนหน้านี้ก็คงสังเกตได้ว่าที่นี่เพิ่งแปลงโฉมใหม่ตั้งแต่ภายในร้านเรื่อยไปถึงโซนริมน้ำด้านนอกให้มีพื้นที่กว้างขวางนั่งสบาย แต่ในขณะเดียวกันก็ยังใช้โทนสีที่ให้ความรู้สึกเรียบเท่อย่างสีดำและสีอิฐเป็นหลัก มีกิมมิกไทยๆ เป็นหมอนอิงสามเหลี่ยมล้อไปกับคาแรกเตอร์ของโรงแรม         ที่ร้านเสิร์ฟทั้งอาหารไทยและตะวันตก รวมถึงเครื่องดื่มและเบเกอรี่อบใหม่ แต่ที่นับเป็นไฮไลต์คงต้องยกให้เค้กที่ผลัดกันมาโชว์โฉมในแต่ละวัน แนะนำ Macadamia Cheese Pie ชั้นล่างเป็นพายกรุบกรอบ เราชอบที่เนื้อชีสเค้กไม่แน่นเกินไป เมื่อเจอกับความมันของแมคคาดาเมียและรสหวานจากคาราเมลแล้วไปด้วยกันได้ดี     Red Velvet Cake เค้กสีแดงสวยสลับชั้นกับครีมชีสให้รสหวานซ่อนเปรี้ยว หรือจะลอง Blueberry Cheesecake ก็น่าจะถูกใจคนรักชีสเค้กเป็นพิเศษ       ส่วนเครื่องดื่ม ห้ามพลาดแก้วนี้ Triple Choc Crunchy รวมช็อกโกแลตที่หลายคนโปรดปรานไว้ในแก้วเดียว ทั้ง Hershey’s , Ferrero Rocher และ KitKat นำมาปั่นจนเข้มข้นแบบคูณ 3 แล้วเพิ่มความละมุนด้วยวิปครีมด้านบน อย่าพลาดเมนูใหม่ Ruby Tight ใช้ไซรัปโฮมเมดจากสตรอว์เบอร์รี่และกระเจี๊ยบรสเปรี้ยวอมหวานผสานกับความซ่าจากโซดา       จิบแล้วชื่นใจหายเหนื่อย

ชวนไปซึมซับบรรยากาศของวันวานที่ ‘My Grandparent’s House บ้านอากงอาม่า’ ในบ้านหลังงามทรงไทยปั้นหยาริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่สร้างตั้งแต่ปี 2472 ของตระกูล “ทังสมบัติ” ซึ่งเป็นเจ้าของน้ำปลาตรารวงทอง ภายในบ้านยังคงเต็มไปด้วยความทรงจำที่เล่าเรื่องผ่านเฟอร์นิเจอร์เก่าและภาพถ่าย มีระเบียงยื่นออกไปริมน้ำสำหรับนั่งรับลม เหนื่อยมาจากไหนมานั่งพักใจที่นี่ก็หายเป็นปลิดทิ้ง       เมนูของที่ร้านส่วนหนึ่งเป็นเมนูประจำบ้าน มีไฮไลต์เป็นของว่างไทยแบบโบราณที่ยังหากินได้ทั้งกระทงทองและข้าวตังหน้าตั้งซึ่งทำเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ และที่เป็นขวัญใจต้องยกให้เซ็ตซิกเนเจอร์ที่มีทั้งเฉาก๊วยเนื้อหนึบ น้ำเก๊กฮวยหวานน้อย และวุ้นมะพร้าวน้ำหอมสูตรอาม่าเสิร์ฟในเข่งเล็กๆ ที่มีเนื้อมะพร้าวอ่อนให้ได้เคี้ยวด้วย       อีกเมนูห้ามพลาดคือขนมจีบหมูต้มแบบโบราณลูกอวบเต็มคำ ไส้แน่นรสกลมกล่อม กินกับน้ำจิ้มจิ๊กโฉ่วที่มีรสเผ็ดนิดๆ ตามด้วยกุ้งโสร่ง กุ้งตัวโตหมักสามเกลอ พันด้วยบะหมี่ไข่อย่างประณีตแล้วนำไปทอด กินร้อนๆ กรอบอร่อย       นอกจากนี้ยังมีขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่นที่มาช่วยดับร้อนอย่างโมจิหยดน้ำ ที่จัดเซ็ตได้น่ารัก ปิดท้ายด้วยเครื่องดื่มสีสวย สตรอว์เบอร์รี่กุหลาบโซดา จิบแล้วได้รสเปรี้ยวอมหวานจากซอสแยมสตรอว์เบอร์รี่ มีกลิ่นหอมจากไซรัปกุหลาบและความซาบซ่าจากโซดา      

คนรักชาที่เบื่อเมนูชาเดิมๆ ที่ดื่มกันทุกวันและอยากลองความอร่อยแปลกใหม่ เราแนะนำให้มาเช็กอินที่ "Brew Bar" ร้านชาน้องใหม่สุดครีเอตสไตล์ Experience Tea Bar บนชั้น 3 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว ที่พร้อมเสิร์ฟเมนูชาและเครื่องดื่มสุดเก๋ไก๋ที่บอกเลยว่าไม่ใช่แค่หน้าตาสวยงามน่ากิน แต่รสชาติยังอร่อยสร้างสรรค์ไม่เหมือนใครสมกับสโลแกน “ไม่เคยชาแบบนี้มาก่อน”       นอกจากจะถูกใจสายชิมแล้ว เราเชื่อว่าร้านนี้ต้องโดนใจสายแชร์ที่ชอบถ่ายรูปเก๋ๆ โดยเฉพาะขั้นตอนการทำแต่ละแก้วที่มีเหล่า Tea Barista ผู้เชี่ยวชาญโชว์ฝีมือให้ชมกันสดๆ  ตลอดเวลา       สำหรับเมนูห้ามพลาดมีทั้ง Thongmanee ชาไทยฟิวชั่นสูตรเด็ด หอมกลิ่นขนมผิง แนะนำให้ลองดื่มด้วยทองม้วนที่วางมาบนแก้วแทนหลอดจะยิ่งอร่อย Gobori ชามะลิผสมส้มยูสุคั้นสด โรยพริกเกลือแซ่บๆ แบบไทยๆ ท็อปด้วยไอศกรีมรสยูสุเปรี้ยวสดชื่น และ Floral ชานมหอมกลิ่นกุหลาบอ่อนๆ มาพร้อมไข่มุกกุหลาบและครีมนมกุหลาบหอมหวานด้านบน      

ใครผ่านไปมาซอยท่านผู้หญิงพหลฯ แต่ยังไม่เคยแวะลิ้มลองอาหารโฮมเมดของร้าน Thee Café ถือว่าพลาดเลยล่ะ เพราะทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และบรรยากาศล้วนชวนให้อยากใช้เวลาชิลไปกับความโฮมมี่ของร้านมาก จะเลือกนั่งในตัวบ้านไม้สีน้ำตาลก็รู้สึกอบอุ่นราวกับอยู่บ้านเพื่อน หรือหากแดดร่มลมตกจะอิงบรรยกาศธรรมชาติใต้ร่มเงาต้นปีปขนาดใหญ่ก็เพลินไม่น้อย     คุณเอ๋- วีระยุทธ คำปัญญา ผู้เป็นเจ้าของร้านเล่าว่าอยากมีร้านที่ไม่ว่าใครเดินเข้ามาแล้วไม่รู้สึกขัดเขิน เข้าง่าย-ออกง่าย รู้สึกได้ถึงความสบายเหมือนอยู่บ้าน แต่สิ่งสำคัญคือรสชาติอาหารต้องอร่อยกว่าที่ทำกินเองในบ้าน คุณเอ๋จึงให้ความสำคัญกับการคัดเลือกวัตถุดิบมาก ยังคงจ่ายตลาดทุกวัน และเข้าครัวปรุงอาหารเอง พิถีพิถันมากแม้กระทั่งข้าวผัดแต่ละชนิดก็เลือกใช้น้ำมันที่ผัดข้าวต่างกัน อย่างข้าวผัดมันกุ้ง (180 บาท) ก็ใช้น้ำมันจากการผัดเปลือกกุ้งนำมาผัดข้าว หรือข้าวผัดเนื้อเค็ม (90 บาท) ก็ใช้มันเนื้อมาเจียวเป็นน้ำมันสำหรับผัดข้าวเช่นกัน       เมนูท็อปฮิตที่ลูกค้านิยมสั่งมาตั้งแต่เริ่มเปิดร้านต้องยกให้ สปาเก็ตตีเบคอนพริกคั่ว (120 บาท) เส้นสปาเก็ตตีคลุกเคล้าพริกคั่วจนหอม เบคอนทอดชิ้นใหญ่กรุบกรอบ ใครชอบกลิ่นหอมของสมุนไพรแนะนำ เพนเนทะเลซอสเพสโต (220 บาท) ที่หอมกลิ่นซอสเพสโตเข้มข้นเคลือบเส้นพร้อมกุ้งและหมึกชิ้นโต อยากกินเมนูเบาๆ ลองสั่ง ซีซาร์สลัด (120 บาท) ที่ได้ผักสลัดสดกรอบอร่อย หรือจะเป็นไก่กรอบซอสเผ็ด (120 บาท) ก็รสชาติดีไม่น้อยหน้าใคร       เครื่องดื่มร้อนแนะนำ Crystal Pink (80 บาท) ชาร้อนสีสวยกลิ่นหอมชวนดื่ม เบลนด์จากรูบาร์บและผลกุหลาบป่า รสเปรี้ยวนำ แต่หากอยากดับร้อนต้องลอง ลาเต้ไซรัปดอกมะพร้าว (95 บาท) หอมน้ำหวานดอกมะพร้าวจางๆ รสชาติกลมกล่อม หรือชาไทยเย็น (70 บาท) ที่ได้กลิ่นชาไทยหอมๆ ผสมกับนมสด หวานอ่อนๆ กำลังพอดี ใครไม่อยากดื่มชากาแฟต้องสั่ง รูบาร์บน้ำผึ้งโซดา (80 บาท) รสชาติดีเรียกความสดชื่นได้ไม่น้อย           อย่าลืมสั่งขนมหวานมาละเลียดความอร่อยไปพร้อมๆ กัน ทั้งแครอตเค้ก (120 บาท) แป้งน้อยหวานน้อยเน้นเนื้อแครอต เลมอนครีมชีสครัมเบิล (120 บาท) รสเปรี้ยวหวานหอมมัน เค้กมะพร้าว (150 บาท)  เค้กช็อกโกแลต (150 บาท) และอีกมากมาย เบเกอรี่ทุกอย่างเน้นใช้วัตถุดิบคุณภาพดีที่ได้คุณผึ้ง-กมลนัยน์ วัฒนะจันทร์ ภรรยาคู่ใจมาช่วยดูแลและปรับสูตรจนได้รสชาติที่ลงตัว       เติมเต็มครบจบทั้งคาว หวาน และเครื่องดื่ม แล้วจะไม่ฟินได้อย่างไร