เรียกว่าสิ้นสุดการรอคอยสำหรับแฟนๆ คาเฟ่ชื่อดังแห่งจังหวัดตาก “เถียงนา Coffee and Bakery Farm” เพราะตอนนี้ Tiengna Viennoiserie” ร้านสาขาแรกในกรุงเทพฯ ของเถียงนามาเปิดให้เราไปลองความอร่อยกันใกล้ๆ ใจกลางซอยสุขุมวิท 39       แม้จะยังไม่ใช่คาเฟ่เต็มรูปแบบที่มีอาหารและเค้กเหมือนที่ตาก (แอบกระซิบว่าในอนาคตไม่นานเกินรอสาขานี้จะมีอาหารและขนมเหมือนที่ตากอย่างแน่นอน) แต่เมนูเด็ดอย่างครัวซองต์กรอบนอกนุ่มในหลากรสชาติที่เคยอบมากถึงเกือบ 2,000 ชิ้นต่อวัน และขนมหน้าตาน่ากินที่เรียงรายละลานตาให้เลือกชิมก็คุ้มค่าแก่การมาต่อแถวรอชิมอย่างใจจดใจจ่อ       คนรักครัวซองต์ห้ามพลาดหนึ่งในเมนูยอดนิยมตลอดกาล A la Framboise ครัวซองต์สอดไส้ราสป์เบอร์รีโฮมเมดรสเปรี้ยวหวานอัดแน่นจุใจ และ Nutella Banana ครัวซองต์ไส้นูเทลลาเข้มข้นหอมหวานมาพร้อมกล้วยหอมหั่นชิ้นเต็มอิ่ม       ถ้าอยากชิมขนมอื่นๆ เราแนะนำ American Donut โดนัตเนื้อแน่นชิ้นโตเคลือบน้ำตาลสไตล์อเมริกัน และ Kouign Amann (กวินนามัน) ขนมฝรั่งเศสสุดคลาสสิก เนื้อขนมกรอบหอมเนย ให้ความรู้สึกเหมือนครัวซองต์เคลือบคาราเมล       ส่วนใครอยากมาจิบเครื่องดื่มเบาๆ ลองสั่ง Yuzu Nitro Cold Brew ใช้กาแฟเบลนด์พิเศษที่ผสมผสานกาแฟของจังหวัดตากและเอธิโอเปีย เพิ่มความเปรี้ยวสดชื่นด้วยไซรัปยูสุ หรือ Matcha Supreme ชาเขียวมัตฉะปั่นเข้มข้น เพิ่มความอร่อยด้วยผงโกโก้และช็อกโกแลตเคลือบขอบแก้ว ซึ่งโดนใจคนไม่ชอบหวานเกินไปแน่นอน    

แฟนรายการ The Next Iron Chef Thailand โดยเฉพาะสายหวานต้องรู้จัก เชฟจี -โชติพัฒน์ ใหลสุวรรณ Executive Pastry Chef แห่งโรงแรม JW Marriot Hotel Bangkok แน่นอน ซึ่งเขายังมีดีกรีเป็น 'เชฟผู้พิชิต' ที่สามารถโค่นเชฟไก่-ธนัญญา เชฟอาหารหวานแห่งรายการ Iron Chef Thailand ได้เชียวนะ       G&C เลยถือโอกาสมาเยือนโลกขนมหวานของเชฟจีที่ Bangkok Baking Company กันสักหน่อย หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ บีบีโค่ (BBCO) นั่นเอง ร้านอาหารที่มีความโดดเด่นเรื่องขนมโฮมเมดหลากหลาย ประกอบด้วย ‘เบเกอรี่’ อบสดใหม่วันต่อวัน ‘เค้กคลาสสิก’ ที่ทุกคนคุ้นเคยกันดี อาทิ เค้กช็อกโกแลต บลูเบอร์รีชีสเค้ก ‘เค้กโมเดิร์ล’ซึ่งเชฟได้แรงบันดาลใจมาจากนักขนมหวานชื่อดังแห่งเมืองอาทิตย์อุทัย เป็นเค้กหลายเลเยอร์ที่มีหลากรสชาติ และรสสัมผัส       ทั้งยังมี ‘เมนูที่เชฟจีใช้แข่งขันในรายการ The Next Iron Chef Thailand’ ให้แฟนๆ ได้ตามมาลิ้มลอง และ ‘เมนูตามฤดูกาล’ ซึ่งเชฟจะรังสรรค์ในช่วงเทศกาลสำคัญๆ เท่านั้น อาทิ เทศกาลคริสมาสต์ วันวาเลนไทน์ เป็นต้น ให้คุณได้เอร็ดอร่อยกับขนมหวานสุดฟิน พร้อมกับเสพบรรยากาศดีๆ ที่ผสมผสานระหว่างความเรียบง่าย และความหรูหราสไตล์ โรงแรม JW Marriot Hotel Bangkok ได้ในทุกๆ วัน     พื้นไม้สีน้ำตาลเข้มอบอุ่น เข้ากับชุดเฟอร์นิเจอร์ไม้ มีหมอนอิงสีเทาช่วยเสริมความสบาย เหมาะจะเอนกายจิบกาแฟแก้วโปรด ตู้โชว์ด้านหน้าเรียงรายด้วยขนมหวาน และเบเกอรี่ที่หุ้มด้วยพลาสติกห่ออาหาร เพื่อความสะอาดอีกขั้น ใครอยากนั่งชิลเสพฟิวธรรมชาติ แนะนำโซนเอาท์ดอร์ ที่นั่งสบายๆ ท่ามกลางสวนเขียวขจี       เริ่มต้นความฟินจากเค้กคลาสสิกอย่าง Carrot Cake (140 บาท) เค้กแครอตแสนอร่อยที่ทำให้เชฟจีคว้ารางวัลหนึ่งในขนมอร่อยที่สุด จากนิตยสารชื่อดังของประเทศสหรัฐอเมริกามาแล้ว เนื้อเค้กแน่นเต็มไปด้วยแครอตและวอลนัทกรุบๆ เคี้ยวสนุก เข้ากันได้ดีกับครีมชีสรสครีมมี ท็อปด้วยลูกชุบรูปแครอตสุดน่ารัก     Raspberry Cheesecake (160 บาท) ชีสเค้กสไตล์อเมริกัน ฐานล่างเป็นแกรมแครกเกอร์กรุบกรอบ ตักกินพร้อมกับครีมชีสฟิลาเดลเฟีย หอมมัน และซอสราสป์เบอร์รี่รสเปรี้ยวอมหวาน ท็อปด้วยผลราสป์เบอร์รี ทั้งยังมีชีสเค้กหลากรสชาติให้สายหวานเลือกฟินอีกด้วย เช่น เชอร์รีชีสเค้ก สตรอว์เบอร์รีชีสเค้ก และบลูเบอร์รีชีสเค้ก     ลองชิมเค้กโมเดิร์นสุดปราณีต อย่าง Peanut Butter Torte (160 บาท) เค้กเนยถั่วเนื้อแน่น ที่เข้ากันดีกับมูสและครัชน์กรุบกรอบ และ Pistachio Chocolate Torte (160 บาท) เค้กนุ่มๆ เนื้อละเอียด ที่ทำมาจากถั่วพิตาชิโอหอมมัน กินพร้อมกับไวท์ช็อกโกแลตรสหวานกลมกล่อม       ไปต่อกันกับ ขนมหวานที่มาจากการแข่งขันในรายการ The Next Iron Chef Thailand บ้าง อาทิ Water Chestnut Mon’t Blanc (160 บาท) มองบลังค์ ขนมฝรั่งเศสที่มีรูปร่างคล้ายๆ กับภูเขาที่ถูกหิมะปกคลุม ภายในประกอบด้วยครีมแห้ว รสหวานกำลังพอดี เค้กมะพร้าวเนื้อฟองน้ำนุ่มๆ และแยมมิ๊กซ์เบอร์รี ราดด้วยซอสใบเตยหอมกรุ่น     Wonderland (150 บาท) ปราสาทขนมหวาน ที่เชฟจีใช้ครันช์เนยถั่วรสหอมหวาน สัมผัสกรุบๆ มาทำเป็นฐาน เข้ากันดีกับมูสช็อกโกแลต ที่มีกะทิรสครีมมีเป็นส่วนประกอบ รสเข้มข้นถึงใจคนรักช็อกโกแลต และเจลลี่รสราสป์เบอร์รีรสเปรี้ยวสดชื่น มีแผ่นช็อกโกแลตตกแต่งให้สวยงามราวกับปราสาทขนมหวาน     เมนูตามฤดูกาล (Seasonal) ก็น่าสนใจ แน่นอนว่ากุมภาพันธ์นี้เป็นเดือนแห่งความรัก เชฟจึงรังสรรค์ขนมหวานสีโรแมนติกที่พร้อมเสิร์ฟตลอดเดือน ได้แก่ Pomme D’Amour (160 บาท) เชอร์รีช็อกโกแลตมูสสีแดงสด ทำเป็นรูปทรงของแอปเปิ้ลแคนดี้ รสเปรี้ยวอมหวานผสานไปกับความหวานมัน มีครัมเบิ้ลสัมผัสกรอบๆ เคี้ยวสนุกอยู่ด้วย     อีกตัวหนึ่งเป็น Blushing (160 บาท) ชีสเค้กฮอกไกโดที่หลายคนชื่นชอบ ให้ความครีมมี รสหวานพอเหมาะ ล้อมรอบด้วยช็อกโกแลตสีชมพูหวานแหวว เข้ากันดีกับซอสมิ๊กซ์เบอร์รี ก่อนกินอย่างลืมบีบไซรัปเชอร์รีที่อยู่ในหลอดรูปหัวใจสุดคิวท์ด้วยนะ     มาถึงไลน์เบเกอรี่กันบ้าง ที่ร้านจะโดดเด่นเรื่องครัวซองต์เป็นพิเศษ ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท อาทิ ครัวซองต์พื้นฐาน อย่าง Butter Croissant (60 บาท) ครัวซองต์รสเนยสด ที่เราคุ้ยเคย กินคู่กับเนย หรือแยมผลไม้ต่างๆ Almond Croissant (80 บาท)  แป้งครัวซองต์หอมกรุ่นกลิ่นเนย กัดพร้อมกับอัลมอนด์กรุบกรอบ และ Laugen Croissant (70 บาท) ซึ่งจะคล้ายๆ กับตัวครัวซองต์เนยสด แต่จะมีกลิ่นของเนยหอมฟุ้งมากกว่า     หันมาทางด้านครัวซองต์แฟนซีกันบ้าง เราเริ่มลองจาก Red Velvet Croissant (90 บาท) ครัวซองต์สีแดงกำมะหยี่ ที่ด้านในอัดแน่นไปด้วยครีมชีสครีมมี ด้านบนมีวิปครีมนุ่มๆ ปกคลุมอยู่มากมาย Nutella Croissant (90 บาท) ก็ขายดี แป้งกรอบนอกนุ่มใน เข้ากั๊นเข้ากันกับช็อกโกแลตรสเข้มข้น หอมกลิ่นถั่ว และสุดท้ายเป็น Key Lime Cream Croissant (90 บาท) ครัวซองต์ไส้ครีมมะนาว รสเปรี้ยวละมุนผสานไปกับความหอมมัน     ใครอยากได้เค้กวันเกิดให้คนพิเศษ BBCO ก็รับทำนะ

อีกหนึ่งร้านครัวซองต์เนื้อหอมต้องมีชื่อ Café Praline by Sweets Cottage Academy คาเฟ่พราลีน คาเฟ่ครัวซองต์สุดฮิตบนถนนเจริญราษฎร์ ย่านสาทร รวมอยู่ด้วย       คาเฟ่พราลีน นี้มีครัวซองต์หลากหลายชนิดให้เราได้ชิมกันแบบจุใจ เบื้องหลังความอร่อยไว้ใจได้เพราะคาเฟ่แห่งนี้เจ้าของเดียวกับ Sweets Cottage โรงเรียนสอนทำขนมชื่อดัง ที่เปิดร้านขนมไว้ให้ผู้ที่สนใจคอร์สเรียนเบเกอรีได้มาลองมาชิมขนมอร่อยๆ ก่อนตัดสินใจสมัครเรียน          นอกจากร้านสวยน่านั่งแล้ว จุดเด่นของครัวซองต์ที่นี่คือสูตรแท้จากประเทศฝรั่งเศสที่มีความกรอบนอก เปลือกครัวซองต์เป็นชั้นฟูสวย เนื้อในนุ่มเหนียว หอมกลิ่นเนย ทยอยอบร้อนๆ ให้กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วร้าน ในแต่ละวันจะมีครัวซองต์หมุนเวียนมาให้ชิม 5-8 ชนิด ที่เราอยากแนะนำได้แก่ Plain Croissant ครัวซองต์เนยสด (85 บาท) อบมาชิ้นสวยงาม เปลือกนอกกรอบเป็นชั้นฟูสวย ไม่กรอบร่วน เนื้อในนุ่มฉ่ำ หอมกลิ่นเนยเน้นๆ      Almond Croissant อัลมอนด์ครัวซองต์ (130 บาท) สอดไส้อัลมอนด์บด โรยด้วยอัลมอนด์สไลด์แบบพูนๆ ชิ้น เคี้ยวแล้วกรุบกรอบหอมทุกคำ     Rocher Chocolate ครัวซองต์ช็อกโกแลต (140 บาท) ครัวซองต์สอดไส้ช็อกโกแลต เคลือบด้วยช็อกโกแลตอีกชั้น รสชาติเข้มข้นของช็อกโกแลตผสานเข้ากันดีกับเนื้อครัวซองค์กรอบหอมกลิ่นเนย     Black Truffle ครัวซองต์ทรัฟเฟิลและชีส (140 บาท) เมื่อเสิร์ฟมาที่โต๊ะสิ่งแรกที่ประทับใจเลยคือกลิ่นของทรัฟเฟิลหอมฟุ้ง ผิวครัวซองต์ด้านนอกกรอบเนื้อในนุ่มเต็มไปด้วยชีส รสชาติเค็มมันพอดี เหมาะกับจับคู่กับกาแฟร้อน     ส่วนเครื่องดื่มนอกจากกาแฟยอดนิยมแล้วที่ห้ามพลาดคือ Tiramisu Latte ทีรามิสุลาเต้ (140 บาท) กาแฟลาเต้ รสเข้มข้น มีกลิ่นหอมของกาแฟ แบบเดียวกับทีรามิสุ Strawberry Creamchesse Frappe สตรอว์เบอร์รี่ครีมชีสเฟรปเป้ (155 บาท) เครื่องดื่มปั่นสีชมพูน่ารัก รสเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นสตรอว์เบอร์รี่     นอกจากครัวซองต์แล้วยังมีเค้กหลากหลายชนิด และขนมปังให้ลองชิมอีกด้วย แนะนำว่าให้ไปช่วงเช้าๆ จะได้ลองกินให้ครบทุกอย่างไปเลย

กดรหัส 0110 เปิดประตูไม้บานใหญ่ เข้าไปในบ้านคุณย่าที่อบอวลไปด้วยความอบอุ่นชวนคิดถึงบรรยากาศเมื่อวันวาน กับคาเฟ่ลับ ๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยประชาราษฎร์บําเพ็ญ 5     ในพื้นที่แห่งความทรงจำเต็มไปด้วยเรื่องราว มารีโนเวทเป็น Hotel + Cafe ในสไตล์วินเทจสุดคลาสสิค  มีความดิบ เท่ ด้วยผนังปูนเปลือย ผนังอิฐ เคาน์เตอร์ไม้ พร้อมนำของสะสมเก่าแก่ อย่างเฟอร์นิเจอร์  แก้วร้อน ถ้วย จานต่างๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์และให้ทุกคนได้เห็น ไม่ว่าจะมองไปมุมใหนก็น่านั่งทั้งหมด เหมาะกับการถ่ายรูปไปอวดเพื่อน ๆ และกิมมิคสุดเก๋ ที่เกิดจากชื่นชอบดูหนัง โดยดูจาก Mood and tone ของภาพยนตร์ ตัวละคร มาสร้างสรรค์เป็นชื่อเมนู       แถมที่นี่ยังจริงจังเรื่องกาแฟอยู่ไม่น้อย ด้วยเมนูกาแฟที่มีให้เลือกอย่างหลากหลาย เมล็ดกาแฟทางร้านใช้เป็น อาราบิก้า 100% ผสมระหว่างคั่วกลางและคั่วเข้มให้รสชาติกลมกล่อมทั้งร้อนและเย็น     เราขอแนะนำเมนู Noah พระเอกสุดหล่อจาก  The Notebook แก้วนี้ได้เป็นการผสมผสานระหว่าง รสชาติเข้มข้นของเอสเปรสโซเข้ากับชาพีช  ดื่มง่าย ให้ความสดชื่นได้เป็นอย่างดี     ต่อด้วย Kathleen Kelly นางเอกสาวจาก You Got Mail ลาเต้ร้อนรสนุ่มนวล  หอมกลิ่นชินนามอนและความหอมหวานของน้ำผึ้ง ชวนให้คิดถึงเทศกาลคริสต์มาสแสนอบอุ่น     The Dude จาก The big Labowski  การรวมตัวระหว่างเอสเพรสโซ่เข้ากับโกโก้ ทอปด้วยครีมนม รสกลมกล่อม  ดื่มง่ายไม่ใช่คอกาแฟก็สามารถดื่มได้     ต่อด้วยเมนูเบเกอรี่โฮมเมดสูตรของคุณแม่ ที่ผันตัวจากเชฟโรงแรมมาทำขนมให้เราลิ้มลองอย่าง New York Cheesecake เนื้อเนียนนุ่มละมุนลิ้น มีรสเปรี้ยวตัดแก้เลี่ยน กินคู่กับสตรอว์เบอร์รี     ถ้ายังไม่จุใจ ต้องลองเมนูพิเศษ (มีขายเฉพาะวันหยุด) ที่อยากแชร์เมนูโปรดสูตรพิเศษจากคุณแม่ มาให้ทุกคนชิม ขนมจีนน้ำเงี้ยวชามใหญ่ รสเข้มข้น ที่อัดแน่นด้วยกระดูกหมู เลือด แคปหมู และผักต่างๆ ยิ่งกินกับขนมจีน ยิ่งเพิ่มความอร่อย     มีทั้งเครื่องดื่ม ขนม และอาหาร ให้กินอิ่มครบจบในที่เดียว

บนถนนนางลิ้นจี่มีตึกแถวไม้สีเข้มสะดุดตา ติดป้ายชื่อ “Brassica” สีทองคลาสสิก ซึ่งเปิดเป็นร้านโดนัทโฮมเมดที่เสิร์ฟความอร่อยมานานกว่า 2 ปี คุณเมย์ – วรนุช เตชะธนะชื่น และเชฟชอง เหวิน (Cong Wen) พาร์ทเนอร์ เชฟฝีมือดีจากประเทศสิงค์โปร์ เริ่มต้นจากการออกบูธขายโดนัทในงานแฟร์ต่างๆ จนได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม ก่อนจะพัฒนาเป็นมีหน้าร้านในปัจจุบัน     ด้านหน้าเป็นกระจกใสบานใหญ่ มองเข้าไปจะเห็นโซฟาหนังสีเลือดหมูสีแดงน่านั่ง เข้ากันกับโต๊ะหินอ่อนที่ตกแต่งด้วยแจกันดอกไม้สดสวยงาม ซึ่งเป็นผลงานของ คุณเมย์เจ้าของร้านที่รักดอกไม้มากพอๆ กับการทำเบเกอรี่ เธอมักใช้บราสิก้า (Brassica) พืชตระกูลกะหล่ำมาจัดแจกันอยู่เสมอๆ นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อร้านแห่งนี้อย่างไรล่ะ     ผนังสีขาวสะอาดตาถูกแซมด้วยภาพเขียนอาร์ตๆ ไปด้วยกันได้ดีกับแสงไฟสีส้มอบอุ่น มีเคาน์เตอร์ไม้กว้างขวาง ที่คุณสามารถนั่งกินโดนัทโฮมเมด คู่กับเครื่องดื่มแก้วโปรดอย่างสบายๆ แถมยังได้มองคุณเมย์ที่ทำโดนัทอยู่เบื้องหน้าได้อย่างถนัดตาแบบเพลินๆ ทั้งยังเคลิ้มไปกับจังหวะเพลงแจ๊สที่ฟังแล้วทำให้รู้สึกผ่อนคลาย     จุดเด่นของที่นี่แน่นอนว่าหนีไม่พ้นเรื่อง ‘โดนัท’ Brassica เลือกวัตถุดิบคุณภาพ บวกกับความพิถีพิถันในการทำ อาทิ หมักแป้งนาน 18 ชั่วโมง เพื่อให้ได้แป้งที่เหนียวนุ่ม ทอดใหม่วันต่อวันกวนไส้เองกับมือ และจะหยอดใส่โดนัทก็ต่อเมื่อมีลูกค้าออร์เดอร์เท่านั้น เพราะหากบีบทิ้งไว้นานๆ แป้งโดนัทจะแฉะ ส่งผลให้ความอร่อยลดลง  จากนั้นนำไปคลุกกับน้ำตาลเบเกอรี่ชนิดละเอียด เพื่อให้ได้เทกเจอร์กรุบๆ เคี้ยวสนุก ใครอยากชิมต้องรีบหน่อย เพราะวางขายวันละ 120 ชิ้น เท่านั้น!       เมนูแรกที่ได้ลิ้มลองเป็น Cream Brulee (80 บาท) ไส้ครีมวานิลลาทำเอง รสหอมมัน หวานไม่มาก เข้ากันได้ดีกับแป้งโดนัทเหนียวนุ่ม ฟูๆ หอมกลิ่นน้ำตาลไหม้อ่อนๆ     ตามมาติดๆ กับ Starwberry jam (80 บาท) โดนัทลูกโตที่ให้สัมผัสนุ่มฟู กัดพร้อมกับแยมสตรอว์เบอร์รีโฮมเมด ที่คุณเมย์ลงมือกวนเองด้วยความตั้งใจ รสเปรี้ยวอมหวาน     Strawberry & Cheesecake (80 บาท) ไส้แยมสตรอว์เบอร์รีกวนเอง จับคู่กับครีมชีสคุณภาพรสครีมมี และแครกเกอร์กรุบกรอบ เข้ากั๊นเข้ากัน เอาใจคนรักช็อกโกแลตด้วย Peanut Butter & Chocolate (80 บาท) เป็นความฟินที่ได้จากการรวมตัวกันระหว่างเนยถั่วหอมมัน และช็อกโกแลตชั้นดีรสเข้มข้น       มาถึงรสขายดีอย่าง Lemon Curd (80 บาท) โดนัทเนื้อเหนียวนุ่ม ที่ภายในอัดแน่นไปด้วยเลมอนเคิร์ด รสเปรี้ยวละมุน กินแล้วไม่เลี่ยนแต่อย่างใด     ไปต่อกันกับรสในดวงใจของใครหลายคน  Palm Sugar Butterscotch (80 บาท) ไส้น้ำตาลโตนดนี้ เชฟได้แรงบันดาลใจมากจากรสไอศกรีมที่ร้าน One dee cafe ใช้น้ำตาลโตนดจากสวนต้นตาลออร์แกนิคที่จังหวัดเพชรบุรี นำมาทำเป็นบัตเตอร์สกอตช์ ได้ความหวานกลมกล่อมจากน้ำตาลโตนด รวมกับน้ำตาลทรายแดง ใครอยากลิ้มลองให้รีบเลย เพราะไส้นี้เขามีจำหน่ายช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ของแต่ละปีเท่านั้น       จับคู่ไปกับเครื่องดื่มขายดีอย่าง Root Beer (95 บาท) รูทเบียร์เย็นๆ รสชาติหวาน ซาบซ่าชื่นใจ     หากนึกถึงโดนัทดีๆ ก็ต้องที่นี่แหละ

เหมือนได้นั่งจิบกาแฟอยู่ต่างประเทศเมื่อได้มา WBD คาเฟ่น้องใหม่ในซอยปรีดีพนมยงค์ ซึ่งโดดเด่นด้วยการตกแต่งร้านสไตล์โรงนาที่รับกับแสงธรรมชาติได้เป็นอย่างดี ชวนให้รู้สึกอบอุ่นและมีชีวิตชีวาเหมาะแก่การมานั่งชิลล์ๆ ในวันหยุด เป็นอีกจุดชาร์ตพลังใจกลางกรุงเทพเลยล่ะ     การตกแต่งของร้านมาในคอนเซ็ปต์ กระต่ายกับหมาป่าล่าดวงจันทร์ เปรียบเสมือนการไล่ตามความฝันของหุ้นส่วนร้านแต่ละคน เป็นที่มาของการออกแบบร้านสไตล์โรงนาที่มีโคมไฟพระจันทร์และก้อนเมฆลอยอยู่ด้านบน ส่วนด้านนอกเป็นโซนสนามหญ้าขนาดย่อม มีจุดเด่นเป็นน้องไก่สุดน่ารักที่เดินเล่นไปมารอบตัวเราอย่างสนิทสนม         เริ่มต้นด้วย Drip Coffee จุดเด่นอยู่ที่ความหลากหลายของเมล็ดกาแฟที่ผ่านการคั่วเองด้วยเครื่องบดคุณภาพ อีกทั้งยังเสิรฟ์มาในภาชนะอันหลากหลาย เพื่อให้ได้ลองชิมและหาความแตกต่างของรสสัมผัส รับรองว่าเมนูนี้จะสร้างความตื่นเต้นให้กับคอกาแฟอย่างแน่นอน         แต่ถ้าใครชอบความนุ่มนวล ต้องลอง Dirty เอสเปรสโซ่ช็อตเข้มข้นที่สกัดจนได้เป็น Coffee Oil แยกชั้นมาบนนมสดเย็นชนิดพิเศษ หอมมันกลมกล่อม       ใครรักกาแฟส้มไม่ควรพลาด Rabbit on the Moon เครื่องดื่มที่ได้ความหอมหวานจากน้ำส้มมาผสมผสานกับเอสเปรสโซ่ช็อต จนได้รสชาติที่แสนลงตัว ดื่มง่ายแถมยังสดชื่น       ปิดท้ายด้วยขนมหวานสำหรับคนรักสุขภาพ Take My Leg บราวนี่เนื้อแน่นไม่ผสมแป้งและเนย ได้รสชาติเข้มข้นจากช็อกโกแลตเต็มคำ หรือจะเลือกเป็น Take My Heart เค้กเรดเวลเวท ไม่ผสมแป้งที่ท็อปมาด้วยผลไม้รสเปรี้ยวตระกูลเบอร์รี กินแล้วได้สัมผัสนุ่มนวล แทบละลายในปาก    

Arteasia Bangkok Cocktail Bar คาเฟ่และบาร์ลับบนนถนนทรงวาด ที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศสุดอบอุ่นจากแสงอาทิตย์ยามส่องลงมาตกกระทบเข้ากับตึกเก่าอายุ 109 ปี อีกทั้งภายในร้านยังเต็มไปด้วยสีสันชวนสะดุดตา ให้ความรู้สึกเหมือนได้นั่งจิบชาอยู่ที่ Light Art Gallery เลยล่ะ       ร้านตั้งอยู่บนชั้นสองของตึกเก่าอายุมากกว่า 100 ปี เมื่อเดินเข้าไปจะพบกับ งานศิลปะกระจก 8 ชั้น ถือเป็นกิมมิกของร้าน รวมไปถึงหน้าต่างทุกบานจะประดับด้วยกระจก สีน้ำเงิน แดงและเหลือง ทำให้เกิดแสงสีที่ดูมีมิติทั่วร้านตลอดวัน ตรงกับคอนเซ็ปต์ “ARTEASIA LIGHT GARDEN”         เมนูแรก Arteasia Afternoon Tea เซ็ตอาหารว่างไทยโบราณยามบ่าย ประกอบไปด้วย ค้างคาวเผือก เผือกทอดรูปสามเหลี่ยมสอดไส้มาด้วยกุ้งแห้งผสมมะพร้าวป่นกินคู่กับน้ำอาจาด อร่อยได้รสชาติหลากหลาย ถัดมาเป็น ข้าวตังน้ำพริกอ่อง ข้าวตังทอดกรอบชิ้นพอดีคำท็อปมาด้วยน้ำพริกอ่องรสจัดจ้าน ชั้นต่อมา เมี่ยงใบชะพลูกุ้งสด หอมกลิ่นสมุนไพร กุ้งตัวใหญ่เต็มปากเต็มคำ ชั้นบนสุดเป็น ปลาแห้งแตงโม แตงโมหวานฉ่ำโรยมาด้วยปลาแห้งกลิ่นหอม กินแล้วสดชื่นคลายร้อน       เครื่องดื่มเราแนะนำ Blue Lagoon ลาเต้รสนวลละมุนที่แยกชั้นมากับไซรัปอัญชันสีน้ำเงินอย่างชัดเจน เพิ่มกลิ่นหอมๆ ด้วยการเบิร์นอบเชยก่อนดื่ม หรือจะเลือกเป็น Molten Rock ชามาเลย์หอมกลมกล่อมผสมผสานมากับน้ำส้มแมนดาริน รสชาตินวลละมุนลิ้น         สำหรับสายหวานต้องลอง Pink Panther นมสตรอว์เบอร์รีปั่นละเอียดที่เติมความหอมด้วยใบมิ้นต์ ดื่มแล้วได้รสชาติหวานหอม และความสดชื่นจากกลิ่นมิ้นต์  

แม้จะเป็นน้องใหม่ในโครงการเสนาเซ็นเตอร์ แต่บอกเลยว่าความอร่อยไม่ธรรมดา เพราะ “Nicky Young Stories” คือร้านขนมที่พร้อมส่งต่อเรื่องราวแสนอร่อยผ่านฝีมือเจ้าของร้าน (หรือที่แฟนคลับรู้จักในนาม “คุณน้า” ของ “แบมแบม” GOT7) ผู้รักการทำขนมเป็นชีวิตจิตใจและสั่งสมประสบการณ์ในครัวของหวานมายาวนาน         ด้วยกระแสตอบรับที่ดีผ่านช่องทางออนไลน์ของร้าน B’Chill ตอนนี้ Nicky Young Stories พร้อมให้เรามาเลือกซื้อขนมและเครื่องดื่มหน้าตาน่ากินในบรรยากาศร้านที่อบอุ่นเป็นกันเอง แถมยังเพิ่มไลน์ขนมออกมาหลากหลายเอาใจคนรักเบเกอรีอีกด้วย           นอกจากคาราเมล คอนเฟลกซ์ เมนูยอดนิยมที่อัดแน่นไปด้วยคอนเฟลกซ์บางกรอบหอมคาราเมล อัลมอนด์ทั้งแบบหั่นแท่งและเต็มเมล็ด (เพิ่มความเคี้ยวเพลิน) เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดฟักทอง และลูกเกดแล้ว เราไม่อยากให้พลาดป๊อปคอร์นที่อร่อยระดับคุณภาพไม่แพ้แบรนด์ดังในราคาเบาๆ มีให้เลือกทั้งรสคาราเมล ชีส สตรอว์เบอร์รี และดาร์กช็อกโกแลต รวมทั้งฟินองเซีย (Financier) ขนมสไตล์ฝรั่งเศสเนื้อนุ่มแน่นหอมเนยและอัลมอนด์           ส่วนคอกาแฟต้องลอง Latte Sala ลาเต้รสนุ่มเพิ่มรสหวานอมเปรี้ยวด้วยไซรัปรสสละ หรือ Java Choc Chip กาแฟปั่นกับโกโก้และช็อกโกแลตชิปหอมหวานกำลังดี เมนูเครื่องดื่มใหม่ที่เพิ่มเข้ามาเอาใจเหล่าคอฟฟี่เลิฟเวอร์       ส่วนสายเฮลต์ตี้ เราแนะนำ Healthy Smoothies สมูทตี้ที่ดีต่อสุขภาพ เพราะใช้ผลไม้สดแช่แข็งปั่นแบบเนื้อๆ เน้นๆ โดยไม่ใส่น้ำแข็งให้เสียรสชาติ โดยเฉพาะ Forever Young ที่มีส่วนผสมของแครอท สับปะรด ส้ม กล้วย และโยเกิร์ต อร่อยแถมยังช่วยให้ผิวสวยและลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย เพิ่มความอิ่มอีกนิดด้วยคุกกี้ธัญพืช ที่ไม่ใส่แป้ง น้ำตาล และเนยยิ่งดีและมีประโยชน์ต่อสุขภาพสุดๆ    

หลีกหนีความวุ่นวายมานั่งผ่อนคลายที่ Lubid Cafe คาเฟ่ที่ซุกซ่อนอยู่ในซอยวิภาวดี42 โดดเด่นด้วยสระน้ำใจกลางคาเฟ่และบรรยากาศเย็นสบายจากลมธรรมชาติ ชวนให้รู้สึกสงบ สดชื่น เป็นกันเอง เหมาะแก่การมานั่งชิลล์เอาต์ พักผ่อนเพลินๆ ในวันหยุด     ตัวร้านตั้งอยู่ใต้ตึกปูนเปลือยสีเทาสุดเท่ ซึ่งเป็นการแชร์พื้นที่กับร้านสักและร้านขายเสื้อผ้าสุดเก๋ โดดเด่นด้วยกำแพงสีเหลืองและสระน้ำสีฟ้าสดใสที่เป็นไฮไลต์วางอยู่ใจกลางของร้าน นอกจากนี้ยังเสริมความมีชีวิตชีวาด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ได้ความร่มรื่นเย็นสบายตลอดวัน ยกให้เป็น Thinking  Space ลับๆ ที่ใครได้มาเยือนจะต้องหลงรัก       เริ่มด้วยเมนูกาแฟซิกเนเจอร์ Espresso Sour Sound เอสเปรสโซ่ช็อตเข้มข้นผสมผสานมากับความเปรี้ยวของน้ำมะนาว เพิ่มความซาบซ่าด้วยโทนิก ดื่มแล้วกระปรี้กระเปร่าสดชื่นไปทั้งวัน     สำหรับใครที่ไม่ใช่คอกาแฟ ต้องลอง Blue Kisses ม็อกเทลที่ได้ความหวานอมเปรี้ยวจากน้ำสับปะรดและไซรัปบลูสกาย เติมความซ่าด้วยโซดา เช่นเดียวกับ Passionate Summer ที่มีส่วนผสมของไซรัปสตรอว์เบอร์รีและน้ำเสาวรส ไม่ว่าจะเลือกแก้วไหนก็ได้ความสดชื่นสุดๆ     มาถึงขนมหวานเราแนะนำ Lemon Cheese Tart เค้กเนื้อแน่นฟู ราดครีมชีสรสเปรี้ยวอมหวาน ท็อปด้วยผลไม้สดอย่าง บลูเบอร์รีและเลมอน หรือจะเลือกเป็น ขนมเปี๊ยะคัสตาร์ดไข่เค็มลาวา แป้งขนมเปี๊ยะเหนียวนุ่ม สอดไส้ด้วยคัสตาร์ดไข่เค็ม หอมมัน ถูกใจสายหวานอย่างเราเป็นที่สุด       ทางร้านยังมี ข้าวหน้าไก่อบ ข้าวสวยนุ่มร้อนเสิร์ฟมาพร้อมน่องไก่ชิ้นโตราดด้วยน้ำซอสหวานหอม กินคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดรสเปรี้ยว อิ่มอร่อยสบายท้อง  

มุ่งหน้าออกจากตัวเมืองที่แสนวุ่นวายมาเตร็ดเตร่แถว ๆ บางนา ย่านที่กว้างใหญ่ไพศาลและซ่อนพิกัดร้านอาหารและคาเฟ่ไว้มากมาย หนึ่งในนั้นคือ “Horme Café ” หรือ “หอม” คาเฟ่ที่แสนอบอุ่นภายในอาคารทรงกลมอันเป็นหนึ่งเดียวกับร้านอาหารบ้านส้มตำ หนึ่งในร้านอาหรชื่อดังที่มีมากกว่า 10 สาขาทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล       หอม คาเฟ่ ตั้งอยู่ท่ามกลางสวยสีเขียวและผนังร้านสีน้ำตาลอ่อน ๆ ทำให้ได้บรรยากาศเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจริง ๆ พื้นที่ด้านนอกนั้นก็เหมาะที่จะพาสัตว์เลี้ยงแสนรักมาวิ่งเล่น ส่วนด้านในก็เหมาะจะนั่งชิลล์ ๆ ค่อย ๆ จิบกาแฟ และนั่งทำงานไปด้วย     ชื่อที่บอกว่าหอมนั้นสะท้อนเอกลักษณ์ของร้านได้เป็นอย่างดีทีเดียว เพราะเพียงแค่เปิดประตูเข้ามาก็จะได้กลิ่นหอม ๆ ของเมล็ดกาแฟชั้นเลิศและกลิ่นเนยฝรั่งเศสสุดพรีเมียมที่ใช้ในการอบครัวซองต์ ที่ต้องบอกเลยว่าทั้งสองอย่างนี้ล้วนเป็นเมนูซิกเนเจอร์ของร้านที่ไม่ควรพลาด     เริ่มต้นด้วยเมนูกาแฟยอดนิยมอย่าง Dirty ที่ใช้เมล็ดกาแฟเบลนด์ของลาว คั่วในระดับเข้ม แก้วนี้จึงมีรสชาติกาแฟที่เข้มข้น คอกาแฟจะไม่ผิดหวังแน่นอน ยิ่งถ้าได้จิบคู่ไปกับครัวซองต์โฮมเมดของร้านจะยิ่งสมบูรณ์แบบ เพราะว่าที่ร้านอบครัวซองต์ใหม่ ๆ หอมกรุ่นจากเตาทุกวัน     หรือถ้าใครมาสายหวาน ต้องเป็น Mixed Berries Croissant ครัวซองต์โฮมเมดกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟคู่กับไอศกรีมวานิลลารสชาติหอมหวานกำลังดี ตัดเลี่ยนด้วยรสเปรี้ยวนิดหวานหน่อยจากเบอร์รี่หลากชนิด เช่น สตรอว์เบอร์รี่และบลูเบอร์รี่ โรยด้วยครัมเบิ้ลวานิลลาเพิ่มความกรุบกรอบเวลาเคี้ยวให้ชวนเพลิดเพลิน     ในช่วงโอกาสพิเศษในเทศกาลแห่งความรัก หอม คาเฟ่ ก็ได้เปิดตัวเมนูเครื่องดื่มสุดพิเศษทั้งหมด 2 เมนู เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลวาเลนไทน์โดยเฉพาะ แก้วแรกคือ Fresh Lychee Soda เครื่องดื่มเพิ่มความสดชื่นที่มาพร้อมกลิ่นหอม ๆ ของลิ้นจี่และเบอร์รี่และความซาบซ่า เหมาะสำหรับจิบคลายร้อนยามบ่ายมาก ๆ อีกแก้วหนึ่งเอาใจคนรักแตงโมโดยเฉพาะกับ Watermalons Frosty น้ำแตงโมปั่นที่เพิ่มความพิเศษเข้าไปด้วยไซรัปกุหลาบที่เหมาะกับช่วงเวลาหวาน ๆ ที่สุด       ใครที่ไม่มีเวลานั่งผ่อนคลายภายในร้านนอกจากบริการในร้านแล้ว หอม คาเฟ่ ยังมีบริการอาหารและเครื่องดื่มแบบ Drive-Thru อีกด้วย เรียกว่ามีบริการที่ครบครันจริง ๆ  

จากความคิดสร้างสรรค์ที่อยากนำสิ่งหนึ่ง (X) กับสิ่งหนึ่ง (Y) มาเจอกัน โดยมองหาจากสิ่งใกล้ตัวและสิ่งที่สนใจมาเล่าเป็นเรื่องราวใหม่ๆ จนเกิดเป็นคาเฟ่ XXXYYY หรือที่คุณหลิง - คุณไนน์เรียกกันว่า Coffee: Project Space ร้านกาแฟที่เกิดจากการหยิบเอากาแฟและงานดีไซน์มาอยู่รวมกันอย่างลงตัว ที่นี่จึงไม่ได้เป็นเพียงคาเฟ่ แต่ยังมีพื้นที่จัดแสดงงาน ให้ทุกคนมาพบปะพูดคุย จิบกาแฟ เสพงานศิลป์ หรือใช้เป็นพื้นที่นั่งทำงานไปด้วยกัน       ด้วยทำเลของร้านที่ตั้งอยู่ในละแวกอุตสาหกรรม ภายในร้านจึงตกแต่งเป็นแนว Industrial แต่มีความ Friendly เข้าถึงง่ายมากขึ้น ชั้นบนเป็นพื้นที่สีขาวโล่ง ๆ สำหรับจัดแสดงงานศิลปะ ส่วนชั้นล่างมีความดิบ เท่ ด้วยผนังปูนเปลือย พร้อมเพิ่มสีสันด้วยเฟอร์นิเจอร์ลอยตัว เป็นวัสดุจากโรงงานของครอบครัว พื้นที่ตรงกลางมีต้นไม้เพิ่มความร่มรื่น ตรงเข้าไปด้านในสุดจะเป็นเคาน์เตอร์ให้เราได้สั่งเครื่องดื่มและเบเกอรีได้ในแบบที่เราชอบ       เราขอแนะนำ Moulded Coffee พานาคอตต้าเนื้อนุ่ม ราดด้วยเอสเพรสโซ่ช็อตรสเข้มข้นที่มาพร้อมความพิเศษด้วยกลิ่นหอม ๆ ของรัมเรซิ่น ตักกินคู่กันฟินไม่น้อย     หรือจะลอง Sip and Crisp เมนูซิกเนเจอร์ที่ครีเอทมาจากชื่อเบลนด์คุกกี้แอนด์ครีม การเจอกันของ 3รสชาติ 3 สัมผัส ชั้นล่างเป็น Black Coffee ตามด้วยครีมนมนุ่มๆ ด้านบนสุดท็อปด้วยครัมเบิ้ลกรุบกรอบ แนะนำให้ยกดื่มจะได้สัมผัสเข้ากันอย่างลงตัว     Lemon Pound Cake เลม่อนเค้กโฮมเมด เนื้อแน่นราดซอส Glaze เสิร์ฟพร้อม candy lemon slice รสหวานอมเปรี้ยว กินไปจิบกาแฟไปก็เข้ากันดีไม่น้อย     และ Streusel Sour Cream Cake เค้กวานิลลาหอมหวาน ท็อปด้วยชินนาม่อนครัมเบิ้ลกรุบกรอบ  เคี้ยวเพลิน กินได้ไม่เบื่อ     นอกจากจะอัดแน่นไปด้วยเมนูสุดแปลกใหม่ไม่เหมือนใครแล้ว ถ้าหากมีไอเดียเจ๋ง ๆ ก็ออกมาแสดงให้โลกรู้ได้เลยบนพื้นที่แห่งนี้

“อั่งเปา” (Ang Bao) ร้านขนมหวานสไตล์ไต้หวันแห่งใหม่ของชั้น 1 สยามสแควร์วัน ที่รับประกันว่าจะช่วยบรรเทาความคิดถึงขนมอร่อยๆ ของไต้หวันได้เป็นอย่างดี หน้าร้านโดดเด่นด้วยโคมไฟสีแดงเข้ากับโต๊ะกลม และไฟนีออนสีสดบนผนังให้เราได้ถ่ายรูปเช็คอินลงโซเชียลกันเพลินๆ           ที่ร้านเสิร์ฟเครื่องดื่มและขนมสุดเฮลตี้ นอกจากเมนูขายดีอย่างชานมไข่มุกไต้หวันรสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นชาแล้ว เรายังชอบเก๊กฮวยนมเจลลี่หอมหมื่นลี้ ความมันจากนมมาเจอกับกลิ่นหอมๆ ของน้ำเก๊กฮวยต้มเอง เพิ่มลูกเล่นด้วยเจลลี่หอมหมื่นลี้ที่ทั้งใสและนุ่มลื่น ส่วนใครไม่ชอบนมจะเปลี่ยนเป็นน้ำเก๊กฮวยใส่เจลลี่หอมหมื่นลี้ก็ชื่นใจไปอีกแบบ         ถัดมาที่ขนมหวาน ที่ร้านมีเมนูเด่นอย่าง Herbal Ice หวานเย็นชื่นใจแบบสุขภาพดี ด้านล่างเป็นเฉาก๊วยเกล็ดหิมะเนื้อละเอียดแล้วท็อปด้วยเนื้อเฉาก๊วยหนึบหนับทำเอง ใส่รากบัว ลำไย ทาโร่บอล และข้าวบาร์เลย์       ส่วนใครโปรดปรานน้ำเต้าหู้เป็นพิเศษ อย่าพลาด Soy Milk Snow น้ำเต้าหู้เกล็ดหิมะเนื้อนุ่มละเอียด เสิร์ฟพร้อมทาโร่บอลที่ทำจากเผือก มันม่วง มันเทศ และใบเตย เจลลี่หอมหมื่นลี้ และไข่มุกหนึบหนับ กินแล้วเข้ากัน       นอกจากนี้ยังมี Honey Maple Bacon เมนูโทสต์ขายดีของทางร้าน เด็ดที่เบคอนทอดกรอบแล้วเคลือบด้วยน้ำตาลให้มีทั้งรสหวานและเค็ม เข้ากับขนมปังกรอบๆ เหมาะกับเป็นของว่างแก้หิว และพุดดิ้งเนื้อเด้งที่มีให้เลือก 3 รสชาติทั้งพุดดิ้งชานมหอมนุ่ม พุดดิ้งเก๊กฮวยที่ได้จากเก๊กฮวยต้มเองอปด้วยเม็ดเก๋ากี้ และพุดดิ้งน้ำเต้าหู้หวานน้อยกินเพลิน         เผลอแป๊บเดียวก็หมดถ้วยแล้ว

ยอมใจให้กับกลิ่นหอมของเบเกอรี่ร้านนี้ที่แค่เดินผ่านก็เลี้ยวเข้าร้านได้แบบไม่ลังเล ที่หนึ่งในใจยกให้ครัวซองต์อบใหม่หอมๆ มากี่ครั้งก็ไม่พลาด โดยเฉพาะ Butter Croissant กรอบนอกนุ่มในด้วยชั้นแป้งที่มากถึง 36 ชั้น มากกว่าครัวซองต์ทั่วไป จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมครัวซองต์ร้านนี้กินแล้วไม่เหมือนที่ไหน ทั้งหนึบและหอมกลิ่นเนยที่แทรกตัวอยู่ในทุกคำ         อีกเมนูคือ Almond Croissant ครัวซองต์สอดไส้ครีมอัลมอนด์หอมมัน มีส่วนผสมของ Dark Rum ที่ชูกลิ่นหอมยิ่งขึ้น ด้านบนโรยอัลมอนด์สไลซ์ที่ได้ทั้งความกรุบกรอบและหอมมันแบบยกกำลัง     แต่ถ้านึกถึงจานหลักร้านนี้ก็มีดีไม่น้อยหน้าไม่ว่าจะเป็น Roulade de poulet ไก่ม้วนยัดไส้ผักโขม สะโพกไก่สอดไส้ผักโขมปรุงรส ซูวีดให้เนื้อนุ่มและคงความฉ่ำไว้ก่อนจะย่างจนหอมฉุย เสิร์ฟพร้อมกับซอสมัสตาร์ด มันฝรั่งอบ สลัด และฟักทองบด     Pasta White Cream Sauce Bacon ใครชอบไวท์ซอสห้ามพลาดเพราะจานนี้ครีมมี่สุดตั้งแต่เคยเจอ ทำให้กินเพลินแบบไม่รู้สึกว่าเลี่ยนเลย    

ยกให้เป็นสวรรค์ของคนรักขนมหวาน แถมบรรยากาศยังหวานฉ่ำเหมือนนั่งอยู่ในสวนเอเดนสมชื่อ  ทางร้านเสิร์ฟความสดอร่อยสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ด ส่วนใหญ่เน้นอาหารจานเดียวกินง่าย แต่ลองแล้วจะหลงรักทุกรายการ           โดยเฉพาะของหวานที่เข้ากับบรรยากาศของร้านที่สุด ได้แก่ Eve Pancake แพนเค้กเนื้อนุ่มเด้ง เคลือบด้วยวิปปิงครีมหนา เสิร์ฟพร้อมเมเปิลไซรัป ตัดด้วยรสเปรี้ยวสดชื่นของสตรอว์เบอรีและบลูเบอร์รี       ช็อกโกแลตลาวา ช็อกโกแลตลาวาเยิ้มๆ รสหวานปนขม เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวานิลลาและสตรอว์เบอร์รี       นอกจากของหวานแล้วร้านนี้ยังมีอาหารจานเดียวอีกด้วย แนะนำข้าวไข่ข้นกุ้ง ไข่ข้นเนียนนุ่มละมุนลิ้นผัดกับกุ้งหั่นชิ้นเล็ก รสชาติกลมกล่อมกำลังดี หากต้องการรสเผ็ดเล็กน้อยจะเหยาะซอสพริกสักนิดก็ได้       อีกเมนูคู่โต๊ะสปาเก็ตตีคาร์โบนาราต้มยำกุ้ง เปลี่ยนจากซอสครีมคาร์โบนาราที่คุ้นเคยด้วยรสจัดจ้านแบบต้มยำกุ้ง เส้นเหนียวนุ่ม ท็อปด้วยเบคอนทอดและไข่แดง       ส่วนเครื่องดื่มอยากให้ลอง Yuzu Mango Iced Tea แค่จิบแรกก็กระปรี้กระเปร่าจากรสชาติของผลไม้และกลิ่นหอมของชา       Lychee Pineapple Frappe เปรี้ยวหวานลงตัว ได้ความสดชื่นเต็มๆ  

TWG หรือ เดอะ เวลบีอิ้ง กรุ๊ป (The Wellbeing Group) เป็นทั้งร้านชาค้าปลีก และทีรูมหรูหราที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2008 โดยมีสายพันธุ์ชาในครอบครองจากทุกๆ ประเทศที่เป็นแหล่งผลิตชามากที่สุดในโลก ไม่ว่าจะเป็นชาผสมที่คัดสรร หรือชาตามฤดูกาลจากไร่ชาปลูกเอง รวมไปถึงอุปกรณ์การชงชาดีไซน์สวยงาม ทันสมัยและประณีต น่าสะสม เหมาะสำหรับซื้อหาเป็นของขวัญให้คนพิเศษอย่างยิ่ง ซึ่งวันนี้เรามีโอกาสมานั่งจิบ TWG Tea ที่ชั้น M แห่งห้าง Siam Paragon     ร้านกว้างขวางไม่แออัด มีกลิ่นอายแห่งความหรูหราเต็มพิกัด แต่ก็คงไว้ซึ่งความเรียบง่าย พื้นกระเบื้องหินอ่อนสีดำแวววาว เฟอร์นิเจอร์ไม้สีน้ำตาลเข้ม และสีเหลืองทอง มีชั้นวางผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของทีดับเบิลยูจี ที อาทิ ใบชาต่างๆ กาน้ำชา ที่พร้อมให้คุณเลือกไว้ครอบครอง     ส่วนใครที่เลือกรับประทานอาหารที่ร้าน คุณจะได้เพลิดเพลินกับทุกๆ เมนูที่เชฟมืออาชีพรังสรรค์ ทั้งอาหารสไตล์ฝรั่งเศสเลิศรส ขนมโฮมเมด และเครื่องดื่มต่างๆ ล้วนมีความพิเศษจากการใช้ใบชาชั้นดีเป็นส่วนผสม ทีเลิฟเวอร์รู้แล้วต้องร้องว้าว! เลยใช่ไหมล่ะ แบบนี้สิถึงเรียกว่า “ห้องน้ำชา” ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ       เรียกน้ำย่อยด้วย Tuna & Rocket Salad ทูน่าคุณภาพย่างจนได้เนื้อสีชมพูสวย สุกกำลังพอเหมาะ ไปด้วยกันได้ดีกับผักร็อคเก็ตรสเผ็ดซ่า ราดด้วยน้ำสลัดงาสูตรพิเศษที่ทำมาจาก ชาโตเกียวและสิงคโปร์ หอมกรุ่น รวมเป็นรสชาติเปรี้ยวสดชื่น     ตามด้วย Duck Confit ขาเป็ดตุ๋นสไตล์ฝรั่งเศส เนื้อนุ่มฉ่ำใน กินคู่กับกะหล่ำปลีแดงตุ๋นสูตรพิเศษ รสเปรี้ยว ผักโขมอบชีสครีมมี มันบดเนื้อเนียนกินเพลิน และซอสมะขามรสหวานอมเปรี้ยว ที่หอมฟุ้งกลิ่นชาคาราเมล     Wagyu Beef Noodle Soup ก๋วยเตี๋ยวเนื้อที่ประกอบไปด้วย เนื้อวากิวชั้นดี ให้สัมผัสนุ่มชุ่มฉ่ำ เส้นเล็กเหนียวนุ่ม และผักต่างๆ อยู่ในน้ำซุปรสนุ่มนวลที่ทำมาจาก น้ำสต๊อกของเนื้อวัว มิ๊กซ์กับชาอู่หลง ที่ส่งตรงมาจากประเทศจีน     ของหวานเราแนะนำ Passion fruit Panna Cotta พานาคอตตา เนื้อนุ่มเด้ง หอมกรุ่นวานิลลา ท็อปด้วยผลไม้สดอย่าง สตรอว์เบอร์รี และองุ่น ล้อมรอบด้วยซอสเสาวรสสีเหลืองสดใส รสเปรี้ยวอมหวาน หอมกลิ่นชาเอิร์ลเกรย์ และชาบลอสซั่มอ่อนๆ     Matcha Nara เค้กชาเขียวหวานละมุน ด้านในประกอบไปด้วยอัลมอนด์กรุบกรอบ ไวท์ช็อกโกแลต และมัทฉะครีมหอมฟุ้ง ถูกใจทีเลิฟเวอร์อย่างยิ่ง     Earl Grey d’Amour เค้ก 3 เลเยอร์ที่รวมความฟินไว้ในชิ้นเดียว อาทิ ชั้นล่างสุดเป็นเฟโยติน แป้งบางกรอบในแบบของขนมหวานฝรั่งเศส ต่อมาเป็นแครมบรูเล รสหวานหอม ที่มีส่วนผสมของชาเอิร์ลเกรย์ฝรั่งเศส ส่วนชั้นบนสุดเป็นเค้กดาร์กช็อกโกแล็ต เคลือบด้วยโกโก้ไซรัปรสเข้มข้น     พร้อมกับจิบ Silver Moon Tea ชาร้อนรสนุ่ม ที่ได้มาจากชาเขียวเบลนด์กับสตรอว์เบอร์รี และวานิลลาฝักใหญ่ และ Vanilla Bourbon Tea ชาแดงไร้คาเฟอีน จากแอฟริกาใต้  ผสมกับวานิลลาฟักใหญ่ห๊อมหอม ชงแบบเย็นจิบคลายร้อนได้เป็นอย่างดี    

Patina ในภาษาอังกฤษนั้นแปลว่าคราบที่เกิดบนพื้นผิวโลหะที่ผ่านกาลเวลามานาน ไม่ต่างจากคาเฟ่ Patina แห่งนี้ ที่ซ่อนอยู่ภายในบ้านหลังเก่าอายุกว่า 200 ปีในย่านตลาดน้อย ท่ามกลางบรรยากาศเปี่ยมด้วยความขลังจากรอยคราบในทุกส่วนของบ้านสมดังชื่อ       บ้านหลังนี้แต่เดิมชื่อว่าบ้านรัชต์บริรักษ์ เป็นเรือนแถวสถาปัตยกรรมจีนที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และถูกทิ้งร้างไว้เป็นเวลานาน หากใครเคยแวะไปเยือนชุมชนตลาดน้อยผ่านเส้นทางตรอกศาลเจ้าโรงเกือก ก็จะสังเกตุเห็นบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างแน่นอน แม้ประตูหน้าร้านจะปิดสนิทราวกับว่าบ้านหลังนี้ไม่มีใครอยู่ แต่เพียงแค่เลี้ยวเข้าซอยแฟลตทรัพย์สินก็จะพบกับทางเข้าด้านซ้ายมือ เปิดต้อนรับเข้าสู่ลานกว้างของบ้านหลังนี้     ปัจจุบันบ้านหลังนี้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “บ้านเหลียวแล” ที่มาจากภาษาอังกฤษคำว่า Real Rare เพราะเป็นบ้านที่ยังอนุรักษ์สถาปัตยกรรมเดิมไว้อย่างสมบูรณ์แบบที่หาชมได้ยาก และล่าสุดนี้ก็เพิ่งแปลงร่างเป็นคาเฟ่และกลายเป็นจุดเช็กอินแห่งใหม่ของย่านตลาดน้อย       บรรดาโต๊ะ เก้าอี้ ที่ตั้งอยู่ในทุก ๆ ส่วนของบ้านหลังนี้ล้วนได้รับการเลือกสรรมาอย่างดีให้เข้ากับบรรยากาศเก่า ๆ ของบ้านจีนราวกับย้อนวันวานไปเมื่อร้อยปีก่อน ในส่วนของคาเฟ่นั้นจะเปิดตั้งแต่เช้าจรดเย็น มีตั้งแต่เมนูกาแฟไปจนถึงเมนูอิตาเลียนโซดาให้ลิ้มลองตามใจชอบ     เริ่มต้นด้วยเมนูกาแฟคลาสสิค อเมริกาโนร้อน กับ ลาเต้ ที่ใช้เมล็ดกาแฟเฮ้าส์เบลนด์ระหว่างเมล็ดกาแฟไทยดอยสามหมื่นและเมล็ดกาแฟบราซิล คั่วกลาง จึงให้รสชาติที่กลมกล่อม ไม่เข้มมากจนเกินไป       แต่ถ้าใครไม่ใช่คอกาแฟ ก็มีตัวเลือก ช็อกโกแลตเย็น สุดเข้มข้นด้วยโกโก้จากประเทศกาน่าที่ให้รสชาติและความหอมแบบนัทตี้ที่แตกต่างจากโกโก้ที่อื่น หรือจะเป็นเมนูชาเขียวร้อน เซ็นเรียวคุ มัทฉะ ชาเขียวมัทฉะร้อนที่ร้านคัดสรรชาระดับพรีเมียมส่งตรงมาจากประเทศญี่ปุ่น ได้รสชาติชาเขียวละมุนละไม พร้อมกลิ่นหอมๆ     อีกเมนูแนะนำต้องยกให้กับ ไทยเดิม เครื่องดื่มไซรัปเสาวรสและใบเตย รสชาติหวานอมเปรี้ยวพร้อมด้วยกลิ่นหอม ๆ จากใบเตย ผสมผสานกับความซ่าของน้ำโซดา ทำให้แก้วนี้เหมาะสำหรับดับกระหายคลายร้อนมากๆ     สำหรับของหวานที่เหมาะจำสั่งมารับประทานคู่กับเครื่องดื่มแก้วโปรด เมนูแรกนั้นได้แก่  Éclair café Chocolate เอแคลร์ฉบับต้นตำรับ สอดไส้ซอสช็อกโกแลตแน่น ๆ เนื้อแป้งกรอบนอกฉ่ำใน     Lemon Tart ก็เป็นอีกเมนูน่าลองสำหรับใครที่อยากได้ของหวานรสเปรี้ยวให้ความสดชื่น เพราะเลมอนทาร์ตชิ้นนี้หวานน้อย ได้รสเปรี้ยวของเลมอนเต็มคำ     เครื่องดื่มก็มี เบเกอรี่ก็มา แถมยังได้บรรยากาศของบ้านเก่าแสนมีเสน่ห์ และในอนาคตกำลังจะเปิดเป็นร้านอาหารสไตล์เอเชียนทวิสต์กับบาร์ในช่วงเย็นอีกด้วย อดใจรออีกไม่นาน

Pennii Popcorn Café คาเฟ่ป็อปคอร์นของคุณหญิง พรพิมล ปักเข็ม ผู้มีใจรักขนมหวานมาตั้งแต่ไหนแต่ไร จนมีโอกาสไปร่ำเรียนการทำขนมที่โรงเรียนสอนการประกอบอาหาร เลอ กอร์ดอง เบลอ แห่งประเทศฝรั่งเศส และได้ริเริ่มการทำ “ป็อปคอร์นโฮมเมด” จากวัตถุดิบคุณภาพ จนกลายมาเป็นรสชาติต่างๆ ออกจำหน่ายช่องทางออนไลน์ และพัฒนามาเป็นเพนนี คาเฟ่ ที่มีคอนเซ็ปต์ "Everthing is Popcorn"       แน่นอนว่า จุดเด่นของขนมหวานที่นี่คือ ในทุกจานจะเสิร์ฟพร้อมข้าวโพดคั่วชั้นดีแบรนด์ Pennii Premium Popcorn ที่ผลิตมาจากวัตถุดิบคุณภาพ อาทิ เนยแท้จากประเทศฝรั่งเศส วานิลลาจากเกาะมาดากัสการ์ ช็อกโกแลตจากประเทศเบลเยียม และเลือกใช้น้ำมันเมล็ดชาของ “ภัทรพัฒน์” มูลนิธิชัยพัฒนา ซึ่งแน่นอนว่าปราศจากไขมันทรานส์     ครั้งนี้ G&C ได้แวะไปลิ้มลองที่สาขา “สยามพารากอน” ซึ่งตั้งอยู่ชั้น G ทางร้านมีขนมหวาน เครื่องดื่ม และป็อปคอร์นหลายรสชาติให้เลือกชิม ภายในร้านตกแต่งหรูหรา แต่ก็ให้กลิ่นอายของความอบอุ่นสบายๆ มีเฟอร์นิเจอร์สีขาว ครีม และน้ำตาลซึ่งเข้ากันได้ดี ด้านหลังมีกราฟฟิตี้รูปบรรยากาศกลางนครปารีส ที่มาพร้อมกลับตุ๊กตาเพนกวิ้นใส่สูทสีฟ้านีออน น่ารักน่ากอด ซึ่งเป็นมาสคอตที่ทางร้าน สร้างขึ้นมาเพื่อเอาใจสายโซเชียลโดยเฉพาะ เรียกได้ว่าแชะภาพกันอย่างรัวๆ     ต้อนรับด้วยเมนูดาวเด่นอย่าง Toast Pop Cha Thai โทสต์เนื้อนุ่มชุ่มเนยร้อนๆ ราดซอสชาไทยที่เราคุ้นเคยหอมๆ หวานกำลังพอเหมาะ เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมช็อกโกแลต ผลไม้สดอย่างสตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี และป็อปคอร์น     ตามด้วย Popcorn Double Cheese Japanese Cake ชีสเค้กนุ่มฟูๆ สไตล์ญี่ปุ่น เข้ากันดีกับป็อปคอร์นรสชีส และไอศกรีมฮาเซลนัทหวานมัน     ยังมี Popcorn Choc Lava เมนูที่สายหวานเทใจให้รัวๆ เค้กช็อกโกแล็ตลาวาที่เรารัก ซึ่งทำมาจากช็อกโกแลตคุณภาพจากประเทศฝรั่งเศส รสเข้มข้น ผสานไปกับป็อปคอร์นรสช็อกโกแลตจากประเทศเบลเยียม     จิบคู่กับ The Pennin เครื่องดื่มซิกเนเจอร์สดชื่น ที่เป็นการรวมรสชาติระหว่าง ไซรัปสตรอว์เบอร์รี ไซรัปยูซุ เพิ่มความซาบซ่าด้วยน้ำโซดา และให้คุณเพลิดเพลินไปกับบับเบิลป็อปรสสตอรว์เบอร์รี     และ Fresh Friut Soda รสเปรี้ยวอมหวานนี้ได้มาจากน้ำลิ้นจี่ ผสมน้ำเสาวรส และโซดาชื่นใจ  

จากวงเวียน 22 กรกฎาคมมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนไมตรีจิตต์ 350 Station นั้นตั้งอยู่ต้น ๆ ถนน ท่ามกลางตึกแถวขายอะไหล่ในละแวกนี้ดูเหมือนคาเฟ่และโฮมสเตย์แห่งนี้จึงโดดเด่นขึ้นมาด้วยสไตล์วินเทจจัดจ้านไม่เหมือนใคร นาฬิกาหน้าปัดวงกลมด้านหน้าให้บรรยากาศเหมือนรถไฟมาเทียบชานชาลาแล้ว       บรรดาของสะสมแนววินเทจตั้งเรียงรายจนล้นออกมาถึงประตูหน้าร้าน แต่ละชิ้นก็มีเสน่ห์เชิญชวนให้เดินสำรวจไปรอบ ๆ ผ่านบาร์กาแฟและเครื่องดื่มไปจนถึงที่นั่งที่ลึกที่สุดในร้าน ไม่มีตรงไหนที่เว้นว่างไปจากข้าวของเครื่องใช้สไตล์ย้อนยุคเลย ยิ่งมาตั้งอยู่ภายในอาคารห้องแถวที่มีกลิ่นอายชิโน-โปรตุกีส การผสมผสานระหว่างตะวันตกและตะวันออกจึงออกมาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ 350 Station ที่ดูเก๋ไม่น้อย       นอกจากสไตล์ที่ชัดเจน อาหาร ของหวาน และเครื่องดื่มของ 350 Station ก็ไม่ได้น้อยหน้า เริ่มต้นด้วยเมนูสำหรับคอกาแฟอย่าง Cool Drip กาแฟสกัดเย็นที่ใช้เมล็ดกาแฟของลาว คั่วระดับกลางถึงเข้ม ได้กลิ่นหอม ๆ และรสชาติขมเข้มเต็มรสกาแฟ     ต่อด้วย ชาผลไม้รวม รสเปรี้ยวอมหวานจากเหล่าผลไม้นานาชนิด เช่น สตรอว์เบอร์รี่ มะตูม เลมอน กีวี่ และสับปะรด เหมาะสำหรับนั่งจิบคู่กับของหวานเพลิน ๆ อย่างเช่น เค้กช็อกโกแลต เค้กหน้านิ่ม เนื้อแน่นแบบบราวนี่ช็อกโกแลตลาวา รสชาติไม่หวานมาก ค่อย ๆ ละเลียดกินได้ไม่รู้เบื่อ       หรือจะลองจิบชาคู่กับของหวานสไตล์ญี่ปุ่นก็ดีไม่หยอก เช่น Warabi Mochi แป้งเนื้อนุ่มหนึบหนับคลุกเคล้าผงถั่วเหลือง กินคู่กับซอสน้ำตาลทรายแดง หรือไม่ก็เป็นเมนู Mizu Shinegen Mochi หรือที่เรามักได้ยินกันในชื่อว่า โมจิหยดน้ำ รสชาติหวานหอมสดชื่นเสิร์ฟมาพร้อมกับผงถั่วเหลือและซอสน้ำตาลทรายแดงเช่นกัน       ถ้าใครพาลูกหลานมาด้วย ที่ร้านก็มีเมนูนมขวัญใจเด็ก ๆ อย่างแก้วนี้ Caramel Milk นมเย็น ๆ หวานชื่นใจท็อปด้วยวิปครีมเนื้อเนียนนุ่มราดซอสคาราเมล     เข้าสู่อาหารจานหลักกันบ้าง เริ่มต้นด้วยเมนูสไตล์ตะวันตก สปาเกตตีคาโบนาร่า ฉ่ำครีมซอสเข้มข้น รสกลมกล่อมด้วยชีสกับเบคอนแสนลงตัว ปิดท้ายด้วยเมนูรสจัดจ้านสไตล์ตะวันออกกับ ไก่ต้มยำผัดแห้ง รสชาติครบเครื่องสมุนไพรต้มยำ เสิร์ฟคู่กับผักลวกและไข่ออนเซ็น       จะบอกว่ามีดีตั้งแต่เครื่องดื่มไปจนถึงอาหารคาวก็คงจะไม่ผิดนัก ถ้าใครอยากซึมซับบรรยากาศให้นานกว่านี้ บริเวณชั้นบนของคาเฟ่นั้นเปิดเป็นโฮมสเตย์ที่ให้บรรยากาศวินเทจไม่น้อยหน้ากันเลย

Tag: , คาเฟ่,

Fuku x2 Thailand ร้านขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่นในเครือ Fuku Matcha ที่เสิร์ฟชาเขียวและเพิ่มเติมด้วยเมนูของหวานที่มีความแปลกใหม่ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ทั้งในจานซิกเนเจอร์และเมนูตามฤดูกาล ให้เหล่าสวีตเลิฟเวอร์ได้ตามมาลิ้มลองกันแบบไม่รู้เบื่อ ณ ชั้น G ของห้างสรรพสินค้าชั้นนำยักษ์ใหญ่อย่าง Siam Paragon (ตรงข้ามร้าน Another Hound café)       กินขนมหวานสุดฟิน คู่กับชาคุณภาพในบรรยากาศร้านสบายๆ ผสานไปกับความเรียบหรูเล็กๆ พื้นกระเบื้องลายหินอ่อนสีดำตัดกับเคาน์เตอร์บาร์หินอ่อนสีขาวกว้าง มีสีทองเงาวาวของเฟอร์นิเจอร์ช่วยเสริมความหรูหราอีกระดับ บวกกับสีเขียวธรรมชาติของต้นไม้กระถางเล็กๆ ที่เห็นแล้วสร้างความมีชีวิตชีวาไม่น้อย หากชวนเพื่อนๆ หรือคนพิเศษมาที่ Fuku x2 Thailand ก็คงเอ็นจอยกันใช่ย่อยเลย     ว่าแล้วอย่าเสียเวลา เริ่มด้วยเมนูดาวเด่นอย่าง Fluffy Strawberry Pancake แพนเค้กสไตล์ญี่ปุ่น นุ่มๆ ฟูๆ โดนใจวัยทีนส์ 2 แผ่นซ้อนกัน ราดซอสครีมนมฮอกไกโด ผสานกับสตรอว์เบอร์รี รสเปรี้ยวอมหวานครีมมี กินคู่กับสตรอว์เบอร์รีสด และชาร้อนรสนุ่ม       ต่อด้วย Matcha Avalanche เค้กชิฟฟอนเนื้อเนียน ตักกินพร้อมซอสชาเขียวสูตรเฉพาะของทางร้าน รสเข้มข้น ซึ่งทำจากมัทฉะชั้นดีของประเทศญี่ปุ่น และผลไม้สดรสเปรี้ยวอมหวาน อาทิ สตรอว์เบอร์รี และบลูเบอร์รี  เสิร์ฟคู่กับชาร้อน ที่มีให้คุณเลือกลิ้มลองถึง 2 รสชาติ อาทิ Jasmine Tea ชามะลิที่เราคุ้ยเคย หรือ Assam Black Tea ชาดำไต้หวันหอมๆ     The Sweet Strawberry Mini Pancake แพนเค้กไซส์มินิ ขนาดเล็กพอดีคำ เสิร์ฟพร้อมกับผลไม้สด เช่น สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี และซอสครีมนมฮอกไกโดหอมมัน และซอสสตรอว์เบอร์รี รสเปรี้ยวอมหวานสดชื่น  

  ช่วงเวลาไม่กี่นาทีที่เรานั่งเรือข้ามฟากจากวัดปากคลองอุดมมุ่งตรงสู่ท่าเรือโรงสี สตูดิโอ เกาะเกร็ด  ความรู้สึกเหมือนกับว่าเข็มนาฬิกาได้หมุนทวนกลับสู่อดีตกว่า 100 ปี แม้ภาพที่ปรากฏตรงหน้าจะเป็นร้านอาหารและคาเฟ่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ผ่านการรีโนเวตจนสวยงามชวนนั่ง แต่กลิ่นอายความมีชีวิตชีวาของอดีตโรงสีไทยอุดมยังคงอบอวลอยู่ทุกอณู โรงสีข้าวพลังไอน้ำเก่าอายุกว่า 100 ปีแห่งนี้ได้รับการดูแลรักษาอย่างดีทั้งโครงสร้างอาคารเดิมจากไม้สักโบราณ รวมทั้งอุปกรณ์เกี่ยวกับการสีข้าวเพื่อให้คนรุ่นหลังได้ชม           การตกแต่งภายในจึงล้อไปด้วยกันทั้งเฟอร์นิเจอร์ไม้หลากหลายสไตล์ทั้งแบบวินเทจและแอบโมเดิร์นนิดๆ และด้วยพื้นที่กว้างขวางกว่า 5 ไร่เราจึงเลือกนั่งสบายได้หลายมุม ทั้งโซนด้านในตัวโรงสีสุดคลาสสิก โซนห้องแอร์ชิคๆ และโซนเอาต์ดอร์โปร่งโล่งที่นั่งชมทิวทัศน์ของลำน้ำเจ้าพระยาได้อย่างเพลินใจ           ส่วนอาหารเน้นสไตล์ไทยฟิวชัน บริการครบครันทั้งต้ม ผัด แกง ทอด โดยเฉพาะใครที่มองหาอาหารไทยจานเด็ดปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่นถือว่ามาถูกที่ เพราะมีมากจนอาจเลือกไม่ถูก อาทิ ทอดมันหน่อกะลา ไฮไลต์ของเมนูนี้คือหน่อกะลาวัตถุดิบยอดนิยมของคนพื้นที่ หน้าตาคล้ายทอดมันทั่วไป แต่ที่พิเศษคือความหนึบหนับที่มาพร้อมเนื้อสัมผัสเคี้ยวกรุบสนุกปากยิ่งขึ้น และยังได้กลิ่นหอมของเครื่องสมุนไพร หยิบกินได้ถึงเครื่องถึงรส แต่ถ้าอยากได้ความหวานผสานเปรี้ยวนิดๆ แตะน้ำจิ้มหวานสักหน่อยอร่อยเหาะ     ต่อด้วยยำหัวปลีกุ้งสดสูตรโบราณ นำหัวปลีมาซอยหยาบ ราดน้ำยำปรุงรสเปรี้ยวนำเค็มตาม เพิ่มความหอมมันด้วยหัวกะทิ คลุกเคล้ากับหอมแดง หอมเจียว พริกแห้งทอด ตามด้วยกุ้งลวกตัวใหญ่       อีกเมนูที่ช่วยชูรสชาติให้กับมื้อนี้อีกเท่าตัวคือปลาส้มทอดสมุนไพรโรงสี ปลาส้มคุณภาพจากเจ้าประจำที่ผูกปิ่นโตกันมานาน นำมาชุบไข่ทอดแบบไร้น้ำมันส่วนเกิน รสชาติเปรี้ยวนำเค็มตาม ทอดร้อนๆ กลิ่นหอมมาก จากนั้นเพิ่มรสชาติด้วยหอมแดงซอย พริกสดหั่น พริกแห้งตาม ใครชอบเปรี้ยวจะบีบมะนาวอีกหน่อยก็ได้ อิ่มของคาวแล้วอย่าลืมปิดท้ายด้วยขนมเค้กและเครื่องดื่มเก๋ๆ หลากสีสัน       หากติดใจบรรยากาศสุดผ่อนคลายริมน้ำ ที่นี่ยังแบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นโฮมสเตย์สุดชิคเหมาะกับการพักผ่อนนอนเล่น ดื่มด่ำกับทิวทัศน์โดยรอบ หรือจะออกไปปั่นจักรยานชมวิถีชุมชนชาวมอญบนเกาะเกร็ดก็เป็นช็อตเด็ดที่ห้ามพลาด     วันไหนอยากเปลี่ยนบรรยากาศ “โรงสี สตูดิโอ” ตอบโจทย์ทีเดียว