แม้สถานการณ์ไวรัสในปีนี้จะรุนแรงจนทำให้ร้านแรกบนถนนข้าวสารต้องปิดไป แต่แฟนๆ ของ “เสน่ห์” ร้านขนมไทยร่วมสมัยขวัญใจคนรักของหวานยุคนี้ก็ไม่ต้องเสียใจ เพราะตอนนี้เสน่ห์เปิดบ้านใหม่ใจกลางซอยอิสรภาพ 21 ในสไตล์โฮมคาเฟ่น่านั่งสบายตาที่มาพร้อมบรรยากาศอบอุ่นเป็นกันเอง และเหมาะกับการจัดเวิร์กช็อปสอนทำขนมไทยมากขึ้น       โดย คุณหนุ่น เจ้าของร้านปรับเปลี่ยนบริเวณโรงรถหน้าบ้านให้กลายเป็นพื้นที่ของคนรักขนมไทย ทั้งนักชิมและนักเรียนที่อยากรู้และอยากลองทำขนมไทยโบราณ แต่ใส่ไอเดียให้น่ารักน่ากิน ดูเข้าถึงง่าย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครของเสน่ห์ รวมทั้งเพิ่มเติมเมนูขนมที่เหมาะสำหรับสั่งเดลิเวอรีหรือซื้อกลับบ้าน อาทิ อาลัว โสมนัส และกลีบลำดวน         ด้วยความหอมหวานชวนชิมที่มองแล้วละลานตาเลือกไม่ถูก เราแนะนำให้สั่ง เสน่ห์ Signature Set เมนูซิกเนเจอร์ที่รวมความอร่อยของขนมยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็นเปียกปูนเผือก ทองเอก เสน่ห์จันทร์ สัมปันนี อาลัวดอกไม้ ขนมต้มไส้กะฉีก และเมนูสุดเก๋ที่นำมาตีความใหม่ให้ออกมาหน้าตาน่ากินกว่าเดิม ทั้งบุหลันดั้นเมฆ แป้งนุ่มหนึบ หยอดสังขยาเพิ่มความหวานมัน ขนมเหนียวเสียบไม้แบบดังโงะ ราดคาราเมลน้ำตาลมะพร้าว โรยข้าวพองกรุบกรอบ และขนมถ้วยไข่ดาวสีเขียวสวย หอมใบเตย เติมกะทิสดและสังขยาสีเหลืองนวลให้เหมือนไข่ดาวแสนน่ารัก                   ส่วนใครอยากแวะมาจิบเครื่องดื่มเบาๆ เติมความสดชื่น ที่นี่ก็มี Sane Cocoa & Coco ดาร์กช็อกโกแลตเข้มข้น ใส่นมและน้ำตาลมะพร้าวเพิ่มความหอมหวานกลมกล่อม และ Sane Cold Brew Coffee กาแฟดริปเย็นใส่น้ำตาลมะพร้าว แก้วนี้ก็หอมหวานมี “เสน่ห์” ไม่แพ้กัน    

ยกให้เป็นพื้นที่แห่งความสบายใจ สำหรับร้านบ้าน บ้าน 34 Home Cafe คาเฟ่ที่เหมาะแก่การ ไปนั่งเล่น จิบเครื่องดื่มและกินขนมรสอร่อย ในราคาสบายกระเป๋า โดดเด่นด้วยบรรยากาศสุดร่มรื่นจากบรรดาต้นไม้นานาชนิด ชวนให้รู้สึกสดชื่น อบอุ่นเหมือนได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อน       ทางร้านเน้นเสิร์ฟอาหารสไตล์คอมฟอร์ตฟู้ด อาทิ เมนูอาหารเช้า อาหารกินเล่น ขนมปังหลากหลายรสชาติ และเครื่องดื่มมากกว่า 20 ชนิด เราเลือกเป็น ปังเยิ้ม (59.-) ขนมปังเนื้อนุ่มท็อปมาด้วยชีส เบคอนและไข่เยิ้มๆ จับคู่กับเครื่องดื่มสุดสดชื่นอย่าง มะกรูดโซดา (55.-) รสเปรี้ยมอมหวาน เข้ากันอย่างลงตัว     ต่อด้วย สังขยาทูโทน (39.-) ขนมปังปิ้งหั่นชิ้นพอดีคำ เสิร์ฟพร้อมสังขยาใบเตยและสังขยาชาไทย หอมหวาน รสชาติกลมกล่อม     ของคาวต้องไม่พลาด สปาเกตตีไก่กรอบซอสกะเพรา (89.-) เส้นสปาเกตตีเหนียวนุ่มคลุกเคล้ามากับซอสกะเพรารสจัดจ้าน กินพร้อมเนื้อไก่ ที่ทอดมาได้กรอบกำลังดี อร่อยอิ่มท้อง     ปิดท้ายด้วย ชาไทย (45.-) สูตรพิเศษที่ผสมผสานตัวชาหลากหลายชนิด ออกมาได้รสชาติกลมกล่อม หอมกลิ่นดอกไม้ หรือจะเลือกเป็น Black Ginger (65.-) ที่ดื่มแล้วจะได้ความเข้มข้นจากเอสเปรซโซช็อต และความซ่าของจินเจอร์เอล บวกกับความเปรี้ยวเล็กน้อยของเลมอน สดชื่น ตาตื่นไปทั้งวัน    

ยกให้เป็นหนึ่งในโอเอซิสของคนรักกาแฟแห่งคลองสาน สำหรับ Walden Home Café” โฮมคาเฟ่เล็กๆ สไตล์คลาสสิกวินเทจริมถนนสมเด็จเจ้าพระยา ที่ผลักประตูเข้ามาก็ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในบาร์กาแฟดีๆ ในยุโรป     ไม่เพียงบรรยากาศน่านั่งด้วยโทนแสงไฟแสนอบอุ่น เฟอร์นิเจอร์ไม้และของสะสมของเจ้าของร้านที่เต็มไปด้วยเรื่องราว ไปจนถึงเสียงเพลงเพราะๆ ฟังสบายที่เปิดคลอในร้านจะได้ใจเหล่าคาเฟ่ฮอปเปอร์เท่านั้น แต่ที่นี่ยังพร้อมเสิร์ฟกาแฟรสเลิศแบบ Specialty Coffee ระดับคุณภาพในราคาเป็นกันเองที่รับรองว่าโดนใจคอกาแฟตัวจริงอย่างแน่นอน       โดยเมนูซิกเนเจอร์จะเน้นใช้เมล็ดกาแฟเฮาส์เบลนด์จากลาวและบราซิล คั่วระดับกลาง ให้รสชาติโทนช็อกโกแลต รสชาติกลมกล่อม ดื่มง่าย ส่วนใครเป็นสายกาแฟดริป Walden Home Café ก็มีเมล็ดกาแฟแบบซิงเกิลออริจินจากหลายประเทศทั่วโลก อาทิ เอธิโอเปีย เคนยา หมุนเวียนมาให้ชิมกันเป็นประจำ     เราแนะนำ Cassara Latte ลาเต้เย็นสูตรพิเศษที่ใส่น้ำเชื่อมทำจากเปลือกกาแฟเคี่ยวจนได้ความหอมหวานคล้ายลำไยเชื่อม รสกลมกล่อม หวานกำลังดี Dirty เมนูยอดนิยมที่ผสมผสานนมสดเย็นหอมมันกับริสเทรตโต้เข้มข้นได้อย่างลงตัว และ Yuzugano อเมริกาโนเย็นเพิ่มความสดชื่นด้วยแยมส้มยูซุและโซดา เหมาะกับวันอากาศร้อนๆ เป็นที่สุด         ส่วนใครมองหาของ (หวาน) หนักท้อง ต้องลอง Carrot Loaf เค้กแครอตโฮมเมดเนื้อแน่นฝีมือเจ้าของร้าน บอกเลยว่ากินคู่กาแฟแก้วไหนก็แสนจะฟิน  

ชวนเหล่าคาเฟ่ฮอปเปอร์ไปสัมผัสความอบอุ่นที่ Slowblues Cafe คาเฟ่น้องใหม่ย่านงามวงศ์วาน ของ คุณสอง กฤษฎา นักดนตรีที่หลงใหลในรสชาติของกาแฟคั่วอ่อนและกลาง จนผันตัวมาเป็นบาริสต้าที่พร้อมแบ่งปันกาแฟแก้วโปรดให้กับทุกคน       ภายในร้านเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มตัดกับผนังสีขาว ดูสบายตา เสริมความคลาสสิกด้วยของตกแต่งสุดเท่ อย่างแผ่นเสียง เครื่องเล่นเพลง และเครื่องดนตรี ที่ล้วนเป็นของสะสมสุดรักของคุณสอง ส่วนบริเวณชั้น 2 ทางร้านเปิดเป็นโซน Co-working Space และโซน Listening Space ให้คอกาแฟและคนที่รักในเสียงดนตรีได้มาเสพย์ความสุขในพื้นที่เดียวกัน       นอกจากนี้เหล่าทาสแมวยังสามารถมาเพลิดเพลินกับเจ้าเหมียวน้อย มาเน มาสคอตประจำร้านที่รอต้อนรับทุกคนอย่างเป็นมิตร     ทางร้านมีเมล็ดกาแฟให้เลือกทั้งไทยและต่างประเทศ โดยจะเป็นเมล็ดคั่วอ่อนและกลางเท่านั้น เหมาะกับใครที่ชื่นชอบกลิ่น Floral & Fruity เมนูแรก Imagine (70.-) เมนูลาเต้หรือกาแฟนม ที่เลือกใช้เป็นเมล็ดเอธิโอเปียคั่วอ่อน รสชาติหวานน้อย ได้กลิ่นของดอกไม้ชัดเจน หอมฟุ้งทุกคำที่ดื่ม     ต่อด้วย Slowhand Coffee (150.-) กาแฟดริปที่เราเลือกเป็นเมล็ดโคลอมเบียคั่วอ่อน ที่จะได้กลิ่นหอมของดอกซากุระ รสชาติเปรี้ยวสดชื่น จับคู่กับ Moon River (45.-) มาเดอแลนหรือขนมเปลือกหอยเนื้อนุ่ม รสหวานพอเหมาะ ยิ่งอร่อยลงตัว       หรือจะเลือกเป็น Hey Jude (75.-) ซอฟต์คุกกี้ช็อกโกแลต ขนมขายดีประจำร้าน หน้าตาน่ารัก เนื้อสัมผัสนุ่มหนึบหนับ หอมกลิ่นช็อกโกแลต  

จากตึกเก่าของครอบครัวที่ถูกปิดร้างไว้กลายเป็นที่พักและคาเฟ่สไตล์โฮมเมดด้วยความตั้งใจของทายาทสาวที่หลงใหลในการทำอาหาร ซึ่งผสมผสานความร่วมสมัยกับกลิ่นอายของบ้านคนจีนสมชื่อร้าน Tang Guang Aeum Coffee” ที่นำชื่อของอากงอดีตคนขายกาแฟในวันวานมาประยุกต์กับคำว่าคอฟฟีได้อย่างน่าสนใจ       แม้ความตั้งใจเริ่มแรกคือการสร้างห้องพักน่านอนเป็นหลัก แต่ด้วยเสียงเรียกร้องจากคนรอบข้าง ลอบบีชั้นล่างจึงปรับเปลี่ยนเป็นคาเฟ่โฮมเมดเต็มตัวที่ให้บรรยากาศเหมือนมากินข้าวบ้านเพื่อนสนิทที่แสนเป็นกันเอง         เมนูเด่นห้ามพลาดมีทั้ง Spicy Spaghetti Carbonara สปาเกตตีคาร์โบนาราสูตรเด็ดใส่พริกป่นและซอสศรีราชาเพิ่มความเผ็ดแต่กลมกล่อม กินเพลินแบบไม่เลี่ยน และ Omu Rice with Sour Sweet Sauce ข้าวผัดเบคอน ท็อปด้วยไข่เจียว ราดน้ำซอสรสเปรี้ยวอมหวานที่ทำจากซอสมะเขือเทศ หอมกลิ่นขิงและต้นหอม เป็นเมนูที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอาหารจีนในประเทศญี่ปุ่นที่เรียกว่า เทนชินฮัง       หรือหากแวะมาตอนเช้า เราแนะนำเมนู All Day Breakfast เซตอาหารเช้าที่มีทั้งไข่คน เบคอน ไส้กรอก สลัดผัก และขนมปังปิ้งทาเนย และ Egg Cheese Toast ขนมปังโชกุปังโฮมเมดเนื้อนุ่มแน่น อบกับไข่แดงเยิ้มๆ และชีสหอมมัน       ส่วนสายคาเฟ่ลองแวะมานั่งชิลจิบ Iced Chai Tea Latte ชาไชสไตล์อินเดียที่ร้านต้มเอง หอมเครื่องเทศและสมุนไพรหลากชนิด ผสมกับนมสดหอมมัน ดื่มง่ายไม่ฉุน จะดื่มแบบเบาๆ หรือกินคู่กับครัวซองต์กรอบนอกนุ่มใน หอมเนยฝรั่งเศสก็แสนเพลินใจ    

"The Pattern Cafe" คือโรงงานผ้าเก่าแก่ที่ถูกชุบชีวิตใหม่กลายเป็นคาเฟ่และบูทีคโฮเทลสุดเก๋ในซอยธนบุรี 6 ย่านคลองสาน ซึ่งบอกเลยว่าใครกำลังมองหาที่พักกายพักใจ เติมพลังงานดีๆ ในช่วงนี้ต้องไปเช็กอินสักครั้ง       ความเก๋ของที่นี่ไม่ได้อยู่ที่การออกแบบที่คงกลิ่นอายและความทรงจำของอดีตโรงงานผ้า ทั้งลวดลายแพทเทิร์นผ้ากระเบื้องบนผนัง จักรเย็บผ้าสุดวินเทจ หรือเสาที่หุ้มด้วยแผ่นหนังเย็บมือไล่สีสวย ไปจนถึงมุมต้นกระบองเพชรสุดน่ารักด้านหน้าร้านที่กลายเป็นมุมถ่ายรูปยอดนิยมเท่านั้น แต่ทุกเมนูโฮมเมดของ The Pattern Cafe ยังเต็มไปด้วยรายละเอียดความอร่อยสุดสร้างสรรค์ ความพิถีพิถัน และไม่ธรรมดา       ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มแสนครีเอตอย่าง Sunny Side Up โกโก้ดัลโกนาเข้มข้นท็อปด้วยไข่ดาวสุดน่ารักที่ใช้เทคนิค Molecular Gastronomy ดัดแปลงไข่ไก่ให้ออกมาเป็นวุ้น เพิ่มความอร่อยด้วยวิปครีมกลิ่นวานิลลา (ก่อนดื่มแนะนำให้คนโกโก้กับนมให้เข้ากันเพื่อความอร่อย) และ The Cactus มัตฉะจากฟุกุโอกะปั่นหอมหวาน เพิ่มความเก๋ด้วยช็อกโกแลตต้นกระบองเพชรที่แฝงความกรุบกรอบนิดๆ จากครัมเบิลทองม้วนฝรั่งเศส       ใครมองหาเมนูอร่อยจานเดียวกินง่ายๆ เราแนะนำหมูสับผัดปลาเค็มราดข้าว เมนูยอดนิยมสูตรครอบครัวที่หน้าตาอาจดูธรรมดา แต่แค่บีบมะนาว ใส่พริกสด ก็อร่อยนัวกลมกล่อม กินกับข้าวสวยร้อนๆ หมดในพริบตา และริกาโทนีผัดแหนมใบโหระพา เส้นพาสต้านุ่มหนึบแบบอันดันเต้ ผัดกับแหนมและใบโหระพาเผ็ดนิดๆ กำลังดี       ส่วนส่วนสายหวานห้ามพลาดเค้กแสนอร่อยที่หลายคนติดใจ โดยเฉพาะรสชาติไทยๆ ทั้งเค้กกล้วยบวชชีข้าวหอมอุบล เมนูสุดครีเอตที่ผสมผสานแป้งข้าวหอมอุบล น้ำตาลมะพร้าวเคี่ยว และกล้วยให้ออกมาเหมือนกินกล้วยบวชชีในรูปแบบเค้ก เค้กมะพร้าวข้าวหอมนิล แป้งข้าวหอมนิลออร์แกนิกผสานความอร่อยกับครีมและเนื้อมะพร้าวอ่อน และเค้กเผือกใบเตยมะพร้าวอ่อน ความอร่อยลงตัวของเผือก ครีมมะพร้าว และเนื้อใบเตยคั้นสด         ช่วงล็อกดาวน์แบบนี้ สั่งไปอร่อยที่บ้านได้เลยผ่าน Grab, Line Man และ Robinhood  หรือจะลองมาพักผ่อนหย่อนใจในห้องพักสุดฮิปทั้ง 12 ห้อง ที่ตอนนี้มาพร้อมโปรโมชั่นและราคาคุ้มค่าสุดๆ ก็สุดแสนประทับใจ

Mitta x Sabaijai โฮมคาเฟ่ลำดับที่ 3 จากร้าน Mitta Café ที่ขยับความร่มรื่นชื่นใจจากพระราม 2 มาใกล้ตัวเมืองมากขึ้นอีกนิดในซอยสบายใจ 13 โดยแบ่งพื้นที่ของตัวบ้านให้คนรักขนมและกาแฟได้แวะมาพักใจจากวันอันรีบเร่ง โดยคุณจอยและคุณออย 2 ลูกพี่ลูกน้องช่วยกันดูแลทั้งขนมเค้ก กาแฟ และเครื่องดื่มไว้สำหรับจับคู่กัน           แฟนคลับร้าน Mitta เป็นอันรู้กันว่าเค้กโฮมเมดของร้านนี้นุ่มนวลหวานน้อย และนำผลไม้หวานฉ่ำตามธรรมชาติมาเพิ่มลูกเล่นให้น่าสนใจ อย่าพลาด Sri-nin rice cake เค้กข้าวสีนิลที่ใครได้ชิมก็หลงรัก เค้กสีเทาเข้ม เหมือนได้กินข้าวเหนียวดำน้ำกะทิที่เปลี่ยนจากน้ำกะทิเป็นน้ำมะพร้าวอ่อน กลิ่นหอมเนื้อนุ่มเบา   ตามมาด้วยลำไยชีสเค้ก ชีสเค้กนุ่มแน่นด้านล่างเป็นครัมเบิลกรุบกรอบ ท็อปด้วยลำไยสดลูกโตคัดจากเจ้าประจำเข้ากับเนื้อชีสเค้กได้พอดิบพอดี และพลาดไม่ได้กับ Roddy plum roll โรลลูกตาลสีสันน่ารักด้วยครีมสดจากดอกอัญชันให้ละเลียดได้เพลินๆ       คอกาแฟที่ร้านมีทั้งจากเมล็ดกาแฟแบบ Dark Roast และ House Blend (ไทย-ลาว-บราซิล) เราแนะนำซิกเนเจอร์เมนู Mable Coffee แก้วนี้เก๋มาก พุดดิ้งน้ำมะพร้าวอ่อนเนื้อเด้งราดด้วยช็อตเอสเพรซโซจากเมล็ด House Blend ส่วนใครไม่ปลื้มคาเฟอีนลองสั่ง ลิ้นจี่อัญชันโซดานอกจากสีสวยแล้วยังเปรี้ยวหวานซาบซ่า ช่วยดับร้อนยามบ่ายได้ดี       ก่อนกลับอย่าลืมซื้อ Shokupan ของทางร้านที่ขายดีไม่แพ้เมนูอื่นติดมือกลับไปด้วย ทั้งหอมนุ่มและฉ่ำเนย กินกี่ครั้งก็ไม่เบือ  

บ้านลลิณ (Lalin Thai Cafe) คาเฟ่สไตล์ไทยในบ้านหลังเก่าอายุกว่าร้อยปีที่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกตึกดิน ถนนดินสอของเชฟพลอย-ณัฐณิชา และเชฟน้ำฝน-ลักษณาวดี  2 สาวเพื่อนซี้จากรายการมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ ซีซั่น 1 ตัวร้านสวยสงบ ร่มรื่น  (และมีแมวน่ารัก) ด้านในเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่เห็นแล้วชวนให้นึกถึงความสนุกในวัยเยาว์ ยิ่งทำให้การมากินข้าวที่นี่พิเศษขึ้นไปอีก           ​อาหารของเชฟพลอยและเชฟน้ำฝนเป็นอาหารไทยจานเดียวที่เติมความทันสมัยลงไปในแต่ละจานด้วย ไม่ว่าจะเป็นก๋วยเตี๋ยวผัดไข่เค็มกุ้งจานโปรดของหลายคน ให้อารมณ์ลูกผสมระหว่างผัดผงกะหรี่และผัดไข่เค็ม เส้นก๋วยเตี๋ยวนุ่มๆ คั่วจนแห้ง รสชาติกลมกล่อม หอมกลิ่นกระทะ     ตามด้วยข้าวคลุกกะเพราเนื้อสับไข่ซูวี แค่ได้กลิ่นก็น้ำลายสอ ข้าวเรียงเม็ดกินอร่อย ตัดรสเผ็ดด้วยไข่ไหลเยิ้มๆ  อีกจานที่ขายดีไม่แพ้กันคือสปาเกตตีไก่ผัดพริกสด เมนูฟิวชันรสจัดจ้านที่คนรักพาสตาไม่ควรพลาด       ​อิ่มคาวแล้วตามด้วยขนมหวาน เค้กแตงไทยน้ำกะทิ ที่เชฟอยากให้รู้สึกเหมือนได้กินลอดช่องน้ำกะทิ ราดด้วยซอสกะทิอบควันเทียน และเค้กมะตูมกินคู่กับกะทิรสเค็มเข้ากัน       แล้วอย่าลืมสั่งเครื่องดื่มคลายร้อนอย่างบ๊วยแตงโมโซดา รสเค็มเปรี้ยวซ่า หอมกลิ่นแตงโมนิดๆ หรือจะลองสับปะรดพริกเกลือโซดา     แก้วนี้จิบแล้วสดชื่นตื่นเต็มตาจริงๆ

มาแรงจนฉุดไม่อยู่ สำหรับ The Barn Brasserie คาเฟ่สไตล์ grab and go น้องใหม่ย่านบางกรวย เจ้าของเดียวกันกับ Wood Cafe โชคชัย 4 ที่ตอนนี้ขยับขยายความอร่อยมาให้ชาวนนทบุรีได้ลิ้มลอง       ตัวร้านโดดเด่นด้วยไม้ขัดเนื้อด้านสีขาว ที่เสริมความน่ารักโดยบรรดาของใช้สำหรับทำครัวและเครื่องมือทำสวน อีกทั้งยังห้อมล้อมไปด้วยต้นไม้นานาชนิดเสมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ชวนให้รู้สึกอบอุ่นเป็นกันเอง จนกลายเป็นจุดเช็คอินที่มีลูกค้าแวะเวียนกันมาอย่างไม่ขาดสาย       ทางร้านเน้นเสิร์ฟเบเกอรี่โฮมเมด หน้าตาสวยงาม แซมมาด้วยผลไม้สดใหม่ตามฤดูกาล เริ่มด้วยเมนูซิกเนเจอร์ Earl Grey Cheesecake (165.-) ประกอบไปด้วยส่วนผสมที่มีคุณประโยชน์ อาทิ โยเกิร์ตและครีมไขมันต่ำ เมล็ดงาขี้ม่อน กินกับฐานครัมเบิ้ลกรุบกรอบและผลไม้สด อย่างเชอร์รีและสตรอว์เบอร์รี อร่อยกลมกล่อม     ต่อด้วย Carrot Cake (100.-) เค้กแครอตเนื้อนุ่มฟู ที่มีธัญพืชและเนื้อแครอทมาให้เคี้ยวเพลินๆ กินคู่กับครีมชีสด้านบน รสเปรี้ยวหวานกำลังพอดี หรือจะเลือกเป็น Lemon and Blueberry Scone (100.-) สคอนเนื้อแน่นนุ่ม เมื่อกัดแล้วจะได้กลิ่นหอมของเนย เลมอน และบลูเบอร์รี ด้านบนราดด้วยเลมอนซอสและเมล็ดงาขี้ม่อน     Tea of the day (90.-) เครื่องดื่มซิกเนเจอร์สุดพิเศษ ที่ทางร้านจะปรับเปลี่ยนตัวชาให้เราได้ลุ้นในรสชาติทุกสัปดาห์ โดยเน้นเป็นชาผลไม้ที่ดื่มแล้วให้ความสดชื่น  

คนย่านวงเวียนใหญ่และละแวกใกล้เคียงต่างต้องเคยแวะเวียนมาใช้บริการ “สยามรัตนาซุปเปอร์มาร์เก็ต” เพราะที่นี่คือซุปเปอร์มาร์เก็ตติดแอร์แห่งแรกของย่านที่สร้างสีสันให้กับนักช็อปได้มาเดินเลือกซื้อสินค้าได้แบบเย็นฉ่ำสบายใจ ก่อตั้งโดยคุณสวัสดิ์และคุณสมคิด นิลรุ่งรัตนาที่นำเอาความเชี่ยวชาญในการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ รวมถึงวัตถุดิบในการทำเบเกอรี่ซึ่งในช่วง 60 ปีก่อนนั้นยังหาได้ยากในบ้านเรา หลงจู้สวัสดิ์คือชื่อที่ผู้คนเรียกขานและถือเป็นตำนานของนักจัดซื้อผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งยุคทีเดียว       นอกจากขายสินค้าทั่วไป สยามรัตนายังขายวัตถุดิบสำหรับนำมาทำเบเกอรี่ที่เรียกเสียงฮือฮาให้คนช่างกินในยุคนั้นได้ไม่เบา โดยเฉพาะขนมปังสังขยาสูตรต้นตำรับที่ไม่เคยหยุดเสิร์ฟความอร่อยมาตลอด 60 ปี ช่วงเริ่มต้นทำขนมปังขายคุณสมคิดเล่าให้ฟังว่า “เครื่องไม้เครื่องมือไม่ได้สะดวกสบายเหมือนเดี๋ยวนี้ ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 มาทำขนมปังทุกวันเพื่อให้ทันขายลูกค้าในตอนเช้า แต่ผลตอบรับดีมากทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง” แม้วันนี้จะส่งไม้ต่อให้ทายาทดูแลแต่ระดับความหอมหวานยังเหมือนวันวานไม่ผิดเพี้ยน ทั้งเนื้อสัมผัสที่นุ่มนิ่มของแป้ง กัดแล้วหนึบนิดๆ รวมถึงไส้สังขยาใบเตยและไส้สังขยาไข่ก็ใส่ให้แบบล้นทะลักไม่มีกั๊กไว้ จากราคาเริ่มต้นชิ้นละ 50 สตางค์ ขยับมาทีละหน่อยจนถึง 18 บาทตามค่าครองชีพ แต่ยังถือว่าย่อมเยามาก     คุณวิบูลย์ (ลูกชาย) และคุณสมคิด นิลรุ่งรัตนา (คุณแม่)     ยังมีไฮไลท์ที่หลายคนแอบปลื้มอย่างขนมปังอบเนยน้ำตาล ขนมปังกรอบนอกนุ่มใน ถ้าชอบเนยเยิ้มๆ จะเคลิ้มมาก รวมถึงขนมปังไส้กรอก ขนมปังไส้กรอกมายองเนส และอื่นๆ อีกหลายอย่าง โดยฝีมือรังสรรค์ของเชฟแพรทายาทรุ่นที่ 3 ที่จบจากสถาบันสอนการทำอาหารเลอ กอร์ดอง เบลอ ผู้สานต่อสูตรดั้งเดิมของคุณปู่คุณย่าและยังเพิ่มเติมขนมอีกหลายชนิด สยามรัตนาจึงยังคงเป็นตำนานมีชีวิต ชนิดที่ใครเปิดประตูเข้ามาก็มีแต่อิ่มพุงกางกลับไป          นอกจากสยามรัตนาซุปเปอร์มาร์เก็ตร้านเดิมตรงแยกลาดหญ้า ไม่ห่างกันมากเป็นที่ตั้งของ “สยามรัตนาเบคเฮาส์” อาคารทันสมัยหลังใหม่ที่ตั้งใจออกแบบไว้รองรับลูกค้าที่มาเลือกซื้อของกินของใช้ในซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วต้องการที่นั่งพักรับประทานอาหาร รวมถึงมีมุมเบเกอรี่ที่กว้างขวางให้เลือกหยิบได้ตามชอบ หากอยากชมขั้นตอนการทำขนมอบก็สามารถชมผ่านครัวที่กรุกระจกใสให้ได้ชมอย่างใกล้ชิด         ที่นี่ยังเป็น Co-Working Space สำหรับนั่งทำงานหรืออ่านหนังสือได้อย่างเป็นส่วนตัว หรือจะจัดอีเวนต์ต่างๆ ก็แสนสะดวกสบาย ครบทุกฟังก์ชั่นความต้องการ     สำหรับเราแล้วสิ่งต่างๆ อาจเปลี่ยนไปแต่กลิ่นอายความทรงจำยังหอมกรุ่นตลอดเวลา    

รัชดาซอย 19 ไม่เคยเงียบเหงาเพราะมีร้านเก๋เปิดใหม่ให้เราได้แวะมาชิมเรื่อยๆ ล่าสุดกับร้านโอมิ ต็อก (Omi tteok) ร้านต็อกจาก Woolloomooloo ที่นำเมนูอร่อยตลอดกาลของชาวเกาหลีอย่าง “ต็อก” หรือเค้กข้าวนุ่มนิ่มหนึบหนับมาให้เราได้รู้จักผ่านเมนูทั้งคาวหวาน โดย Master Artisan ชาวเกาหลี         ต็อกของโอมิ ต็อกทำจากข้าวญี่ปุ่นส่งตรงจากเชียงใหม่ ซิกเนเจอร์คือ Omi Injeolmi แป้งต็อกนุ่มๆ เคลือบด้วยผงถั่วอิลจอมี เคี้ยวเพลินมาก และ Omi Cream Injeolmi ความพิเศษอยู่ที่ไส้ครีมถั่วแดงและครีมมันหวาน (เมนูนี้แนะนำให้จองก่อนล่วงหน้าเพราะขายดีมาก) จัดเสิร์ฟในกล่องดีไซน์สวยที่เก็บไว้ใช้เองก็ดี หรือจะซื้อติดมือไปฝากคนใกล้ตัวก็น่าจะยิ้มแก้มปริ           นอกจากนี้ยังมีทีเด็ดอย่าง So-ttoek so-tteok ต็อกเสียบไม้สลับกับไส้กรอกทอดจนกรอบพร้อมซอสโกชูจังสูตรพิเศษ กินร้อนๆ อร่อยมาก ปิดท้ายด้วย Cream tteokbokki ต็อกปกกีใส่ออมุก (ปลาแผ่นเกาหลี) รสเข้มข้นครีมมี่ มีเผ็ดเล็กๆ ตบท้าย       ช่วยแก้อาการคิดถึงเกาหลีไปได้ชั่วขณะ

“ที่นี่เป็นเหมือนแคปซูลเก็บอดีต” คุณญี่ปุ่น หนึ่งในเจ้าของร้านฮงเซียงกงเริ่มต้นบทสนทนากับเราได้อย่างเห็นภาพ ภายในบ้านสีน้ำเงินหลังเก่าอายุกว่าร้อยปีของย่านตลาดน้อยคือคาเฟ่สไตล์จีนที่น้องชายของคุณญี่ปุ่นลงมือรีโนเวตให้กลับมาชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยยังคงโครงสร้างเดิมเอาไว้ รวมถึงลวดลายพื้นผิวที่ชวนมองเป็นอย่างยิ่ง           ด้วยความที่ครอบครัวของคุณญี่ปุ่นคร่ำหวอดอยู่ในแวดวงของแอนทีคมานาน เราจึงได้เห็นของสะสมชิ้นโปรดวางอยู่แทบทุกพื้นที่ อาทิ บันไดไม้วนโบราณจากพม่าและราวบันไดของสะสมของคุณพ่อที่เข้าคู่กันได้พอดี ประตูบานสวยจากอินเดีย โต๊ะจีนโบราณ โดยเฉพาะรถลากเก่าแก่จากเมืองจีนที่ยังดูแลรักษาอย่างดี         เมนูของที่ร้านในช่วง Soft Opening เน้นเครื่องดื่มและเบเกอรี่โฮมเมดให้สั่งแล้วเลือกโซนนั่งได้ตามใจทั้งในคาเฟ่หรือโซนริมแม่น้ำ เริ่มด้วย Sieng Kong Pudding Tea ซิกเนเจอร์เมนูที่มีความเป็นตลาดน้อยชัดเจน ในแก้วคือชาไทยใส่น้ำเชื่อมขิง ด้านบนท็อปด้วยพุดดิ้งเต้าหู้ออร์แกนิคและปาท่องโก๋จิ๋วกรอบ     ส่วนคอกาแฟแนะนำ Icy Dirty เดอร์ตี้ของที่นี่ใช้เป็นนมเกล็ดน้ำแข็งให้เคี้ยวได้ ราดด้วยช็อตเอสเพรซโซ่ จับคู่กับ Almond Croissant อบใหม่เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมตุ้บตั้บแสนอร่อยที่ทำจากขนมตุ้บตั้บร้านเพื่อนของคุณแม่ หรือจะเปลี่ยนเป็นไอศกรีมไข่เค็มก็จะได้รสหวานเค็มและนวลเข้ากันดี ปิดท้ายด้วย Flouless Orange Cake เค้กส้มไร้แป้งที่ติดอันดับเมนูโปรดของหลายคนไปแล้ว         เพลินใจจนไม่อยากกลับเลย

Yellow Teeth sip n' snap คาเฟ่น้องใหม่ที่ซ่อนตัวอยู่ในซอยลาดพร้าว 47 ย่านโชคชัย 4 พร้อมเสิร์ฟความอร่อยด้วยสารพัดเมนูเครื่องดื่มและขนมหวานโฮมเมดที่คิดค้นสูตรและครีเอตขึ้นมาใหม่ในแบบฉบับของตัวเอง ให้เหล่าคาเฟ่ฮอปเปอร์ได้ตามมาเช็คอิน ชิมกันเพลินๆ     ตัวร้านรีโนเวตมาจากตึกเก่า 4 ชั้น อายุราว 30 ปี โดยชั้น 1และชั้น 2 เป็นพื้นที่ของโซนคาเฟ่ โดดเด่นด้วยผนังปูนเปลือยที่ทิ้งร่องรอยของสีตึกดั้งเดิมเอาไว้และเฟอร์นิเจอร์สุดคลาสสิกที่ทางร้านเลือกสรรมาเป็นอย่างดีให้เข้ากับบรรยากาศภายใน ส่วนโซนด้านบนทางร้านเปิดเป็นสตูดิโอให้เช่าหลากหลายสไตล์ ตอบโจทย์คนชอบถ่ายรูปเป็นที่สุด       เริ่มต้นกันที่ Black Tonic Coffee Yuzu (120.-) เมนูซิกเนเจอร์ที่นำเอาของเอสเปรสโซช็อตมาผสมผสานกับความหอมหวานของยูซุ เพิ่มความซ่าด้วยโทนิกและเสริมความละมุนด้วยรวงผึ้ง ดื่มแล้วสดชื่น     ต่อด้วย Affogato Matcha Peach (110-.) ไอศกรีมมัตฉะ รสละมุน ราดเอสเปรสโซ ช็อตเข้มข้น กินพร้อมเนื้อพีชหวานฉ่ำ เข้ากันได้อย่างลงตัว     ส่วนเมนูขนมขอแนะนำ Croffle (140.-) ครอฟเฟิลร้อนๆ กินพร้อมผลไม้สดอย่าง บลูเบอร์รี ราสป์เบอร์รีและแยมพีช จับคู่กับเครื่องดื่มสุดเข้มข้น Dark Cocoa (90.-) หอมมัน รสชาติหวานน้อย     นอกจากเมนู Coffee และ Non-Coffee แล้ว ที่นี่ยังมีเครื่องดื่มม็อกเทลหน้าตางดงามอย่าง Fa-rang (135.-) ที่ผสมผสานน้ำฝรั่งสีชมพู เบอร์รี และยูซุเข้าไว้ด้วยกัน รสชาติหอมหวาน กลมกล่อม  

คอชาตัวจริงต้องไม่พลาดร้าน Northlandtea คาเฟ่ชาออร์แกนิก บนถนนรัตนาธิเบศร์ ที่ยกระดับชาไทยจากภาคเหนือไปสู่สากล โดยการคัดเลือกใบชาเต็มใบของไทยมากกว่า 20 ชนิด มารังสรรค์เป็นเมนูเครื่องดื่มสุดครีเอทให้เหล่านักชิมได้ลิ้มลอง การันตีคุณภาพของชาด้วย USDA Organic จากประเทศสหรัฐอเมริกา       ทันทีที่เดินเข้ามาจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นจากผนังโทนสีครีม เฟอร์นิเจอร์ไม้สีเบจ และของตกแต่งน่ารักๆ ที่ทางร้านคัดสรรมาให้เข้ากับโทนสีภายในร้านได้เป็นอย่างดี ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายได้บรรยากาศสไตล์โฮมมี เสมือนได้นั่งจิบชาชิลๆ อยู่ที่บ้านเลยล่ะ       เริ่มกันที่เมนูซิกเนเจอร์อย่าง Daisy Daisy (95.-) เป็นการนำชาเขียวออร์แกนิกมาเบลน์กับชาคาโมมายล์ เติมความหวานด้วยน้ำผึ้งและเพิ่มรสสัมผัสด้วยวุ้นว่านหางจระเข้ ดื่มแล้วชื่นใจ     ต่อด้วย Scone Set (79.-) ประกอบไปด้วยสคอน รสแครนเบอร์รีและรสเอิร์ลเกรย์ ที่ทำจากแป้งเค้กเกาหลี เมื่อรับประทานเข้าไปเนื้อสัมผัสจะไม่แข็งแห้งและนุ่มเบา กินคู่กับครีมสดและโฮมเมดแยมรสมิกซ์เบอร์รี     สายชานมไข่มุกต้องไม่พลาด Earl Grey Royal Milk Tea (130.-) ชานมเอิร์ลเกรย์กลิ่นหอมรสเข้มข้น ที่ทางร้านเลือกใช้ความหวานจากน้ำผึ้งแทนน้ำตาลกินพร้อมไข่มุกบุก หอมละมุนกลมกล่อม     Rare Cheesecake (290.-) เมนูที่ผสมผสานความเบา นุ่ม ละมุนลิ้น ของชีสเค้กสไตล์ญี่ปุ่น กับความหวานฉ่ำแกมเปรี้ยวของผลไม้สด อย่างมะม่วงน้ำดอกไม้และบลูเบอร์รีเอาไว้ด้วยกันอย่างลงตัว  

จุดเช็คอินแห่งใหม่ย่านพระราม 8 ที่เหล่าคาเฟ่ฮอปเปอร์พร้อมใจกันยกให้เป็นแลนด์มาร์กสุดร่มรื่นแห่งปีที่ไม่ควรพลาด จากฝีมือคุณธนญา เตชสิริอังกูรพยาบาลสาวนักออกแบบที่ใช้เวลาว่างหลังเลิกงานมาสร้างสรรค์ร้านอาหารในสไตล์ที่ชื่นชอบผสมผสานทั้งแนวคลาสสิก ลอฟท์ และโมเดิร์นเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว           โดยเลือกทำเลเหมาะในชุมชนบ้านปูนริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ทางเข้าค่อนข้างจะลึกลับ แต่ไม่ต้องกลัวหลงเพราะมีป้ายบอกตลอดทาง พอลัดเลาะถึงตัวร้านความอ่อนล้าจะหายเป็นปลิดทิ้ง เพราะพื้นที่แห่งนี้ทั้งกว้างขวาง ร่มรื่นด้วยต้นไม้ และอยู่ติดแม่น้ำ ทำให้อากาศถ่ายเทสะดวก แนะนำให้มาช่วงบ่ายจะสบายตัวที่สุด ที่สำคัญอย่าลืมเตรียมกล้องและเมมโมรี่ให้พร้อมเพราะงานนี้มีชัตเตอร์ลั่นรัวๆ แน่นอน           เมนูของร้านไม่มากมายเพราะคัดเฉพาะไฮไลท์ที่สั่งเมนูไหนก็ไม่ผิดหวัง อาทิ สลัดแซ่บแซลมอนอะโวคาโด แซลมอนหั่นชิ้นใหญ่คลุกเคล้ากับน้ำยำซีฟู้ดรสแซ่บและเครื่องเคราสมุนไพรที่มีทั้งตะไคร้ ใบมะกรูด สะระแหน่ เสริมรสชาติด้วยอะโวคาโดชิ้นโตที่ช่วยลดทอนความจัดจ้านแต่ผสานรสชาติเข้าด้วยกันอย่างลงตัว       ต่อด้วยเมนูโปรดของทุกคนพิซซาอะลามาเนีย พิซซาขนาดกลาง แป้งหนานุ่มจับคู่กับหน้ายอดฮิตอย่างพาร์มาแฮมและกุ้งไซส์บิ๊ก ท็อปด้วยชีสเน้นๆ ยิ่งดึงยิ่งยืด สาวกันสุดมือทีเดียว       ถัดมาคือจานหลักเสต๊กหมู หมูนุ่มชิ้นโตในน้ำเกรวี่เข้มข้น ในจานมีทั้งผักสด ผักย่างหลากสีสันและเฟรนช์ฟรายกรอบนอกนุ่มใน       ถ้าอยากอร่อยแบบไทยๆ จะสั่งเป็นข้าวผัดทะเลก็อิ่มท้องได้กำลังดี ความพิเศษของจานนี้อยู่ที่เมล็ดข้าวผัดได้แห้งไร้ความมันส่วนเกิน เวลาเคี้ยวจะหนึบนิดๆ เสริมทัพด้วยกุ้งกับปลาหมึกที่เพิ่มดีกรีความหนึบหนับแบบดับเบิ้ล ส่วนรสชาติปรุงได้กลมกล่อม แทบไม่ต้องพึ่งน้ำปลาพริกก็อร่อยครบรสแล้ว     สำหรับเครื่องดื่มแนะนำอิตาเลียนโซดาบลู กับสมูทตี้บลูเบอร์รี่ 2 เมนูคู่ซี้ที่ควรมีไว้ติดโต๊ะ รสออกหวานอมเปรี้ยว ดื่มแล้วสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สีหวานๆ ยังเพิ่มกิมมิกสนุกสนานให้กับรูปถ่ายของเราด้วย         ถ้าชอบกาแฟห้ามพลาดกาแฟลาเต้เย็นที่เต็มไปด้วยกลิ่นรสของกาแฟพันธุ์ดี หรือจะลอง โกโก้ร้อน รสหวานน้อยที่แอบซ่อนรสขมติดปลายลิ้น ชวนให้รู้สึกเหมือนนั่งดื่มโกโก้แท้ๆ อยู่ในไร่บนดอยอันห่างไกลอย่างไรอย่างนั้น       ไม่ต้องรอให้ถึงวันหยุดเพราะจุดหมายนี้เลอค่า มาก่อนได้รูปสวยไปอวดก่อนได้เลย

Co incidence เริ่มจากร้านขายไลฟ์สไตล์โปรดักส์เล็กๆ แสนเก๋ บนถนนสุขุมวิท ก่อนจะขยับขยายบ้านหลังเก่าให้โตขึ้น จนเกิดเป็น Co-incidence process coffee คาเฟ่สไตล์มินิมอล ที่พร้อมต้อนรับเหล่าคนที่หลงใหลในกาแฟและงานดีไซน์ ให้มาเสพย์ความสุขได้ในพื้นที่เดียวกัน       ภายในตกแต่งแบบเรียบง่าย โดยเลือกใช้โทนสีขาวเป็นหลักเข้ากันได้ดีกับเคาน์เตอร์บาร์ปูนเปลือย ที่มีตู้กระจกใสเผยให้เห็นเบเกอรี่หน้าตาน่าอร่อยหลากหลายเมนู เสริมความเท่ด้วยบรรดาข้าวของเครื่องใช้ ที่ทางร้านหยิบมาประดับอยู่บนผนังรอบร้าน อีกทั้งยังมีโซน Lifestyle Shop จากแบรนด์ Co incidence ให้สามารถเลือกชอปสินค้าติดไม้ติดมือกลับบ้านกันได้อีกด้วย       เมนูแรก Dirty (90.-) นมสดเย็นรสละมุนออนท็อปมาด้วยเอสเปรสโซช็อตเข้มข้น แยกชั้นมาอย่างสวยงาม แนะนำให้รีบดื่มก่อนที่สองเลเยอร์จะมาผสมรวมกัน จะสัมผัสรสชาติของกาแฟได้ดีที่สุด     ต่อด้วยเมนูเบเกอรี่ที่มีการคอลแลปส์กับร้าน WWA Rare Cheesecake (120-.) ชีสเค้กเย็นรสเปรี้ยว เนื้อเนียนนุ่ม กินพร้อมฐานครัมเบิ้ลกรุบกรอบ และ Chocolate Brownie & Cream shot (220.-) บราวนี่รสเข้มข้นเนื้อหนึบหนับ ราดด้วยครีมนมอุ่นๆ กินพร้อมช็อกโกแลตฟัจด์ด้านล่าง หวานหอมละมุนลิ้น       ปิดท้ายด้วยเมนูอิ่มท้อง อย่าง Bacon Kimchi Fried Rice (280.-) ข้าวผัดกิมจิเบคอนฉ่ำๆ เสิรฟ์มาพร้อมไข่ข้นเนื้อเนียนสวย รสชาติเข้มข้น กลมกล่อม  

วันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักเชฟบีม-ภวินวัชร์ โชคเศรษฐปวินท์ เชฟขนมหวานคนแรกของประเทศไทย จากรายการ Top Chef Thailand แต่ถ้าถามสายขนมหวานตัวจริงทั้งหลาย คงได้มีโอกาสชิมฝีมือของเชฟบีมกันมาบ้างจากร้าน บ.ใบไม้ สัตหีบเพราะเปิดมานานกว่า 10 ปี ร้านนี้เชฟสร้างจากแรงบันดาลใจที่อยากให้พ่อกับแม่มีกิจกรรมคลายเหงาหลังเกษียณ จึงเปลี่ยนห้องรับแขกที่บ้านให้เป็นคาเฟ่เก๋ไก๋สไตล์วินเทจ พร้อมชูเมนูสูตรเด็ดของคุณแม่เป็นไฮไลท์เรียกลูกค้า         จากผลตอบรับที่คับคั่งจึงมีเสียงเรียกร้องให้สอนทำขนม เชฟจึงเปิดคอร์สและต่อยอดธุรกิจด้วยการเข้าเรียนหลักสูตรทำขนมอย่างจริงจังที่สถาบันเลอ กอร์ดอง เบลอ เชฟเล่าให้เราฟังว่าได้ทั้งทักษะและความรู้มากมาย มีการนำสูตรขนมที่เรียนมาปรับใช้ที่ร้าน รวมถึงเทคนิคต่างๆ ในการทำขนมและวิธีบริหารจัดการภายในร้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่นำมาประยุกต์ใช้ได้ทั้งสิ้น         ขนมทุกชิ้นของร้านจะมีแฟนคลับมาจับจองตั้งแต่ออกจากเตา โดยเฉพาะไอเท็มเด็ดอย่างชีสเค้กที่มีวาไรตี้มากถึง 7 เมนู ฮอตสุดยกให้แมคคาเดเมียชีสเค้ก เชฟใช้นมผงฮอกไกโดที่มีรสนมชัดเจน หอมมันและไม่เลี่ยนทำให้ละเลียดได้เรื่อยๆ ยิ่งได้ความกรุบมันของแมคคาเดเมียที่โรยมาพูนๆ จะมากี่ครั้งก็ไม่พลาดชิ้นนี้       อีกเมนูขายดีคือบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก โดดเด่นด้วยรสชีสเข้มข้นไม่น้อยหน้า ตัดด้วยรสเปรี้ยวของซอสบลูเบอร์รี่ได้แบบจี๊ดจ๊าดถึงใจ     ถ้าคุณคือช็อกโกแลตเลิฟเวอร์ห้ามพลาดเค้กช็อกโกแลตฟัดจ์ เนื้อเค้กเข้มข้นจากดาร์คช็อกโกแลต รสหวานน้อย ท็อปด้วยบราวนี่หั่นเต๋าชิ้นโตเพิ่มดีกรีความอร่อยแบบทวีคูณ     แต่ถ้าอยากได้เค้กที่กินแล้วสดชื่นแนะนำเค้กส้ม เนื้อเค้กชิฟฟ่อนสลับชั้นด้วยซอสส้มรสหวานอมเปรี้ยว กินแล้วฉ่ำลิ้น ฟินสุดๆ     ถึงแม้จะโด่งดังเรื่องขนมหวานแต่ของคาวก็มีทีเด็ดไม่น้อยหน้า เพราะปรุงจากรสมือของคุณแม่เชฟ ปรุงให้ครอบครัวกินอย่างไรก็ใส่ใจทำให้ลูกค้าได้กินเหมือนกัน อาทิ ข้าวคลุกกะปิ ข้าวผัดกับกะปิอย่างดีห่อมาในไข่แผ่นบาง ล้อมรอบด้วยเครื่องเคราที่หั่นซอยสุดพิถีพิถัน     ข้าวหมูอบน้ำผึ้งกับผักกวางตุ้งและแฮมผัดน้ำมันหอย อิ่มจุใจกับหมูอบน้ำผึ้งชิ้นโตโรยงาหอมๆ ตัดเลี่ยนด้วยผัดผักกวางตุ้งและแฮมใส่น้ำมันหอย น้ำขลุกขลิกปรุงรสกลมกล่อม ตักราดข้าวร้อนๆ อร่อยเหาะ     ผัดไทยกุ้งสด เส้นเหนียวนุ่มฉ่ำซอสรสออกเปรี้ยวๆ หวานๆ สมทบด้วยกุ้งตัวโตเนื้อนุ่มแน่น ไม่ต้องปรุงเพิ่มก็อร่อยแล้ว หรือใครอยากบีบมะนาวอีกนิดเพิ่มรสจี๊ดๆ ก็ได้     ปิดท้ายด้วยน้ำตกหมู ความพิเศษของจานนี้คือใช้เนื้อหมูคุโรบูตะสุดนุ่ม หั่นชิ้นใหญ่แค่ไหนก็เคี้ยวง่ายไร้ปัญหา รสค่อนข้างจัดจ้านผสานกลิ่นหอมของมะนาวและข้าวคั่ว ตักเข้าปากทีไรก็ชื่นอกชื่นใจทุกที     ใครผ่านไปมาสัตหีบ อย่าลืมจดไว้ในลิสต์ร้านห้ามพลาด!

ยกให้เป็นร้านกาแฟเล็กๆ แต่คุณภาพไม่เล็กแห่งใหม่ในซอยวิภาวดี 16 (ซอยโชคชัยร่วมมิตร) สำหรับ "Do Drip" ที่บอกเลยว่าคัดสรรกาแฟดีจากทั้งไทยและต่างประเทศมาให้ชิมในราคาเบาๆ จิบแล้วเล่นเอาเราอยากแวะมาทุกวัน       เมล็ดกาแฟหลักของที่นี่ใช้ Lao Boloven กาแฟซิงเกิลออริจินจากที่ราบสูงโบโลเวน ประเทศลาว คั่วกลาง ดื่มง่าย หอมถั่วและช็อกโกแลต เหมาะกับเมนูทั้งกาแฟดริปและกาแฟนม ส่วนเมล็ดเฮาส์เบลนด์พิเศษจากหลายประเทศก็มีให้เลือกชิมกันเพียบ อาทิ Ethiopia Guji Buku จากเอธิโอเปีย ปางขอนจากจังหวัดเชียงราย และเมล็ดกาแฟเบลนด์พิเศษซีรีส์ Milk ที่เหมาะกับกาแฟนม ทั้ง Choco Milk Addict, Choco Rum Raisin และ Strawberry Milkshake ที่เก๋คือร้านนี้ใช้เครื่อง Flair (Espresso Maker) ดริปด้วยมือ แต่รสชาติออกมาดีไม่แพ้ใคร       เราแนะนำ Drip Coffee เลือกเมล็ด Ethiopia Guji Buku คั่วอ่อนแบบร้อน ได้ความฟรุตตี้ฟลอรัลจากเบอร์รี มะลิ และชาดำ Iced Latte ลาเต้เย็นเข้มข้นกลมกล่อม ใช้เมล็ดกาแฟหลักของร้าน Lao Boloven ได้ลงตัว       และ Dirty เมนู (แอบ) ลับแก้วนี้ใช้เมล็ด Lao Boloven เช่นกัน แต่แช่นานถึง 15 นาที แนะนำให้สั่งดื่มที่ร้านเพื่อความอร่อย ส่วนใครไม่ใช่คอกาแฟลองสั่ง Matcha Latte มัตฉะจากญี่ปุ่นชงสดแก้วต่อแก้วเพื่อความหอมเข้มแบบเต็มที่มาเพิ่มความสดชื่นก็เข้าที       นอกจากนี้สำหรับสายถ่ายรูปและคนรักกล้องฟิล์มเป็นต้องโดนใจ เพราะร้านนี้มีม้วนฟิล์มเก๋ๆ ทั้งสีและขาวดำจากญี่ปุ่น อเมริกา และยุโรปให้ซื้อไปถ่ายกันรัวๆ แถมยังรับล้างฟิล์มในราคาเป็นกันเองอีกด้วย (ช่วงล็อกดาวน์แบบนี้ ใครไม่สะดวกมาที่ร้านก็กดสั่งไปอร่อยกันที่บ้านได้ผ่าน Line Man และ Robinhood)  

เกาะรัตนโกสินทร์เป็นแหล่งร่วมของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ จึงไม่แปลกที่จะเต็มไปด้วยร้านอาหารและคาเฟ่เก๋ ๆ ไม่น้อยไปว่าวัดวังโบราณ พิถีพิถัน คาเฟ่ ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่มีความโดดเด่นไม่เหมือนใคร ด้วยบรรยากาศตั้งแต่หน้าหน้าไปจนถึงด้านในที่ให้กลิ่นอายของคาเฟ่ย้อนยุคในยุโรป     พิถีพิถัน คาเฟ่ บ่งบอกได้ถึงการนำเสนอเครื่องดื่มและอาหารด้วยหัวใจ นอกจากชื่อไทยจะน่าประทับใจแล้ว ชื่อในภาษาต่างประเทศ Petit Peyton ก็มีความหมายที่สื่อถึงความหรูหราเล็ก ๆ ได้เช่นกัน       บรรยากาศในร้านที่เต็มไปด้วยบรรดาของวินเทจ ทำให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางที่เหล่าคาเฟ่ฮอปเปอร์จะต้องมาเช็คอินถ่ายภาพสักครั้ง ที่ไม่น้อยหน้ากันคือบรรดาเครื่องดื่มและขนมที่สุดสร้างสรรค์น่าลิ้มลอง       Gold Muddy เป็นเมนูกาแฟ Dirty ที่ไม่เหมือนใคร นอกจากจะได้ความเข้มข้นจากช็อตกาแฟเอสเปรสโซกับนมผสมกันแล้ว ยังได้รสชาติหวาน ๆ และกลิ่นหอม ๆ จากคาราเมลเข้ามาเสริม หรือถ้าอยากได้กาแฟเย็นสดชื่นต้องลอง  Midsummer Espresso อเมริกาโนน้ำส้ม เพิ่มความหวานด้วยน้ำผึ้งและไซรัปซีตรัส       แก้วถัดมาเหมาะสำหรับดื่มคลายร้อนมาก ๆ Madame Sherry Grey เป็นชาอินฟิวส์ปั่นรวมกับไวล์ดเบอรี่ เสิร์ฟพร้อมกับไอศกรีมวานิลลาด้านบนแก้ว ได้ทั้งรสชาติเปรี้ยวของเบอร์รี่ตัดกับความหวานของไอศกรีมได้เป็นอย่างดี     ปิดท้ายด้วยเมนูสไตล์ไทยอย่าง Siamese Twins ที่ในหนึ่งแก้วนี้ประกอบไปด้วยอเมริกาโนและชาไทยสีส้ม ดับเบิ้ลความกระปรี้กระเปร่ากันไปเลย     ตอนนี้พิถีพิถัน คาเฟ่ ยังเปิดเมนูใหม่ภายใต้แบรนด์ “คนละคั่ว” พร้อมเสิร์ฟอาหารจานคั่วหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเมนูข้าวหรือเมนูเส้น ผ่านช่องทางเดลิเวอร์รี่ด้วย ดังนั้นในช่วงเวลาที่ไม่สามารถนั่งรับประทานอาหารที่ร้าน ก็สามารถสั่งมากินได้ที่บ้านเช่นกัน  

ทุกวันนี้ย่านเก่าในหลาย ๆ พื้นที่ของกรุงเทพมหานคร เริ่มกลายเป็นพื้นที่ที่คนรุ่นใหม่เดินทางเข้ามาเติมเต็มสีสันกันมากขึ้นเรื่อย ๆ หนึ่งในนั้นคือคาเฟ่สไตล์ร่วมสมัยที่มีชื่อว่า Schizzi Cafe (สกิซซี คาเฟ่) ที่เปิดตัวมาพร้อมบรรยากาศแสนอบอุ่นแฝงไว้ด้วยความสุนทรีย์ของสีสันจากธรรมชาติ       ร้านทั้งร้านเน้นการออกแบบโดยใช้สีสันของเนื้อไม้และสีเขียวมาผสมผสานกันอย่างลงตัว ทำให้บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความสบายหูสบายตา ส่วนชื่อของ Schizzi Cafe มาจากภาษาอิตาเลียนที่หมายถึงการวาดภาพสเก็ตช์ จึงไม่แปลกที่จะมีกลิ่นอายของศิลปะแฝงอยู่       เมนูของที่ร้านแปลกใหม่และน่าประทับใจไม่น้อย จากการหยิบจับเอาวัฒนธรรมกาแฟของชาวอิตาเลียนมาปรับนิดผสมหน่อยจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่างเช่นแก้วนี้ Nutella Marocchino ซึ่งเป็นกาแฟเอสเปรสโซ ราดบนแก้วที่มีนูเทลลา ได้รสชาติเข้มเต็ม ๆ จากช็อตกาแฟผสมผสานกับความหวานและความนุ่มนวลของฟองนมอย่างลงตัว       แก้วต่อมามีชื่อว่า Good Vibes ที่ประกอบไปด้วยเอสเปรสโซเหมือนกัน แต่ราดลงบนน้ำมะพร้าวเผาหอมชื่นใจ เสิร์ฟพร้อมเนื้อมะพร้าวและตกแต่งด้วยโรสแมรี่ให้กลิ่นหอมบาง ๆ     อีกเมนูกาแฟที่ใช้รสชาติหวานอมขมและสดชื่นไม่แพ้กันก็คือ Orange Shakerato เอสเปรสโซผสมน้ำส้มเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ เสิร์ฟมาในแก้วมาร์ตินี่ตกแต่งด้วยเปลือกส้มฝานบาง ๆ ได้อารมณ์เสมือนจิบค็อกเทล     แก้วสุดท้ายมีชื่อว่า Ciao Bella! เป็นชาพีชที่เพิ่มความหอมหวานด้วยน้ำผึ้ง และเสริมรสชาติด้วยแครนเบอร์รี่กับมะนาว ถ้าใครที่ไม่อยากเพิ่มคาเฟอีนในร่างกายแต่ยังอย่างรีเฟรชตัวเองในยามบ่ายของวัน ก็นับเป็นตัวเลือกที่ดี     แน่นอนว่าเครื่องดื่มทั้งหลายจะสมบูรณ์แบบได้ต้องมีขนมสักชิ้นมากินคู่กัน ลองเป็นเค้ก Ciambella สูตรฟลอเรนซ์ ซึ่งเป็นขนมตำรับดั้งเดิมของอิตาลี มีรูปทรงคล้าย ๆ กับโดนัทขนาดใหญ่ ซึ่งที่ร้านมีให้เลือกทั้งรสแอปเปิ้ลและลูกเกด     เป็นคาเฟ่ที่มีทั้งความคลาสสิคและความทันสมัยอยู่ในตัวทั้งคู่เลย